พบผลลัพธ์ทั้งหมด 393 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261-1262/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกคืนที่นาที่มอบให้ทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ แม้มิมีหลักฐานเป็นหนังสือก็มีอำนาจฟ้องได้
ฟ้องเรียกที่นาพิพาทของโจทก์ที่มอบให้ฝ่ายจำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้คืนโดยขอชำระเงินที่กู้ยืมจากฝ่ายจำเลยไป มิใช่การฟ้องร้องบังคับคดีในเรื่องการกู้เงินตามความหมายในมาตรา 653 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ดังนั้น แม้มิได้ทำหลักฐานแห่งการกู้ยืมเป็นหนังสือลงลายมือชื่อผู้ยืมเป็นสำคัญ โจทก์ก็มีอำนาจฟ้อง และโจทก์มีสิทธินำสืบพยานบุคคลในเรื่องการกู้ยืมเงินเพื่อประกอบข้ออ้างของโจทก์ว่าเหตุใดโจทก์จึงมอบที่นาพิพาทให้ฝ่ายจำเลยทำกินได้ เพราะกรณีมอบที่นาให้ทำกินต่างดอกเบี้ยเงินกู้ไม่มีกฎหมายบังคับว่าต้องมีพยานเอกสารมาแสดงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1232/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดครองที่ดินของรัฐโดยไม่ได้รับอนุญาต เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน
ที่ดินของรัฐตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 1 และ 2 รวมถึงที่ชายทะเลซึ่งมิได้เป็นกรรมสิทธิ์ของบุคคลใด ไม่ต้องเป็นที่ตาม พระราชบัญญัติแร่ฯ หรือ พระราชบัญญัติป่าไม้ฯจำเลยเข้ายึดถือครอบครองโดยไม่รับอนุญาตเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายที่ดิน มาตรา 108
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1222/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ธนาคารใช้เงินฝากผิดวัตถุประสงค์เป็นละเมิดต่อเจ้าของเงิน
ส.ม.ฝากเงินของห้างหุ้นส่วนจำกัดโจทก์แก่ธนาคารในชื่อส. ม. ตั้งแต่ก่อนจดทะเบียน เมื่อจดทะเบียนแล้วธนาคารเอาเงินในบัญชีนี้ใช้หนี้ส่วนตัว ส. โดยโจทก์ไม่ยินยอมและธนาคารทราบแล้วว่าเป็นเงินของโจทก์ เป็นเหตุให้ธนาคารไม่จ่ายเงินตามเช็คของโจทก์ทำให้โจทก์เสียชื่อเสียงดังนี้เป็นละเมิด ธนาคารต้องใช้เงินคืนกับดอกเบี้ยและใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ด้วย
ประเด็นเรื่องโจทก์ควรฟ้องหรือร้องขัดทรัพย์ แม้ศาลยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) แต่ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจดังกล่าวต่อเมื่อมีเหตุอันควร จึงไม่วินิจฉัยในข้อนี้
ประเด็นเรื่องโจทก์ควรฟ้องหรือร้องขัดทรัพย์ แม้ศาลยกเรื่องอำนาจฟ้องขึ้นวินิจฉัยได้เองโดยที่ศาลชั้นต้นไม่ได้ตั้งประเด็นไว้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142(5) แต่ศาลฎีกาใช้ดุลพินิจดังกล่าวต่อเมื่อมีเหตุอันควร จึงไม่วินิจฉัยในข้อนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องและการตั้งประเด็นข้อต่อสู้ที่ไม่ถูกต้อง ศาลฎีกายืนตามผลคำพิพากษาเดิม
จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องว่า จำเลยได้เคยแจ้งแก่โจทก์แล้วว่าเงินค่าหุ้นของโจทก์ที่โจทก์มีสิทธิรับตามสัญญานั้น จำเลยขอหักกับส่วนหนึ่งของหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดแก่จำเลยตามสัญญา หนี้เงินค่าหุ้นของโจทก์จึงระงับไปแล้วทั้งสิ้น โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้อง ดังนี้ประเด็นเรื่องจำเลยขอหักกลบลบหนี้จึงไม่มี และเมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าว ประเด็นเรื่องสิทธิเรียกร้องของจำเลยตามคำให้การที่ขอหักหนี้ตามฟ้องโจทก์ จะมีข้อต่อสู้หรือไม่จึงไม่มีเช่นกัน ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ก็รับวินิจฉัยต่อมา จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยฎีกาต่อมาศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1198/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องคดีซื้อขายหุ้น: การแจ้งเจตนาหักกลบลบหนี้ก่อนฟ้อง ไม่ถือเป็นการหักกลบลบหนี้ที่ระงับอำนาจฟ้อง
จำเลยให้การต่อสู้เรื่องอำนาจฟ้องว่า จำเลยได้เคยแจ้งแก่โจทก์แล้วว่า เงินค่าหุ้นของโจทก์ที่โจทก์มีสิทธิรับตามสัญญานั้น จำเลยขอหักกับส่วนหนึ่งของหนี้ที่โจทก์ต้องรับผิดแก่จำเลยตามสัญญา หนี้เงินค่าหุ้นของโจทก์จึงระงับไปแล้วทั้งสิ้น โจทก์จึงไม่อำนาจฟ้อง ดังนี้ ประเด็นเรื่องจำเลยขอหักกลบลบหนี้จึงไม่มี และเมื่อไม่มีประเด็นดังกล่าว ประเด็นเรื่องสิทธิเรียกร้องของจำเลยตามคำให้การที่ขอหักหนี้ตามฟ้องโจทก์ จะมีข้อต่อสู้หรือไม่ จึงไม่มีเช่นกัน ศาลชั้นต้นตั้งประเด็นข้อนี้ขึ้นวินิจฉัย และศาลอุทธรณ์ก็รับวินิจฉัยต่อมา จึงเป็นการไม่ถูกต้อง เมื่อจำเลยฎีกาต่อมาศาลฎีกาย่อมไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองโดยชอบด้วยกฎหมายหลังคดีแพ่งถึงที่สุด ผลต่อความผิดฐานบุกรุก
บิดาจำเลยที่ 1 มอบให้จำเลยที่ 1 ฟ้องขับไล่โจทก์ในคดีนี้ออกจากที่ดินศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่โจทก์เมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 2514โจทก์ร้องขออุทธรณ์อย่างคนอนาถาศาลอุทธรณ์สั่งยกคำร้องและสั่งว่า ถ้าโจทก์ประสงค์จะอุทธรณ์ ให้นำค่าธรรมเนียมมาวางศาลภายใน 20 วันนับแต่วันอ่านคำสั่งคือวันที่ 31 มีนาคม 2515 โจทก์ไม่นำค่าธรรมเนียมมาวาง คดีแพ่งจึงถึงที่สุดในวันที่ 20 เมษายน 2515 ตามมาตรา 147 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหาใช่ถึงที่สุดในวันที่ 13 ตุลาคม 2514 ไม่
แม้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้โจทก์ออกจากที่พิพาทภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในคำบังคับคือภายในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2514 ก็ตามแต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับด้วยและศาลอุทธรณ์ยังสั่งคำร้องไม่ได้ เพราะโจทก์ยังไม่เสียค่าธรรมเนียมอุทธรณ์จนกระทั่งคดีถึงที่สุด จึงต้องถือว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2514 ซึ่งเป็นวันที่คดีถึงที่สุดเป็นการครอบครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 หาใช่เป็นการครอบครองโดยละเมิดไม่
เมื่อจำเลยที่ 1 ได้กระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ภายในวันที่ 20 เมษายน 2515 อันเป็นวันสุดท้ายที่ถือว่าโจทก์ครอบครองห้องพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของบิดาจำเลยโดยชอบ คดีโจทก์จึงมีมูลในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
จำเลยที่ 3 กล่าวแก่บุตรของบริวารโจทก์ว่า ออกไปเสียเถอะหนู อยู่ไปจะลำบากดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข
แม้ศาลชั้นต้นออกคำบังคับให้โจทก์ออกจากที่พิพาทภายใน 1 เดือนนับแต่วันที่โจทก์ลงลายมือชื่อไว้ในคำบังคับคือภายในวันที่ 13 พฤศจิกายน 2514 ก็ตามแต่โจทก์ได้ยื่นคำร้องขอทุเลาการบังคับด้วยและศาลอุทธรณ์ยังสั่งคำร้องไม่ได้ เพราะโจทก์ยังไม่เสียค่าธรรมเนียมอุทธรณ์จนกระทั่งคดีถึงที่สุด จึงต้องถือว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่พิพาทโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่จนถึงวันที่ 20 เมษายน 2514 ซึ่งเป็นวันที่คดีถึงที่สุดเป็นการครอบครองตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362 หาใช่เป็นการครอบครองโดยละเมิดไม่
เมื่อจำเลยที่ 1 ได้กระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองโดยปกติสุขของโจทก์ภายในวันที่ 20 เมษายน 2515 อันเป็นวันสุดท้ายที่ถือว่าโจทก์ครอบครองห้องพิพาทซึ่งปลูกอยู่บนที่ดินของบิดาจำเลยโดยชอบ คดีโจทก์จึงมีมูลในความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 362
จำเลยที่ 3 กล่าวแก่บุตรของบริวารโจทก์ว่า ออกไปเสียเถอะหนู อยู่ไปจะลำบากดังนี้ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3 เข้าไปกระทำการอันเป็นการรบกวนการครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของเขาโดยปกติสุข
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจบังคับคดีทรัพย์นอกเขตศาล: ศาลสั่งให้ศาลที่ทรัพย์ตั้งอยู่ดำเนินการ หรือมอบให้ศาลแรกทำได้
การบังคับคดีแก่ทรัพย์ซึ่งอยู่นอกเขตสาลนั้น ศาลชั้นต้นที่ชี้ขาดตัดสินจะทำการบังคับคดีเอากับทรัพย์นั้น ๆ ไม่ได้ จักต้องตั้งศาลชั้นต้นที่ทรัพย์นั้นอยู่ในเขตศาลให้ดำเนินการบังคับดคีแทนตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 16 ประกอบกับมาตรา 302 วรรคท้าย เมือ่ได้ตั้งศาลชั้นต้นใดให้ดำเนินการบังคับคดีแทนแล้ว ศาลชั้นต้นที่ตั้งศาลอื่นก็ยังมีอำนาจหน้าที่เกี่ยบวกับการบังคับคดีต่อไปจนเสร็จสิ้น โดนจะให้ศาลชั้นต้นที่ทำการบังคับคดีแทนทำการขายทอดตลาดทรัพย์ที่ยึดแล้วส่งเงินที่ได้จากการขายทรัพย์นั้นไป หรือเพียงแต่มอบให้ยึดทรัพย์ไว้โดยจะทำการขายทอดตลาดเสียเองก็ย่อมทำได้
การที่จำเลยยื่นฎีกาโดยใช้แบบพิมพ์คำร้อง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาขึ้นมา โดยมิได้สั่งให้ทำใหม่เสียให้ถูกต้อง ก็อนุโลมให้ถือว่าเป็นฎีกาที่สั่งรับไว้แล้วโดยชอบ ไม่จำเป็นต้องสั่งย้อนให้จำเลยทำใหม่
การที่จำเลยยื่นฎีกาโดยใช้แบบพิมพ์คำร้อง เมื่อศาลชั้นต้นสั่งรับเป็นฎีกาขึ้นมา โดยมิได้สั่งให้ทำใหม่เสียให้ถูกต้อง ก็อนุโลมให้ถือว่าเป็นฎีกาที่สั่งรับไว้แล้วโดยชอบ ไม่จำเป็นต้องสั่งย้อนให้จำเลยทำใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 979/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งผู้จัดการมรดก: เจตนาสุจริตของผู้ร้อง
ผู้ร้องเป็นสามีของผู้ตาย เป็นบิดาผู้คัดค้าน กรณีฟังไม่ได้ว่าผู้ร้องมีเจตนาไม่สุจริตต่อผู้คัดค้านจึงเหมาะสมที่จะแต่งตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 947/2518
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบังคับบุคคลภายนอกคดีและการแสดงสิทธิในที่ดิน กรณีประทานบัตรทับซ้อน
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลบังคับจำเลยกันที่ดินของโจทก์ออกจากเขตประทานบัตร โดยให้ทรัพยากรธรณีจังหวัดตะกั่วป่าเป็นผู้ทำการรังวัดเช่นนี้เป็นการขอให้บังคับบุคคลภายนอก ซึ่งไม่ใช่คู่ความในคดีศาลไม่อาจบังคับให้ได้ แต่ที่โจทก์ขอมาเช่นนั้นก็เพื่อขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์และแสดงว่าจำเลยไม่มีสิทธิในประทานบัตรในส่วนที่ออกทับที่ดินของโจทก์ ศาลจึงพิพากษาคดีไปดังนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 932/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การรอนสิทธิของโจทก์จากการซื้อขายรถยนต์ที่มีสัญญาเช่าซื้อก่อนหน้า จำเลยต้องรับผิดแม้ไม่ประมาท
ช. ได้ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์คันพิพาทมาจากบริษัท อ. และขณะเดียวกัน ช. ได้ทำสัญญาให้จำเลยเช่าซื้อต่อไป จำเลยผ่อนชำระค่าเช่าซื้อให้ ช. เสร็จสิ้นแล้ว แต่ ช. มิได้โอนทะเบียนรถคันพิพาทให้จำเลย ต่อมาจำเลยได้ขายรถคันพิพาทให้โจทก์ โดยโจทก์ชำระราคาแก่จำเลยครบถ้วนแล้ว และโจทก์ได้นำรถคันพิพาทไปจ้างซ่อมเสียค่าจ้างซ่อมไปอีก แต่เนื่องจาก ช. ไม่ชำระค่าเช่าซื้อให้แก่บริษัท อ. เกินกว่าสองงวด เป็นการผิดสัญญา พนักงานบริษัท อ. จึงได้ยึดรถคันพิพาทไป ดังนี้เมื่อจำเลยไม่สามารถโอนรถคันพิพาทให้แก่โจทก์ได้โดยมิใช่ความผิดของโจทก์ เพราะการที่รถคันพิพาทถูกยึดไปนั้นเป็นสิทธิที่ชอบด้วยกฎหมายของบริษัท อ.เจ้าของที่แท้จริง โจทก์ไม่มีอำนาจที่จะโต้แย้งได้ ถือได้ว่าโจทก์ถูกรอนสิทธิ จำเลยต้องรับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 475 แม้จำเลยจะมิได้ประมาทเลินเล่อก็ตาม จำเลยต้องคืนราคารถคันพิพาทแก่โจทก์ และการที่โจทก์ต้องซ่อมรถคันพิพาทเสียค่าซ่อมไปนั้น ก็ถือว่าเป็นค่าสินไหมทดแทนสำหรับความเสียหายที่โจทก์ได้รับเนื่องมาจากที่โจทก์ถูกรอนสิทธิ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องเอาจากจำเลยได้