พบผลลัพธ์ทั้งหมด 216 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในการทำร้ายร่างกายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 การกระทำต้องมีเจตนาจึงเป็นความผิด
ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาจึงจะเป็นความผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1119/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาในความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 การกระทำต้องมีเจตนาจึงจะมีความผิด
ความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นโดยไม่ถึงกับเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 391 นั้น ผู้กระทำต้องมีเจตนาจึงจะเป็นความผิดตามมาตรานี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่จากละเมิดหลังมีคำพิพากษาชี้ขาดกรรมสิทธิ์ และการครอบครองปรปักษ์ที่ไม่สมบูรณ์
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยตามมูลสัญญาเช่า โดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นมูลละเมิด โดยอ้างว่าศาลฎีกาได้พิพากษาว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ในคดีอีกเรื่องหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านอีกต่อไป ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเรื่องไม่เหมือนกันโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมากล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย พ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515 ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมากล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลย พ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515 ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องขับไล่หลังมีคำพิพากษาชี้ขาดกรรมสิทธิ์ การครอบครองปรปักษ์ไม่สำเร็จเนื่องจากความขัดแย้งทางกฎหมาย
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยตามมูลสัญญาเช่า โดยอ้างว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่คดีนี้โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยเป็นมูลละเมิดโดยอ้างว่าศาลฎีกาได้พิพากษาว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ในคดีอีกเรื่องหนึ่ง จำเลยไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านอีกต่อไป ประเด็นแห่งคดีทั้งสองเรื่องไม่เหมือนกันโจทก์จึงฟ้องคดีนี้ได้ ไม่เป็นฟ้องซ้ำ
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมา กล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยพ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
ศาลฎีกาได้วินิจฉัยไว้แล้วในคดีที่จำเลยฟ้องขอให้โจทก์โอนที่ดินพร้อมบ้านพิพาทให้จำเลย ว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ผลแห่งคำพิพากษาย่อมผูกพันจำเลยผู้เป็นคู่ความ จำเลยจะอ้างในคดีนี้อีกว่าบ้านพิพาทเป็นของจำเลยหาได้ไม่ จำเลยจึงไม่มีสิทธิจะอยู่ในบ้านพิพาท การที่จำเลยอยู่ต่อมาจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
โจทก์จำเลยเป็นความแย่งกรรมสิทธิ์บ้านพิพาทกันตลอดมา กล่าวคือ พ.ศ. 2509 โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยพ.ศ. 2510 จำเลยกลับฟ้องให้โจทก์โอนบ้านพิพาทคืนจำเลย จนปี พ.ศ. 2515ศาลฎีกาจึงชี้ขาดว่าบ้านพิพาทเป็นของโจทก์ ระหว่างระยะเวลาดังกล่าวการครอบครองบ้านพิพาทของจำเลย หาเป็นการครอบครองด้วยความสงบตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1382 ไม่ จะนับเวลาในช่วงนี้รวมเข้ากับระยะเวลาที่จำเลยครอบครองมาก่อนนั้นเพื่อให้ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์มิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 812/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์และการซื้อขายที่ไม่สุจริต ศาลต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง แม้มีการแถลงรับในบางส่วน
โจทก์ฟ้องว่าได้ซื้อที่พิพาทมาโดยสุจริต จำเลยคัดค้านการรังวัดสอบเขตโฉนดที่พิพาท ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่ดินเป็นของโจทก์ ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง จำเลยให้การว่าได้ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 30 กว่าปี โดยความสงบเปิดเผยด้วยเจตนาเป็นเจ้าของ ที่พิพาทจะอยู่ในเขตโฉนดหรือไม่ ไม่รับรอง และโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริต ดังนี้แม้ต่อมาจำเลยจะแถลงรับว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ก็มิทำให้ประเด็นข้อต่อสู้เรื่องการครอบครองปรปักษ์จนได้กรรมสิทธิ์ของจำเลยต้องระงับไปเพราะการครอบครองปรปักษ์จะเกิดมีขึ้นได้ก็แต่ในที่ดินของผู้อื่นทั้งจำเลยก็ไม่ได้สละประเด็นเรื่องโจทก์ซื้อที่พิพาทโดยไม่สุจริตการที่ศาลชั้นต้นถือเอาคำแถลงรับของจำเลยดังกล่าวมาสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลย จึงไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 644/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำบังคับศาลย่อมมีผลผูกพัน แม้มีการเปลี่ยนแปลงสถานะของโจทก์ภายหลังคำพิพากษาถึงที่สุด
เมื่อศาลพิพากษาคดีถึงที่สุด ให้จำเลยรื้อถอนโรงเรือนของจำเลยออกไปจากที่ดินของโจทก์ และจำเลยได้ทราบคำบังคับแล้ว จำเลยก็ต้องปฏิบัติตามคำบังคับของศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 271 โดยรื้อถอนโรงเรือนออกไป จำเลยจะยกเอาผลแห่งคำพิพากษาในคดีอื่นซึ่งไม่มีผลเปลี่ยนแปลงแก้ไขกลับหรืองดคำพิพากษาในคดีนี้มาเป็นเหตุให้ศาลงดหรือเพิกถอนคำบังคับเสียหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 636/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อพิพาทการเล่นแชร์: การรับผิดของหัวหน้าวงต่อลูกวงเมื่อลูกวงไม่ชำระเงิน
โจทก์จำเลยและผู้อื่นตกลงเล่นแชร์กัน โจทก์เป็นนายวงมีสิทธิได้เงินจากลูกวงคนอื่นก่อนโดยไม่ต้องประมูลและไม่ต้องเสียดอกเบี้ยแต่ต้องเป็นผู้รวบรวมเงินจากลูกวงเอาไปให้กับผู้ที่ประมูลได้ และผู้ประมูลได้ต้องทำสัญญากู้ให้แก่ลูกวงคนอื่นเป็นประกันการชำระหนี้โดยมอบให้โจทก์ไว้เพื่อเรียกเก็บเงินในภายหลัง เมื่อปรากฏว่าจำเลยประมูลแชร์ได้ ได้รับเงินไปแล้ว และได้ทำสัญญากู้มอบให้โจทก์ไว้แต่ครั้นผู้อื่นประมูลได้ จำเลยไม่ชำระเงินโจทก์ต้องชำระแทนไปโจทก์ก็มาฟ้องเรียกให้จำเลยชดใช้เงินและนำสืบว่ามูลหนี้ตามสัญญากู้เกิดจากการเล่นแชร์มิใช่การยืมเงินได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาท - ผู้เสียหาย - อำนาจฟ้อง - การพิจารณาตามบุคคลทั่วไป
ภาพวาดและข้อความที่จำเลยโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ไม่มีข้อความตอนใดพาดพิงถึงเทศบาลเมืองยะลา หรืออาจให้เข้าใจได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความ ส.ซึ่งเป็นนายกเทศมนตรีกับคณะเทศมนตรีเมืองยะลาครั้งแรกจนถึงวันเกิดเหตุคดีนี้ เทศบาลเมืองยะลามีคณะเทศมนตรีสับเปลี่ยนกันถึง 7 ชุด มิใช่มีคณะเทศมนตรีชุดนี้เพียงชุดเดียว และในความผิดฐานหมิ่นประมาทอันจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชังนั้น ต้องถือตามความรู้สึกนึกคิดของบุคคลธรรมดาทั่วไป มิใช่ถือเอาแต่ความรู้สึกของผู้ที่อ้างว่าตนเป็นผู้เสียหายเท่านั้น จึงยังไม่พอถือได้ว่า ส.และคณะเทศมนตรี เมืองยะลาเป็นผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 2(4) ไม่มีสิทธิร้องทุกข์ให้พนักงานสอบสวนดำเนินคดีกับจำเลยได้ โจทย์จึงไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษตามมาตรา 326,328
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 619/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทต้องพิจารณาจากบุคคลทั่วไป ไม่ใช่ผู้เสียหาย และต้องมีเจตนาเฉพาะเจาะจง
การกระทำซึ่งจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง อันเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาทนั้น ต้องถือตามความรู้สึกนึกคิดของบุคคลธรรมดาทั่วไป มิใช่ถือเอาแต่ความรู้สึกของผู้ที่อ้างว่าตนเป็นผู้เสียหาย
จำเลยลงภาพวาดมีข้อความกำกับในหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของและบรรณาธิการ และมีสำนักงานอยู่ในเขตเทศบาลเมืองยะลากล่าวหาว่ามีการทุจริตในเทศบาล แต่หนังสือพิมพ์ของจำเลยลงข่าวเหตุการณ์และจำหน่ายทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ มิได้จำหน่ายเฉพาะในเมืองยะลา และข้อความนั้นไม่มีตอนใดพาดพิงถึงเทศบาลเมืองยะลาโดยเฉพาะเจาะจงหรืออาจเข้าใจได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความนายกเทศมนตรีกับคณะเทศมนตรีเมืองยะลาในขณะนั้น ทั้งในช่วงระยะปีเศษก่อน มีการโฆษณาภาพและข้อความนั้น เทศบาลเมืองยะลาก็มีการเปลี่ยนคณะเทศมนตรีถึง 7 ชุด คณะเทศมนตรีเมืองยะลาในขณะนั้นจึงไม่เป็นผู้เสียหายอันจะฟ้องร้องให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาทได้
จำเลยลงภาพวาดมีข้อความกำกับในหนังสือพิมพ์ซึ่งจำเลยเป็นเจ้าของและบรรณาธิการ และมีสำนักงานอยู่ในเขตเทศบาลเมืองยะลากล่าวหาว่ามีการทุจริตในเทศบาล แต่หนังสือพิมพ์ของจำเลยลงข่าวเหตุการณ์และจำหน่ายทั่วไปในจังหวัดภาคใต้ มิได้จำหน่ายเฉพาะในเมืองยะลา และข้อความนั้นไม่มีตอนใดพาดพิงถึงเทศบาลเมืองยะลาโดยเฉพาะเจาะจงหรืออาจเข้าใจได้ว่าเป็นการหมิ่นประมาทใส่ความนายกเทศมนตรีกับคณะเทศมนตรีเมืองยะลาในขณะนั้น ทั้งในช่วงระยะปีเศษก่อน มีการโฆษณาภาพและข้อความนั้น เทศบาลเมืองยะลาก็มีการเปลี่ยนคณะเทศมนตรีถึง 7 ชุด คณะเทศมนตรีเมืองยะลาในขณะนั้นจึงไม่เป็นผู้เสียหายอันจะฟ้องร้องให้ลงโทษจำเลยฐานหมิ่นประมาทได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 525/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เงินดาวน์เช่าซื้อ, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน, การชำระด้วยเช็ค, ความเสียหายจากการใช้รถ
เงินดาวน์เป็นเงินค่าเช่าซื้อส่วนหนึ่งที่ผู้เช่าซื้อจะต้องชำระในวันทำสัญญา หาใช่เงินค่าเช่าซื้อที่ค้างชำระไม่ ตามสัญญาค้ำประกันระบุไว้ชัดว่าผู้ค้ำประกันต้องรับผิดในเงินค่าเช่าซื้อทั้งหมดซึ่งรวมทั้งเงินดาวน์ด้วย ตามสัญญาเช่าซื้อไม่มีข้อห้ามการชำระค่าเช่าซื้อด้วยเช็คโจทก์ผู้ให้เช่าย่อมรับชำระเงินดาวน์ด้วยเช็คได้ เมื่อโจทก์รับเงินตามเช็คไม่ได้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องรับผิด
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อและใบเสร็จรับเงินจะระบุว่า โจทก์ได้รับเงินดาวน์จำนวน 25,080 บาทไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าชำระเงินดาวน์ด้วยเช็ค โจทก์ก็นำสืบได้ว่าโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นไม่ได้ หาเป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่
เมื่อจำเลยที่ 2 เอารถคันพิพาทไปใช้ชำรุดเสียหาย จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ครอบครองรถคันนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรค 3 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 601/2513)
แม้ตามสัญญาเช่าซื้อและใบเสร็จรับเงินจะระบุว่า โจทก์ได้รับเงินดาวน์จำนวน 25,080 บาทไว้ถูกต้องแล้วก็ตาม แต่เมื่อจำเลยที่ 1 ผู้เช่าชำระเงินดาวน์ด้วยเช็ค โจทก์ก็นำสืบได้ว่าโจทก์เรียกเก็บเงินตามเช็คนั้นไม่ได้ หาเป็นการสืบแก้ไขเปลี่ยนแปลงเอกสารไม่
เมื่อจำเลยที่ 2 เอารถคันพิพาทไปใช้ชำรุดเสียหาย จำเลยที่ 2ในฐานะผู้ค้ำประกันก็ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ตลอดระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 ครอบครองรถคันนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 391 วรรค 3 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 601/2513)