พบผลลัพธ์ทั้งหมด 263 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องร้องคดีเช็ค: เริ่มนับเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจริง ไม่ใช่แค่สอบถาม
โจทก์เพียงนำเช็คพิพาทไปสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าบัญชี ของจำเลยมีเงินหรือไม่เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั้นความผิดของจำเลยจึงยังไม่เกิดขึ้น อายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 จึงยังไม่เริ่มนับอายุความต้องเริ่มนับในวันที่โจทก์นำเช็คไปยื่นเพื่อเรียกเก็บเงินและธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินดังที่ปรากฏหลักฐานตามเช็คและใบคืนเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 123/2528 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคดีเช็ค: เริ่มนับเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจริง ไม่ใช่แค่สอบถาม
โจทก์เพียงนำเช็คพิพาทไปสอบถามเจ้าหน้าที่ธนาคารว่าบัญชีของจำเลยมีเงินหรือไม่เท่านั้น ไม่ปรากฏว่าธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน ดังนั้นความผิดของจำเลยจึงยังไม่เกิดขึ้น อายุความฟ้องร้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96 จึงยังไม่เริ่มนับ อายุความต้องเริ่มนับในวันที่โจทก์นำเช็คไปยื่นเพื่อเรียกเก็บเงิน และธนาคารได้ปฏิเสธการจ่ายเงินดังที่ปรากฏหลักฐานตามเช็คและใบคืนเช็ค
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 122/2528
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความคดีอาญา: คำร้องทุกข์ต้องระบุตัวผู้กระทำผิดชัดเจน หากระบุเฉพาะผู้สั่งจ่ายเช็ค คดีฟ้องจำเลยสลักหลังจึงขาดอายุความ
คำร้องทุกข์กล่าวถึงสาเหตุที่ พ. สามีจำเลยออกเช็คตามฟ้องให้โจทก์ โดยจำเลยลงลายมือชื่อสลักหลัง ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คตอนท้ายระบุว่า โจทก์จึงนำความมาแจ้งขอให้ดำเนินคดีต่อ พ. ต่อไป ดังนี้ ไม่อาจถือได้โดยปริยายว่าโจทก์ประสงค์จะดำเนินคดีแก่จำเลยด้วย หากแต่มีเจตนาให้ พ. ได้รับโทษแต่ผู้เดียว โจทก์นำคดีนี้ซึ่งเป็นกรณีความผิดอันยอมความได้มาฟ้องจำเลยเมื่อพ้น 3 เดือน และโดยมิได้ร้องทุกข์กล่าวโทษจำเลยภายใน 3 เดือน นับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด คดีโจทก์ย่อมขาดอายุความตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 96
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3767/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ยอมความในคดีอาญา: ผลผูกพันสิทธิฟ้อง และการระงับคดี
ผู้เสียหายยอมรับเงินสดและเช็คจากจำเลยเป็นการชำระหนี้แทนเช็คเดิมซึ่งผู้เสียหายได้ร้องทุกข์แก่พนักงานสอบสวนไว้แล้ว และได้นำเช็คไปเรียกเก็บเงินจากธนาคารตามเช็คด้วย แสดงว่าผู้เสียหายไม่ติดใจดำเนินคดีเกี่ยวกับเช็คเดิม ข้อตกลงระหว่างผู้เสียหายกับจำเลยจึงเป็นการยอมความกันในคดีอาญาความผิดต่อส่วนตัว แม้จะไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือประนีประนอมยอมความ ก็มีผลทำให้สิทธินำคดีอาญามาฟ้องระงับไปและผูกพันพนักงานอัยการโจทก์ การที่ผู้เสียหายยังไม่ได้รับเงินตามเช็คใหม่ก็ไม่เป็นเงื่อนไขในการตกลงยอมความ เพราะผู้เสียหายชอบที่จะดำเนินคดีแก่จำเลยเป็นคดีใหม่ต่อไปได้ โจทก์ไม่มีสิทธิรื้อฟื้นคดีเกี่ยวกับเช็คเดิมซึ่งยุติไปแล้วมาฟ้องจำเลยอีก เพราะสิทธิการฟ้องคดีของโจทก์ระงับไปแล้วตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3709/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องคดีเช็ค การระบุเวลาปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสาระสำคัญ
ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดอันเกิดจากการใช้เช็ค พ.ศ. 2497 มาตรา 3 นั้น จะเกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินจึงถือได้ว่าวันที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คเป็นเวลาที่เกิดการกระทำผิดซึ่งจะต้องบรรยายฟ้องไว้ เพราะเป็นข้อเท็จจริงและรายละเอียดเกี่ยวกับเวลาซึ่งเกิดการกระทำผิด มิฉะนั้นจำเลยย่อมไม่อาจเข้าใจข้อหาได้ดี เมื่อโจทก์กล่าวในฟ้องว่าจำเลยออกเช็คเมื่อวันใดมิได้ระบุวันเวลาที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คจึงเป็นฟ้องที่ไม่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 158(5)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3414/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เขตอำนาจศาลคดีเช็ค: สถานที่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเป็นสถานที่เกิดความผิด
ความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยผิดอันเกิดจากการใช้เช็คฯ เกิดขึ้นเมื่อธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค สถานที่ตั้ง ของธนาคารที่ปฏิเสธการจ่ายเงินจึงเป็นสถานที่ที่ความผิด เกิดขึ้น เมื่อธนาคารซึ่งปฏิเสธการจ่ายเงินตั้งอยู่ที่ จังหวัดภูเก็ต จึงต้องถือว่าความผิดเกิดขึ้นที่ จังหวัดภูเก็ต และจำเลยมีภูมิลำเนาอยู่ที่จังหวัดภูเก็ตโจทก์จึงชอบที่จะฟ้องจำเลยต่อศาลจังหวัดภูเก็ต
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 218 ว.อาญา กรณีโต้แย้งดุลพินิจศาลล่างในการรอการลงโทษ
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก 6 เดือน และรอการลงโทษไว้ ต้องห้ามมิให้ฎีกาใน ปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ปัญหาที่ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ เป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัย ข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ข้อที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งความผิดโดยนำเงินตามเช็คพิพาทไปชำระแก่โจทก์แล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อนจึงเห็นสมควรรอการลงโทษแก่จำเลย เป็นการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ โจทก์ฎีกาว่าเป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย แต่มิได้ฎีกาว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3283/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำรับสารภาพและดุลพินิจรอการลงโทษ ศาลฎีกาไม่อนุญาตฎีกา
ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนตามศาลชั้นต้นให้ลงโทษจำคุก 6 เดือนและรอการลงโทษไว้ ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ปัญหาที่ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ เป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ข้อที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งความผิด โดยนำเงินตามเช็คพิพาทไปชำระแก่โจทก์แล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อนจึงเห็นสมควรรอการลงโทษแก่จำเลย เป็นการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ โจทก์ฎีกาว่าเป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย แต่มิได้ฎีกาว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ปัญหาที่ว่าคำให้การรับสารภาพของจำเลยเป็นประโยชน์แก่การพิจารณาหรือไม่ เป็นปัญหาที่ต้องวินิจฉัยโดยอาศัยข้อเท็จจริงจากพยานหลักฐานในสำนวน จึงเป็นปัญหาข้อเท็จจริง
ข้อที่ศาลวินิจฉัยว่าจำเลยได้บรรเทาผลร้ายแห่งความผิด โดยนำเงินตามเช็คพิพาทไปชำระแก่โจทก์แล้ว ประกอบกับไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยกระทำผิดมาก่อนจึงเห็นสมควรรอการลงโทษแก่จำเลย เป็นการใช้ดุลพินิจในการกำหนดโทษ โจทก์ฎีกาว่าเป็นการคลาดเคลื่อนต่อกฎหมาย แต่มิได้ฎีกาว่าศาลล่างฟังข้อเท็จจริงนอกสำนวนผิดต่อกฎหมายแต่อย่างใด จึงเป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3279/2527 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงการชำระราคาจากความชำรุดบกพร่องของสินค้า และการออกเช็คโดยไม่มีเจตนาทุจริต
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ส่วนหนึ่งของค่าซื้อกล้องถ่ายรูปที่จำเลยซื้อจากโจทก์ไปขายให้แก่ กรมการปกครอง ซึ่งโจทก์ผู้ขายจะต้องรับผิดในความ ชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 เมื่อปรากฏว่าก่อนที่เช็คพิพาทจะถึง กำหนด จำเลยได้รับกล้องที่ชำรุดบกพร่องจากกรมการปกครองมา เพื่อซ่อมเกี่ยวกับตัวเฟืองภายในกล้องจำนวน 10 กล้องจำเลยย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 488ที่จะยึดหน่วงการชำระราคาไว้ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ดังนั้นการที่จำเลยสั่งห้ามมิให้ธนาคารจ่ายเงินตาม เช็คพิพาทและไม่นำเงินเข้าบัญชีจึงไม่เป็นการออกเช็ค โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือออกเช็คใน ขณะที่ออกเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3279/2527
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิยึดหน่วงการชำระราคาจากความชำรุดบกพร่องของสินค้าและการออกเช็คโดยไม่มีเจตนาทุจริต
จำเลยสั่งจ่ายเช็คพิพาทให้แก่โจทก์เพื่อชำระหนี้ส่วนหนึ่ง ของค่าซื้อกล้องถ่ายรูปที่จำเลยซื้อจากโจทก์ไปขายให้แก่ กรมการปกครอง ซึ่งโจทก์ ผู้ขายจะต้องรับผิดในความ ชำรุดบกพร่องของทรัพย์สินที่ซื้อขายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 472 เมื่อปรากฏว่าก่อนที่เช็คพิพาทจะถึง กำหนด จำเลยได้รับกล้องที่ชำรุดบกพร่องจากกรมการปกครองมา เพื่อซ่อมเกี่ยวกับตัวเฟืองภายในกล้องจำนวน 10 กล้องจำเลยย่อมมีสิทธิตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 488ที่จะยึดหน่วงการชำระราคาไว้ได้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน ดังนั้นการที่จำเลยสั่งห้ามมิให้ธนาคารจ่ายเงินตาม เช็คพิพาทและไม่นำเงินเข้าบัญชี จึงไม่เป็นการออกเช็ค โดยเจตนาที่จะไม่ให้มีการใช้เงินตามเช็คหรือออกเช็คใน ขณะที่ออกเงินในบัญชีมีไม่พอจ่าย