คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
แผ้ว ศิวะบวร

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 396 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงกลับ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง,83 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก,83 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ (โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 ถือปืนขู่) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสองซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติได้ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2953/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข่มขืนกระทำชำเราโทรมหญิง: ศาลฎีกาวินิจฉัยข้อเท็จจริงกลับศาลอุทธรณ์
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสองร่วมกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายอันมีลักษณะเป็นการโทรมหญิง ซึ่งเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคสอง, 83 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 276 วรรคแรก, 83 ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติ (โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยที่ 1 ข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายคนเดียว ส่วนจำเลยที่ 2 ถือปืนขู่) จำเลยทั้งสองอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ดังนี้ ศาลฎีกามีอำนาจวินิจฉัยข้อเท็จจริงว่าจำเลยทั้งสองข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหาย เข้าลักษณะเป็นการโทรมหญิงและพิพากษาว่าจำเลยทั้งสองมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 276 วรรคสอง ซึ่งแก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติได้ส่วนกำหนดโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2906/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานเรียกรับเงินเพื่อละเว้นการจับกุม ถือเป็นความผิดข่มขืนใจตามมาตรา 148
เมื่อตามพฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำความผิด ข่มขืนใจให้โจทก์ร่วมมอบเงินให้แก่จำเลย โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้เงินก็จะจับกุม มิใช่ว่าจำเลยจับกุมโจทก์ร่วมโดยชอบด้วยอำนาจในตำแหน่ง แล้วเรียกเอาเงินเพื่อไม่ให้นำตัวโจทก์ร่วมไปส่งให้พนักงานสอบสวนตามหน้าที่เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 148 หาใช่ความผิดตามมาตรา 149 ไม่
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 148 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2906/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจ้าพนักงานใช้อำนาจข่มขืนใจเรียกเงินจากผู้ประกอบการ อ้างความผิดที่ไม่เกิดขึ้น การกระทำผิดตามมาตรา 148
เมื่อตามพฤติการณ์ของจำเลยแสดงว่าจำเลยมีเจตนามาแต่แรกที่จะใช้อำนาจในตำแหน่งเจ้าพนักงานผู้มีอำนาจจับกุมผู้กระทำความผิด ข่มขืนใจให้โจทก์ร่วมมอบเงินให้แก่จำเลย โดยขู่ว่าถ้าไม่ให้เงินก็จะจับกุม มิใช่ว่าจำเลยจับกุมโจทก์ร่วมโดยชอบด้วยอำนาจในตำแหน่ง แล้วเรียกเอาเงินเพื่อไม่ให้นำตัวโจทก์ร่วมไปส่งให้พนักงานสอบสวนตามหน้าที่เช่นนี้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามมาตรา 148 หาใช่ความผิดตามมาตรา 149 ไม่
เมื่อการกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 148 อันเป็นบทเฉพาะแล้ว ย่อมไม่มีความผิดตามมาตรา 157 ซึ่งเป็นบททั่วไปอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์ซ้ำ & การสวมสิทธิในที่ดินจากการประนีประนอมยอมความ ศาลยกคำร้อง
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งตามคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุตรอีกสองคน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่า ผู้ร้องที่ 1 ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด แต่มีสิทธิเพียงขอรับส่วนแบ่งของตนหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้วเท่านั้น ผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นอีก โดยอ้างว่าผู้ร้องที่ 1 กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทคนละครึ่ง และผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น โดยจำเลยยอมยก0กรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่ผู้ร้องทั้งสามผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลง จึงขอให้ศาลปล่อยที่ดินที่พิพาทให้ผู้ร้องทั้งสาม ดังนี้ คำร้องฉบับหลังในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 1 ย่อมเป็นคำร้องซ้ำกับคำร้องเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 นั้น เป็นเรื่องจำเลยยอมให้ส่วนของจำเลยในที่ดินที่พิพาทตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นเพียงผู้เข้าสวมสิทธิในที่ดินส่วนของจำเลยเท่านั้น เมื่อผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 มาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทโดยอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและยกคำร้อง จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2830/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำร้องขัดทรัพย์ซ้ำและสิทธิสวมจากการยกกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ถูกบังคับคดี
เจ้าพนักงานบังคับคดียึดที่ดินที่พิพาทเพื่อขายทอดตลาดเอาเงินมาแบ่งให้โจทก์จำเลยคนละครึ่งตามคำพิพากษาที่ได้วินิจฉัยว่า โจทก์จำเลยเป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน ผู้ร้องที่ 1 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึด อ้างว่าเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมกับบุตรอีกสองคน ศาลได้มีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้วว่าผู้ร้องที่ 1 ไม่มีสิทธิร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ถูกยึด แต่มีสิทธิเพียงขอรับส่วนแบ่งของตนหลังจากเจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดไปแล้วเท่านั้น ผู้ร้องที่ 1 กับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดนั้นอีก โดยอ้างว่าผู้ร้องที่ 1 กับจำเลยมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่พิพาทคนละครึ่ง และผู้ร้องทั้งสามกับจำเลยได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความต่อศาลชั้นต้น โดยจำเลยยอมยกกรรมสิทธิ์ที่ดินส่วนของจำเลยให้แก่ผู้ร้องทั้งสาม ผู้ร้องทั้งสามจึงเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่พิพาททั้งแปลง จึงขอให้ศาลปล่อยที่ดินที่พิพาทให้ผู้ร้องทั้งสาม ดังนี้คำร้องฉบับหลังในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 1 ย่อมเป็นคำร้องซ้ำกับคำร้องเดิม ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ส่วนคำร้องในส่วนที่เกี่ยวกับผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 นั้นเป็นเรื่องจำเลยยอมให้ส่วนของจำเลยในที่ดินที่พิพาทตกเป็นของผู้ร้อง ผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 จึงเป็นเพียงผู้เข้าสวมสิทธิในที่ดินส่วนของจำเลยเท่านั้น เมื่อผู้ร้องที่ 2 ที่ 3 มาร้องขอให้ปล่อยทรัพย์พิพาทโดยอ้างว่าทรัพย์ที่ยึดไม่ใช่ของโจทก์หรือจำเลยย่อมเป็นการไม่ชอบด้วยการดำเนินคดีทางร้องขัดทรัพย์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 ที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานและยกคำร้อง จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2612/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงวันเดือนปีเช็คโดยผู้ทรงหลังผู้สั่งจ่ายเสียชีวิต ไม่ถือเป็นการปลอมแปลงเอกสาร หากเป็นการลงวันเดือนปีที่ถูกต้องตามเจตนาเดิม
โจทก์ลงวันเดือนปีในเช็คตามเจตนาของผู้สั่งจ่ายที่ขอผัดไม่เป็นการปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1007เพราะมิใช่แก้ไขเปลี่ยนแปลงวันที่ลงในเช็ค หากแต่เป็นการลงวันเดือนปีที่ถูกต้องแท้จริงโดยสุจริต ซึ่งเป็นอำนาจของโจทก์ผู้ทรงที่จะกระทำได้ตามมาตรา 910 วรรคห้า ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นทายาทและผู้รับมรดกของย. ผู้สั่งจ่ายเช็ค โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทเมื่อใด และเมื่อโจทก์ทราบการตายของ ย. เมื่อต้นมิถุนายน 2514 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อ 9 พฤษภาคม 2515 คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2612/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การลงวันเดือนปีในเช็คโดยผู้ทรงหลังผู้สั่งจ่ายเสียชีวิต ไม่ถือเป็นการปลอมแปลงเอกสาร หากทำโดยสุจริตและเป็นไปตามเจตนาเดิม
โจทก์ลงวันเดือนปีในเช็คตามเจตนาของผู้สั่งจ่ายที่ขอผัดไม่เป็นการปลอมเอกสาร ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1007เพราะมิใช่แก้ไขเปลี่ยนแปลงวันที่ลงในเช็คหากแต่เป็นการลงวันเดือนปีที่ถูกต้องแท้จริงโดยสุจริต ซึ่งเป็นอำนาจของโจทก์ผู้ทรงที่จะกระทำได้ตามมาตรา 910 วรรคห้า ไม่เป็นโมฆะ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดในฐานะเป็นทายาทและผู้รับมรดกของย. ผู้สั่งจ่ายเช็ค โจทก์จึงไม่ต้องนำสืบว่าจำเลยที่ 2 ได้ลงชื่อสลักหลังเช็คพิพาทเมื่อใด และเมื่อโจทก์ทราบการตายของ ย.เมื่อต้นมิถุนายน 2514 โจทก์ฟ้องคดีเมื่อ 9 พฤษภาคม 2515คดีโจทก์ไม่ขาดอายุความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเป็นพ้นวิสัยเมื่อทรัพย์สินถูกยึด จำเลยไม่มีสิทธิรับเงินค่าเช่าซื้อ
จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ จึงมีหนี้ที่จะต้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์นั้น แต่โจทก์ได้รถยนต์ไปใช้เพียง 3 เดือนยังไม่ถึง 24 เดือนตามที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อ โดยมิได้ผิดนัด ไม่ใช้เงินแก่จำเลย ก็ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดรถยนต์ไปจำเลยไม่สามารถส่งมอบรถคืนให้โจทก์ได้อีก การชำระหนี้ของจำเลยคือต้องให้โจทก์ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในรถยนต์คันนั้น กลายเป็นพ้นวิสัยเสียแล้ว โดยจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน คือเงินที่โจทก์ได้ชำระครั้งแรกให้จำเลยในวันทำสัญญาเช่าซื้อ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อเป็นพ้นวิสัยเมื่อรถยนต์ถูกยึด เจ้าของไม่มีสิทธิรับเงินดาวน์คืน
จำเลยเป็นเจ้าของรถยนต์ที่ให้เช่าซื้อ จึงมีหนี้ที่จะต้องให้โจทก์ซึ่งเป็นผู้เช่าได้ใช้หรือรับประโยชน์จากรถยนต์นั้น แต่โจทก์ได้รถยนต์ไปใช้เพียง 3 เดือนยังไม่ถึง 24 เดือนตามที่ตกลงในสัญญาเช่าซื้อโดยมิได้ผิดนัดไม่ใช้เงินแก่จำเลย ก็ถูกเจ้าหน้าที่ศุลกากรยึดรถยนต์ไปจำเลยไม่สามารถส่งมอบรถคืนให้โจทก์ได้อีก การชำระหนี้ของจำเลยคือต้องให้โจทก์ได้ใช้หรือรับประโยชน์ในรถยนต์คันนั้น กลายเป็นพ้นวิสัยเสียแล้ว โดยจะโทษฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ จำเลยจึงไม่มีสิทธิที่จะได้รับชำระหนี้ตอบแทน คือเงินที่โจทก์ได้ชำระครั้งแรกให้จำเลยในวันทำสัญญาเช่าซื้อ
of 40