คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ศวิต สมหวัง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 216 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2159/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการทำนิติกรรมของผู้อนุบาลในสินบริคณห์: การยกที่ดินให้บุตรโดยเสน่หาไม่ผูกพันส่วนของผู้ไร้ความสามารถ
กรณีภริยาเป็นผู้อนุบาลสามีซึ่งเป็นผู้ไร้ความสามารถตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1457 นั้น มาตรา 1581ไม่ให้นำบทบัญญัติว่าด้วยความปกครองมาบังคับจึงจะนำมาตรา 1561,1562,1563. ซึ่งเป็นบทบัญญัติว่าด้วยความปกครองมาบังคับแก่ภริยาซึ่งเป็นผู้อนุบาลสามีหาได้ไม่
ภริยาซึ่งเป็นผู้อนุบาลสามี มีสิทธิทำนิติกรรมขายสินบริคณห์ได้โดยลำพัง หากกระทำไปเพื่อประโยชน์ของสามีตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 710/2490 แต่การที่ภริยาเอาที่ดินสินบริคณห์ไปยกให้แก่บุตรคนหนึ่งโดยเสน่หา มิใช่กระทำไปเพื่อประโยชน์ของสามีแต่อย่างใด ภริยาในฐานะผู้อนุบาลจึงไม่มีสิทธิเอาที่ดินส่วนที่เป็นของสามีไปยกให้แก่บุตรโดยเสน่หาได้ คงมีสิทธิกระทำได้ในฐานะที่เป็นภริยา ซึ่งมีส่วนเป็นเจ้าของที่ดินสินบริคณห์นั้นด้วย โดยมิพักต้องได้รับอนุญาตจากสามี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 39 นิติกรรมการให้ที่ดินโดยเสน่หาดังกล่าว จึงผูกพันส่วนที่เป็นของภริยา แต่ไม่ผูกพันส่วนของสามี เมื่อข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าที่ดินสินบริคณห์นั้น สามีกับภริยามีส่วนคนละเท่าใด และภริยาก็ทำนิติกรรมให้บุตรมีชื่อถือกรรมสิทธิ์ในที่ดินร่วมกับสามีอันมีผลเท่ากับภริยายอมสละส่วนของตนให้แก่บุตรเท่านั้น นิติกรรมรายนี้จึงไม่เป็นโมฆะ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความกับการสละมรดก: การตกลงชำระหนี้และสละสิทธิในทรัพย์มรดก
การที่ผู้ร้องเจาะจงสละที่ดินมรดกส่วนของผู้ร้องให้จำเลยโดยเฉพาะ ไม่ใช่การสละมรดกตามความในมาตรา 1612 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การที่ผู้ร้องและจำเลยตกลงกันโดยทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อไว้ทั้งสองฝ่ายให้จำเลยเป็นผู้ใช้หนี้โจทก์แทนนาง อ. และผู้ร้องยอมสละที่ดินมรดกส่วนของตนให้จำเลย เช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 850 ใช้บังคับได้ และเมื่อผู้ร้องยอมสละส่วนมรดกของตนให้จำเลยไปแล้ว จึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2049/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สละมรดกโดยเจาะจง vs. สัญญาประนีประนอมยอมความ: การสละมรดกเฉพาะเจาะจงไม่ใช่การสละมรดกตามกฎหมาย แต่เป็นสัญญาประนีประนอมยอมความ
การที่ผู้ร้องเจาะจงสละที่ดินมรดกส่วนของผู้ร้องให้จำเลยโดยเฉพาะ ไม่ใช่การสละมรดกตามความในมาตรา 1612 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ แต่การที่ผู้ร้องและจำเลยตกลง กันโดยทำเป็นหนังสือลงลายมือชื่อไว้ทั้งสองฝ่าย ให้จำเลยเป็นผู้ใช้หนี้โจทก์แทนนาง อ. และผู้ร้องยอมสละที่ดินมรดกส่วนของตนให้จำเลย เช่นนี้มีลักษณะเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา850 ใช้บังคับได้ และเมื่อผู้ร้องยอมสละส่วนมรดกของตนให้จำเลยไปแล้ว จึงไม่มีสิทธิขอกันส่วนจากเงินที่ได้จากการขายทอดตลาดที่ดินรายนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1952/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินและการคิดค่าธรรมเนียมคดีมีทุนทรัพย์ ศาลฎีกาวินิจฉัยประเด็นกรรมสิทธิ์และยืนตามศาลชั้นต้น
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้แบ่งแยกโฉนดโดยอ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 10 ไร่ 3 งานเศษ จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์เพียง 3 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา ประเด็นที่โต้เถียงกันมีว่าโจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่เท่าใด จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีมีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1952/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทเรื่องกรรมสิทธิ์ที่ดินและการคิดค่าธรรมเนียมคดีมีทุนทรัพย์
โจทก์ฟ้องจำเลยขอให้แบ่งแยกโฉนดโดยอ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์ที่ดิน 10 ไร่ 3 งานเศษ จำเลยต่อสู้ว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์เพียง 3 ไร่ 2 งาน 40 ตารางวา ประเด็นที่โต้เถียงกันมีว่า โจทก์เป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินเนื้อที่เท่าใด จึงเป็นคดีที่มีคำขอให้ปลดเปลื้องทุกข์อันอาจคำนวณเป็นราคาเงินได้รวมอยู่ด้วย โจทก์จึงต้องเสียค่าธรรมเนียมอย่างคดีมีทุนทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิไม่สุจริตทางการค้า: การเลียนแบบเครื่องหมายการค้าทำให้เกิดความเข้าใจผิดแก่ผู้บริโภค
โจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วยโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า "HALLS" และได้จดทะเบียนเครื่องหมายดังกล่าวในจำพวกที่ 3 สำหรับสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วย ซึ่งกองเครื่องหมายการค้าได้จดทะเบียนแล้วเมื่อวันที่ 26กุมภาพันธ์ 2506 ครั้นวันที่ 23 มีนาคม 2510 จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า "HALL" ในสินค้าจำพวก 48 เครื่องสำอาง ดังนี้ ความสำคัญที่เห็นเด่นชัดที่ผู้ซื้อสนใจหรือสังเกตว่าเป็นชื่อเครื่องหมายการค้าอยู่ตรงที่มีอักษรโรมัน และสำเนียงที่เรียกขานทั้งของโจทก์และของจำเลยก็อ่านว่า "ฮอลล์"อย่างเดียวกัน เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นว่าสินค้าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นที่แพร่หลาย โดยโจทก์ได้แพร่ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ ภาพยนตร์ เอกสารสิ่งพิมพ์แผ่นป้ายโฆษณา และหน่วยรถฉายภาพยนตร์แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ เครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวจึงส่อให้เห็นถึงการฉวยโอกาสเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์ เพื่อแสวงหาประโยชน์จำหน่ายสินค้าของจำเลย อันอาจทำให้ประชาชนหลงผิดได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคือเครื่องหมายการค้าของโจทก์แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยในสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของโจทก์ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย เพราะผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าที่โจทก์ผลิตขึ้น การกระทำของจำเลยเป็นการส่อเจตนาที่จะลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นของโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1938/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้สิทธิทางการค้าโดยไม่สุจริต เลียนแบบเครื่องหมายการค้าของผู้อื่น ทำให้เกิดความสับสนแก่ผู้บริโภค
โจทก์เป็นผู้ผลิตสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วยโดยใช้เครื่องหมายการค้าคำว่า " HALLS " และได้จดทะเบียนเครื่องหมายดังกล่าวในจำพวกที่ 3 สำหรับสินค้าลูกกวาดและขนมที่มียาผสมอยู่ด้วย ซึ่งกองเครื่องหมายการค้าได้จดทะเบียนแล้วเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2506 ครั้นวันที่ 23 มีนาคม 2510 จำเลยได้ยื่นคำขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยคำว่า " HALL" ในสินค้าจำพวก 48 เครื่องสำอาง ดังนี้ความสำคัญที่เห็นเด่นชัดที่ผู้ซื้อสนใจหรือสังเกตว่าเป็นชื่อเครื่องหมายการค้าอยู่ตรงที่มีอักษรโรมันและสำเนียงที่เรียกขานทั้งของโจทก์และของจำเลยก็อ่านว่า "ฮอลล์" อย่างเดียวกัน เมื่อโจทก์นำสืบให้เห็นว่าสินค้าเครื่องหมายการค้าของโจทก์เป็นที่แพร่หลายโดยโจทก์ได้แพร่ภาพโฆษณาทางโทรทัศน์ภาพยนตร์ เอกสารสิ่งพิมพ์แผ่นป้ายโฆษณา และหน่วยรถฉายภาพยนตร์แต่จำเลยหาได้กระทำไม่ เครื่องหมายการค้าของจำเลยดังกล่าวจึงส่อให้เห็นถึงการฉวยโอกาสเลียนแบบเครื่องหมายการค้าของโจทก์เพื่อแสวงหาประโยชน์จำหน่ายสินค้าของจำเลย อันอาจทำให้ประชาชนหลงผิดได้ว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยคือเครื่องหมายการค้าของโจทก์ แม้จำเลยจะจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลยในสินค้าต่างจำพวกกับสินค้าของโจทก์ซึ่งใช้เครื่องหมายการค้านั้นอยู่ก่อนแล้ว ก็ย่อมทำให้โจทก์เสียหาย เพราะผู้ซื้อหรือผู้ใช้สินค้าอาจหลงผิดว่าสินค้าของจำเลยเป็นสินค้าที่โจทก์ผลิตขึ้น การกระทำของจำเลยเป็นการส่อเจตนาที่จะลวงขายสินค้าของจำเลยว่าเป็นของโจทก์ จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต โจทก์มีสิทธิห้ามจำเลยใช้เครื่องหมายการค้าดังกล่าวนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2517

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องฉ้อโกงและรับของโจร: ฟ้องเคลือบคลุมเมื่อบรรยายขัดแย้งกัน จำเลยไม่เข้าใจข้อกล่าวหา
ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์ด้วยการหลอกลวง แต่ความผิดฐานรับของโจร ทรัพย์ที่ได้มาด้วยการฉ้อโกงนั้น ผู้รับของโจรไม่ได้ไปหลอกลวงด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ (ข) สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงว่า จำเลยที่ 2 ได้ปุ๋ยมาด้วยการร่วมกับจำเลยที่ 1 นำใบอินวอยซ์ปลอมไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่บริษัท ส. แต่กลับบรรยายฟ้องข้อ(ค) ในความผิดฐานรับของโจรว่า จำเลยที่ 2 รับปุ๋ยรายเดียวกันนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่า เป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการฉ้อโกงซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ไปหลอกลวงด้วยจึงขัดแย้งกัน การที่โจทก์ฟ้องรวมกันมาเพื่อให้ศาลวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงแห่งคดีว่าจะเป็นความผิดฐานใดเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ไม่อาจเข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวหาว่ากระทำการอย่างใดแน่ ย่อมต่อสู้คดีไม่ถูก ฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในความผิดสองฐานนี้จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม แต่สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้กล่าวหาว่ากระทำผิดฐานรับของโจรด้วย ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฉ้อโกงจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1881/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องฉ้อโกงและรับของโจรต้องชัดเจน การบรรยายฟ้องขัดแย้งกันทำให้จำเลยสับสนและไม่สามารถต่อสู้คดีได้อย่างถูกต้อง
ความผิดฐานฉ้อโกงเป็นเรื่องที่ผู้กระทำผิดได้ทรัพย์ด้วยการหลอกลวงแต่ความผิดฐานรับของโจร ทรัพย์ที่ได้มาด้วยการฉ้อโกงนั้น ผู้รับของโจรไม่ได้ไปหลอกลวงด้วย เมื่อโจทก์บรรยายฟ้องในข้อ (ข) สำหรับความผิดฐานฉ้อโกงว่า จำเลยที่ 2ได้ปุ๋ยมาด้วยการร่วมกับจำเลยที่ 1 นำใบอินวอยซ์ปลอมไปหลอกลวงเจ้าหน้าที่บริษัท ส. แต่กลับบรรยายฟ้องข้อ(ค)ในความผิดฐานรับของโจรว่า จำเลยที่ 2 รับปุ๋ยรายเดียวกันนี้ไว้โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นปุ๋ยที่ได้มาจากการฉ้อโกงซึ่งแสดงว่าจำเลยที่ 2 ไม่ได้ไปหลอกลวงด้วยจึงขัดแย้งกัน การที่โจทก์ฟ้องรวมกันมาเพื่อให้ศาลวินิจฉัยไปตามข้อเท็จจริงแห่งคดีว่าจะเป็นความผิดฐานใดเช่นนี้ จำเลยที่ 2 ไม่อาจเข้าใจได้ว่าโจทก์กล่าวหาว่ากระทำการอย่างใดแน่ ย่อมต่อสู้คดีไม่ถูกฟ้องของโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 2 ในความผิดสองฐานนี้จึงเป็นฟ้องที่เคลือบคลุม แต่สำหรับจำเลยที่ 1 โจทก์มิได้กล่าวหาว่ากระทำผิดฐานรับของโจรด้วย ฟ้องโจทก์เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 ในความผิดฐานฉ้อโกงจึงไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1857/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คดีถึงที่สุดแม้มีการถอนคำร้องทุกข์ ค่าปรับยังต้องชำระ
คดีอาญาที่ต้องห้ามฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง แม้จำเลยจะยื่นฎีกาไว้แต่ในที่สุดศาลฎีกามีคำสั่งไม่รับฎีกา ต้องถือว่าคดีถึงที่สุดเมื่อระยะเวลายื่นฎีกาได้สิ้นสุดลงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 147 วรรคสอง
ผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์หลังจากคดีถึงที่สุดไปแล้ว ย่อมไม่เป็นผลให้คดีระงับไปตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 39(2) คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังใช้บังคับอยู่เมื่อศาลอุทธรณ์พิพากษาลงโทษปรับจำเลย จำเลยมายื่นคำร้องขอคืนค่าปรับโดยอ้างเหตุว่าผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์แล้ว จึงไม่มีเหตุที่จะสั่งคืนค่าปรับให้จำเลยได้
of 22