พบผลลัพธ์ทั้งหมด 762 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดมาตรา 147 อาญา: เจ้าพนักงานยักยอกทรัพย์ที่ได้รับมอบหมาย แม้ไม่ใช่ทรัพย์ของทางราชการโดยตรง
ความผิดตามมาตรา 147 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเป็นเรื่องบัญญัติเอาผิดแก่เจ้าหน้าที่ที่เบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนได้มาหรือถือไว้เพื่อจัดการตามหน้าที่ ไม่ใช่เอาผิดแต่เฉพาะว่าทรัพย์นั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของทางการหรือของใคร
การที่โจทก์บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินที่ไม่ใช่เป็นเงินผลประโยชน์ของทางการรถไฟฯ โดยแท้ ดังนี้ ไม่เป็นกรณีที่ทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้องอันจำเป็นที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
การที่โจทก์บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินที่ไม่ใช่เป็นเงินผลประโยชน์ของทางการรถไฟฯ โดยแท้ ดังนี้ ไม่เป็นกรณีที่ทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้องอันจำเป็นที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1958/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่เบียดบังทรัพย์ที่ได้รับมอบหมายให้จัดการ แม้ไม่ใช่ทรัพย์ของทางราชการโดยตรง ก็มีความผิดตามมาตรา 147
ความผิดตามมาตรา 147 แห่งประมวลกฎหมายอาญาเป็นเรื่องบัญญัติเอาผิดแก่เจ้าหน้าที่ที่เบียดบังเอาทรัพย์ที่ตนได้มาหรือถือไว้เพื่อจัดการตามหน้าที่ ไม่ใช่เอาผิดแต่เฉพาะว่าทรัพย์นั้นจะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของทางการหรือของใคร
การที่โจทก์บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินที่ไม่ใช่เป็นเงินผลประโยชน์ของทางการรถไฟฯโดยแท้ ดังนี้ ไม่เป็นกรณีที่ทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้องอันจำเป็นที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
การที่โจทก์บรรยายฟ้องมาว่า จำเลยเบียดบังยักยอกเอาเงินผลประโยชน์ของการรถไฟฯ ทางพิจารณาได้ความว่าจำเลยยักยอกเงินที่ไม่ใช่เป็นเงินผลประโยชน์ของทางการรถไฟฯโดยแท้ ดังนี้ ไม่เป็นกรณีที่ทางพิจารณาได้ความต่างกับฟ้องอันจำเป็นที่ศาลจะต้องพิพากษายกฟ้องตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1509/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการทำร้ายร่วมกัน และการไม่นำหลักฐานชั้นสอบสวนมาพิจารณา
มีดที่พวกของจำเลยใช้ทำร้าย ยาวประมาณ 1 ฟุตรวมทั้งด้าม แทงผู้ตายมีบาดแผลภายนอกผิวหนังฉีกขาดขนาดประมาณ2X0.5 เซนติเมตร ทะลุผ่านเนื้อกล้ามเข้าช่องซี่โครงที่ 11 ข้างซ้ายด้านหลัง เข้าช่องอกเฉี่ยวกระบังลมข้างซ้ายฉีกขาดทะลุเข้าหลอดเลือดแดงใหญ่ แม้ผู้แทงจะแทงผู้ตายเพียงทีเดียว เมื่อปรากฏว่าสถานที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่าง เห็นได้ชัด ผู้แทงมีโอกาสเลือกแทงได้ทั้งบาดแผลก็แสดงว่าแทงโดยแรงถูกอวัยวะสำคัญมากจนผู้ตายล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้น ดังนี้. ฟังได้ว่าผู้แทงมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
ถึงแม้ในชั้นสอบสวน จำเลยจะรับว่าได้เตะทำร้ายตามข้อกล่าวหา แต่ในชั้นศาลกลับให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นและยังอ้างตนเองนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เตะใครในคืนเกิดเหตุไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มิได้นำเอาคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนขึ้นวินิจฉัยฟังประกอบคำพยานโจทก์ลงโทษจำเลย คำให้การของจำเลยจึงไม่เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78
ถึงแม้ในชั้นสอบสวน จำเลยจะรับว่าได้เตะทำร้ายตามข้อกล่าวหา แต่ในชั้นศาลกลับให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นและยังอ้างตนเองนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เตะใครในคืนเกิดเหตุไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มิได้นำเอาคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนขึ้นวินิจฉัยฟังประกอบคำพยานโจทก์ลงโทษจำเลย คำให้การของจำเลยจึงไม่เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1509/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาฆ่าจากการแทงด้วยอาวุธอันตราย และการพิจารณาคำให้การชั้นสอบสวนที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา
มีดที่พวกของจำเลยใช้ทำร้าย ยาวประมาณ 1 ฟุตรวมทั้งด้าม แทงผู้ตายมีบาดแผลภายนอกผิวหนังฉีกขาดขนาดประมาณ2X0.5 เซนติเมตร ทะลุผ่านเนื้อกล้ามเข้าช่องซี่โครงที่ 11 ข้างซ้ายด้านหลัง เข้าช่องอกเฉี่ยวกระบังลมข้างซ้ายฉีกขาดทะลุเข้าหลอดเลือดแดงใหญ่ แม้ผู้แทงจะแทงผู้ตายเพียงทีเดียว เมื่อปรากฏว่าสถานที่เกิดเหตุมีแสงไฟสว่างเห็นได้ชัด ผู้แทงมีโอกาสเลือกแทงได้ทั้งบาดแผลก็แสดงว่าแทงโดยแรงถูกอวัยวะสำคัญมากจนผู้ตายล้มลงขาดใจตายอยู่ตรงนั้น ดังนี้. ฟังได้ว่าผู้แทงมีเจตนาฆ่าผู้ตาย
ถึงแม้ในชั้นสอบสวน จำเลยจะรับว่าได้เตะทำร้ายตามข้อกล่าวหา แต่ในชั้นศาลกลับให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นและยังอ้างตนเองนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เตะใครในคืนเกิดเหตุไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มิได้นำเอาคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนขึ้นวินิจฉัยฟังประกอบคำพยานโจทก์ลงโทษจำเลย คำให้การของจำเลยจึงไม่เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
ถึงแม้ในชั้นสอบสวน จำเลยจะรับว่าได้เตะทำร้ายตามข้อกล่าวหา แต่ในชั้นศาลกลับให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ทั้งสิ้นและยังอ้างตนเองนำสืบปฏิเสธว่าไม่ได้เตะใครในคืนเกิดเหตุไม่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ก็มิได้นำเอาคำให้การของจำเลยในชั้นสอบสวนขึ้นวินิจฉัยฟังประกอบคำพยานโจทก์ลงโทษจำเลย คำให้การของจำเลยจึงไม่เป็นการให้ความรู้แก่ศาลอันเป็นประโยชน์แก่การพิจารณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 78
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1313/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาที่ไม่สมบูรณ์เนื่องจากแก้ไขจำนวนเงินโดยไม่ได้รับความยินยอม ทำให้ไม่มีผลผูกพันและใช้เป็นหลักฐานไม่ได้
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป 600 บาท ได้ลงลายมือชื่อไว้ในแบบพิมพ์สัญญากู้และค้ำประกันที่ยังไม่ได้กรอกข้อความอื่นใดไว้เลยมอบให้โจทก์ไว้ ต่อมาโจทก์ได้กรอกข้อความและจำนวนเงินลงในเอกสารสัญญากู้และค้ำประกันว่า จำเลยที่ 1 ได้กู้เงินโจทก์ไป6,000 บาท และจำเลยที่ 2 ค้ำประกันเงินกู้จำนวนดังกล่าว การที่โจทก์กรอกข้อความลงในสัญญากู้และค้ำประกันว่าได้มีการกู้และค้ำประกันในจำนวนเงินถึง 6,000 บาท เกินกว่าจำนวนหนี้ที่เป็นจริงโดยจำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 2 มิได้รู้เห็นยินยอมด้วยนั้นสัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องจึงไม่สมบูรณ์ ทำให้เอกสารดังกล่าวนั้นเป็นเอกสารปลอม โจทก์จึงอ้างเอกสารนั้นมาเป็นพยานหลักฐานในคดีอย่างใดไม่ได้ ฉะนั้น การกู้เงิน 6,000 บาท และการค้ำประกันตามที่โจทก์นำมาฟ้องจึงถือว่าไม่มีพยานหลักฐานเป็นหนังสือที่จะฟ้องร้องให้บังคับคดีได้ (อ้างฎีกาที่ 286/2507 และ 1104/2508)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การกลับมาพร้อมอาวุธหลังมีปากเสียงบ่งชี้เจตนา
จำเลยมาทวงเงินผู้ตาย ผู้ตายว่ายังไม่มีให้ จำเลยก็ผลุนผลันออกจากบ้านผู้ตายหายไปราวชั่วโมงเศษแล้วกลับมาใหม่ เอามีดตอกมาแล้วลอดเข้าใต้ถุนบ้าน เลือกหาที่เหมาะแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตายนั้น เป็นการฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289 (4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1239/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน: การกลับมาพร้อมอาวุธเพื่อสังหารหลังมีปากเสียง
จำเลยมาทวงเงินผู้ตาย ผู้ตายว่ายังไม่มีให้ จำเลยก็ผลุนผลันออกจากบ้านผู้ตายหายไปราวชั่วโมงเศษแล้วกลับมาใหม่ เอามีดตอกมาแล้วลอดเข้าใต้ถุนบ้าน เลือกหาที่เหมาะแทงผู้ตายจนถึงแก่ความตาย นั้น เป็นการฆ่าคนโดยไตร่ตรองไว้ก่อนตามมาตรา 289(4) แห่งประมวลกฎหมายอาญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1226/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษทางอาญา: ดุลพินิจศาล, การประมาทเลินเล่อ, การชดใช้ค่าเสียหาย และการปราบปรามอาชญากรรม
การลงโทษแก่ผู้กระทำผิดมิใช่คำนึงแต่เพียงในแง่ส่วนตัวของผู้กระทำผิดเท่านั้นแต่เพื่อปราบปรามให้เกรงขามและรักษาความสงบเรียบร้อยโดยทั่ว ๆ ไปด้วย การที่จำเลยกระทำโดยประมาทอย่างร้ายแรงเป็นเหตุให้คนตายนั้น แม้จำเลยได้ยอมชดใช้เงินค่าเสียหายให้แก่เจ้าทุกข์และบิดาผู้ตายก่อนโดยดีมาตั้งแต่ต้นก็ตาม ก็เป็นข้อที่ศาลได้มีดุลพินิจกำหนดโทษให้เบาลงมากอยู่แล้ว ฉะนั้นจึงยังไม่มีเหตุสมควรที่จะรอการลงโทษให้จำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2515
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ: การที่จำเลยดำเนินคดีต่อไม่ได้เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวหาว่าโจทก์ฉ้อโกง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 348 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้แล้วโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะใช้หนี้ให้แก่ผู้กล่าวหาร้องทุกข์ แต่แล้วโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อผู้กล่าวหาร้องทุกข์ยังมิได้ถอนคำร้องทุกข์และยืนยันให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ต่อไป ทำให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเข้าใจว่าผู้กล่าวหาร้องทุกข์ยังมีสิทธิขอให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ต่อไปได้ จึงดำเนินคดีแก่โจทก์ต่อมาเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1221/2515 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การดำเนินคดีอาญาหลังทำสัญญาประนีประนอมยอมความ: การที่จำเลยดำเนินคดีต่อเมื่อผู้กล่าวหายังยืนยันดำเนินคดี ไม่ถือเป็นปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
ผู้เสียหายร้องทุกข์กล่าวหาว่าโจทก์ฉ้อโกง อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 348 ซึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้แล้วโจทก์ได้ทำสัญญาประนีประนอมยอมความจะใช้หนี้ให้แก่ผู้กล่าวหาร้องทุกข์ แต่แล้วโจทก์ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความนั้น เมื่อผู้กล่าวหาร้องทุกข์ยังมิได้ถอนคำร้องทุกข์และยืนยันให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ต่อไป ทำให้จำเลยซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเข้าใจว่าผู้กล่าวหาร้องทุกข์ยังมีสิทธิขอให้ดำเนินคดีแก่โจทก์ต่อไปได้ จึงดำเนินคดีแก่โจทก์ต่อมาเช่นนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ