พบผลลัพธ์ทั้งหมด 393 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: เจ้าหนี้รายหลังมีสิทธิบังคับคดีได้ แม้มีคำพิพากษาในคดีก่อนหน้า
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณ ศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1769/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบังคับคดีของเจ้าหนี้หลายราย: ผู้มีสิทธิเหนือทรัพย์สินก่อนย่อมมีสิทธิบังคับคดีก่อน แม้คดีถึงที่สุดแล้ว
เดิมผู้ร้องฟ้องจำเลยขอถอนคืนการให้เพราะเหตุประพฤติเนรคุณศาลพิพากษาให้จำเลยคืนที่ดินพิพาทซึ่งมี น.ส.3 ให้แก่ผู้ร้องคดีอยู่ระหว่างการบังคับคดี ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยตามสัญญากู้ยืมแล้วโจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกัน ศาลพิพากษาตามยอม คดีถึงที่สุด โจทก์นำยึดที่ดินพิพาทเพื่อชำระหนี้ตามคำพิพากษาดังนี้ ถือว่าที่ดินพิพาทยังคงเป็นของจำเลยอยู่ เพราะคดีทั้งสองสำนวนนี้ยังอยู่ในชั้นบังคับคดีด้วยกัน ผู้ร้องจะอ้างคำพิพากษาในคดีที่ผู้ร้องชนะจำเลยมายันโจทก์ซึ่งเป็นบุคคลภายนอกไม่ได้ แม้คดีจะถึงที่สุดแล้วก็ตาม โจทก์ในฐานะที่เป็นบุคคลภายนอกอาจพิสูจน์ได้ว่าตนมีสิทธิดีกว่าผู้ร้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 145 วรรคสอง (2) และเมื่อข้อเท็จจริงปรากฏว่าจำเลยได้กู้เงินโจทก์ไปจริง ส่วนคดีที่ผู้ร้องฟ้องจำเลยนั้น กลับส่อพิรุธว่าอาจจะไม่มีมูลความจริงตามฟ้อง ผู้ร้องย่อมจะขอให้ถอนการยึดไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1519/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายยางแอสฟัลท์, สัญญาค้ำประกัน, การตีความสัญญา, การชำระหนี้, ข้อพิพาททางแพ่ง
โจทก์ฟ้องให้จำเลยที่ 1 ชำระราคายางแอสฟัลท์ที่จำเลยซื้อไปจากโจทก์ จำเลยที่ 1 ให้การและฟ้องแย้งว่าก่อนที่จะทำสัญญาซื้อขายจำเลยที่ 1 ได้แจ้งให้โจทก์ทราบว่า จำเลยที่ 1 จะนำยางแอสฟัลท์ไปก่อสร้างทางซึ่งจำเลยที่ 1 รับเหมามาจากกรมทางหลวงตามเอกสารท้ายคำให้การและฟ้องแย้งแต่โจทก์ส่งยางแอสฟัลท์ให้จำเลยที่ 1 ล่าช้าจำเลยที่ 1 ไม่สามารถส่งมอบงานให้ทันกำหนดถูกกรมทางหลวงปรับ จึงให้โจทก์ชดใช้เงินค่าปรับ ดังนี้ ฟ้องแย้งได้แสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาแล้วแม้จะไม่ได้กล่าวถึงข้อเท็จจริงที่เป็นรายละเอียด ซึ่งจำเลยที่ 1 มีสิทธินำสืบในชั้นพิจารณา. ก็หาทำให้เป็นฟ้องที่เคลือบคลุมไม่
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ล่วงเลยอายุความ 2 ปี จึงขาดอายุความ เห็นได้ว่าอายุความที่โจทก์ตั้งเป็นข้อต่อสู้มาแต่แรกเป็นเรื่องอายุความในมูลสัญญาซื้อขายในชั้นฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ยกอายุความเรื่องละเมิดขึ้นต่อสู้เพราะมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาก่อนแล้วแต่ศาลชั้นต้น
โจทก์ส่งมอบยางแอสฟัลท์ให้จำเลยที่ 1 ล่าช้า เป็นเหตุให้จำเลยถูกปรับ เพราะส่งมอบงานให้กรมทางหลวงไม่ทันกำหนดแต่จำเลยที่ 1 ก็มีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างทางล่าช้าด้วย โจทก์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในข้อนี้ให้จำเลยที่ 1 เพียงบางส่วน
จำเลยที่ 2 ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายของจำเลยที่ 1 การตีความสัญญาค้ำประกันต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณี และถ้าตีความได้เป็นสองนัย ก็ต้องถือตามนัยที่ทำให้เป็นผลบังคับได้ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของมาตรา 368 และมาตรา10 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการที่จะทราบความประสงค์ของคู่สัญญาจะต้องพิจารณาถึงสัญญาซื้อขายซึ่งเป็นสัญญาประธานและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์ด้วย เมื่อสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระราคายางแอสฟัลท์ให้โจทก์ภายใน 60 วันนับแต่วันส่งมอบ โดยจำเลยที่ 1 ต้องนำจำเลยที่ 2 มาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระราคา แต่สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า สัญญาค้ำประกันมีกำหนดระยะเวลา 120 วัน หากเกิดการเสียหายขึ้นภายในระยะเวลาดังกล่าว ต้องแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบภายใน7 วันนับแต่วันได้รับความเสียหาย ดังนี้ ระยะเวลา120 วันตามสัญญาค้ำประกันย่อมต้องหมายความถึงระยะเวลาที่โจทก์อาจส่งมอบยางแอสฟัลท์ให้จำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้หมายความตลอดถึงระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 จะต้องได้รับคำบอกกล่าวจากโจทก์ให้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์ส่งมอบยางแอสฟัลท์งวดสุดท้ายให้จำเลยที่ 1 ภายใน 120 วันแล้วจำเลยที่ 1 ยังมีโอกาสชำระหนี้ค่ายางแอสฟัสท์ได้ภายใน 60 วัน นับจากวันที่โจทก์ส่งมอบยางแอสฟัลท์ครั้งสุดท้าย และหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์ย่อมเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระได้ภายใน7 วัน
โจทก์ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ฟ้องแย้งของจำเลยที่ 1 ล่วงเลยอายุความ 2 ปี จึงขาดอายุความ เห็นได้ว่าอายุความที่โจทก์ตั้งเป็นข้อต่อสู้มาแต่แรกเป็นเรื่องอายุความในมูลสัญญาซื้อขายในชั้นฎีกาโจทก์จึงต้องห้ามมิให้ยกอายุความเรื่องละเมิดขึ้นต่อสู้เพราะมิใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาก่อนแล้วแต่ศาลชั้นต้น
โจทก์ส่งมอบยางแอสฟัลท์ให้จำเลยที่ 1 ล่าช้า เป็นเหตุให้จำเลยถูกปรับ เพราะส่งมอบงานให้กรมทางหลวงไม่ทันกำหนดแต่จำเลยที่ 1 ก็มีส่วนบกพร่องในการก่อสร้างทางล่าช้าด้วย โจทก์จึงต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายในข้อนี้ให้จำเลยที่ 1 เพียงบางส่วน
จำเลยที่ 2 ค้ำประกันการชำระหนี้ตามสัญญาซื้อขายของจำเลยที่ 1 การตีความสัญญาค้ำประกันต้องตีความไปตามความประสงค์ในทางสุจริตโดยพิเคราะห์ถึงปกติประเพณี และถ้าตีความได้เป็นสองนัย ก็ต้องถือตามนัยที่ทำให้เป็นผลบังคับได้ทั้งนี้ตามบทบัญญัติของมาตรา 368 และมาตรา10 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และการที่จะทราบความประสงค์ของคู่สัญญาจะต้องพิจารณาถึงสัญญาซื้อขายซึ่งเป็นสัญญาประธานและสัญญาค้ำประกันซึ่งเป็นสัญญาอุปกรณ์ด้วย เมื่อสัญญาซื้อขายระบุว่า จำเลยที่ 1 ต้องชำระราคายางแอสฟัลท์ให้โจทก์ภายใน 60 วันนับแต่วันส่งมอบ โดยจำเลยที่ 1 ต้องนำจำเลยที่ 2 มาเป็นผู้ค้ำประกันการชำระราคา แต่สัญญาค้ำประกันมีข้อความว่า สัญญาค้ำประกันมีกำหนดระยะเวลา 120 วัน หากเกิดการเสียหายขึ้นภายในระยะเวลาดังกล่าว ต้องแจ้งให้จำเลยที่ 2 ทราบภายใน7 วันนับแต่วันได้รับความเสียหาย ดังนี้ ระยะเวลา120 วันตามสัญญาค้ำประกันย่อมต้องหมายความถึงระยะเวลาที่โจทก์อาจส่งมอบยางแอสฟัลท์ให้จำเลยที่ 1 เท่านั้น มิได้หมายความตลอดถึงระยะเวลาที่จำเลยที่ 2 จะต้องได้รับคำบอกกล่าวจากโจทก์ให้ชำระหนี้แทนจำเลยที่ 1 ด้วย ดังนั้นเมื่อโจทก์ส่งมอบยางแอสฟัลท์งวดสุดท้ายให้จำเลยที่ 1 ภายใน 120 วันแล้วจำเลยที่ 1 ยังมีโอกาสชำระหนี้ค่ายางแอสฟัสท์ได้ภายใน 60 วัน นับจากวันที่โจทก์ส่งมอบยางแอสฟัลท์ครั้งสุดท้าย และหากจำเลยที่ 1 ไม่ชำระ โจทก์ย่อมเรียกร้องให้จำเลยที่ 2 ชำระได้ภายใน7 วัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าอาวาสรื้อกุฏิเพื่อบำรุงวัด ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาส สั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวก รื้อกุฏิ 6 หลัง รวมทั้งกุฏิที่จำเลยที่ 1 และกุฎิที่พระภิกษุโจทก์อาศัยอยู่ด้วยเพื่อไปปลูกรวมกับกุฎิอื่นให้เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นการบำรุงรักษาวัดจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสของวัดมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 37(1) การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1495/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจเจ้าอาวาสในการรื้อกุฏิเพื่อปรับปรุงวัด ไม่ถือเป็นความผิดฐานบุกรุก
จำเลยที่ 1 เป็นเจ้าอาวาส สั่งให้จำเลยที่ 2 กับพวก รื้อกุฏิ 6 หลัง รวมทั้งกุฏิที่จำเลยที่ 1 และกุฎิที่พระภิกษุโจทก์อาศัยอยู่ด้วยเพื่อไปปลูกรวมกับกุฎิอื่นให้เป็นกลุ่มเดียวกัน เป็นการบำรุงรักษาวัดจัดกิจการและศาสนสมบัติของวัดให้เป็นไปด้วยดี ซึ่งจำเลยที่ 1 ในฐานะเจ้าอาวาสของวัดมีอำนาจกระทำได้ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ.2505 มาตรา 37(1) การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดฐานบุกรุก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความถูกต้องในการปรับบทลงโทษคดีเกี่ยวกับยาเสพติด และอำนาจศาลในการแก้ไขโทษจำเลยที่ไม่ได้อุทธรณ์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ19,20 ทวิ,20 ตรี,29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4,6,7,12 จำเลยที่2 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ,14,20 ทวิ,29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4 พ.ศ. 2504 มาตรา 4,6,7,12 ดังนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี (ฐานรับไว้หรือมีไว้ซึ่งเฮโรอีน) ก็ต้องไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 7 อันเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มเติมมาตรา 20 ตรี ไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ,14,20 ทวิพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4,6(ตัดมาตรา 29 และ 12 ของพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับออกเสียด้วย เพราะของกลางที่ริบมีแต่เฮโรอีน ซึ่งมิได้ริบโดยอาศัยมาตรา 29 และ 12)
การที่ไม่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 7 นั้น เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษตามมาตราดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา225
การที่ไม่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 7 นั้น เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษตามมาตราดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1494/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปรับบทลงโทษในคดียาเสพติด: ความถูกต้องและขอบเขตอำนาจศาลในการแก้ไขโทษ
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสามฐานร่วมกันมีเฮโรอีนไว้ในครอบครองเพื่อจำหน่ายตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยทั้งสามตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 19, 20 ทวิ, 20 ตรี, 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7, 12 จำเลยที่ 2 ที่ 3 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์เห็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 ร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำผิดจริงตามฟ้อง แต่ศาลชั้นต้นปรับบทลงโทษจำเลยไม่ถูกต้องพิพากษาแก้คำพิพากษาศาลชั้นต้น เป็นว่า จำเลยที่ 2 ที่ 3 มีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 14, 20 ทวิ, 29 พระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6, 7, 12 ดังนี้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์ยังไม่ถูกต้อง เพราะเมื่อศาลอุทธรณ์ไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี (ฐานรับไว้หรือมีไว้ซึ่งเฮโรอีน) ก็ต้องไม่พิพากษาว่าจำเลยมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 7 อันเป็นบทบัญญัติที่เพิ่มเติมมาตรา 20 ตรีไว้ในพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 ศาลฎีกาพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยทั้งสามมีความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษพ.ศ. 2465 มาตรา 4 ทวิ, 14, 20 ทวิพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ(ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2504 มาตรา 4, 6 (ตัดมาตรา 29 และ 12 ของพระราชบัญญัติทั้งสองฉบับออกเสียด้วย เพราะของกลางที่ริบมีแต่เฮโรอีน ซึ่งมิได้ริบโดยอาศัยมาตรา 29 และ 12)
การที่ไม่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 7 นั้น เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษตามมาตราดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา225
การที่ไม่ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ. 2465 มาตรา 20 ตรี ซึ่งเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2504 มาตรา 7 นั้น เป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดีศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้อุทธรณ์ฎีกาให้มิต้องถูกรับโทษตามมาตราดังกล่าว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 213 ประกอบด้วยมาตรา225
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1299/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี ไม่จดทะเบียน และการบอกเลิกสัญญาเช่าที่ชอบด้วยกฎหมาย
การเช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนดเวลากว่า 3 ปี โดยทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้เพียง 3 ปี ต่อจากนั้น ผู้เช่าคงเช่าอยู่ต่อมา ย่อมถือว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา ตามมาตรา 570 เมื่อโจทก์ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าตามมาตรา 566 แล้ว สัญญาเช่าจึงระงับและเนื่องจากคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าเช่าจำเลยผู้เช่าจะยกเอาเหตุที่ได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้โจทก์ขึ้นมาอ้างเพื่อไม่ยอมออกจากห้องเช่าไม่ได้ และถึงแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์ได้รับชำระค่าเช่าล่วงหน้า 12 เดือน จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าคู่สัญญาตกลงเช่าต่อไปอีก 12 เดือน ก็ตามแต่เมื่อเป็นการเช่าที่โจทก์มีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ดังกล่าว แล้ว เพียงแต่โจทก์รับเงินค่าเช่าล่วงหน้าสำหรับค่าเช่าพ้นกำหนด 3 ปีแล้วไว้จากจำเลย จำเลยก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บังคับให้โจทก์ต้องให้จำเลยเช่าต่อไปอีก 12 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1299/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่าอสังหาริมทรัพย์เกิน 3 ปี สิทธิบอกเลิกสัญญา และผลของการรับค่าเช่าล่วงหน้า
การเช่าอสังหาริมทรัพย์มีกำหนดเวลากว่า 3 ปี โดยทำเป็นหนังสือแต่มิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ ฟ้องร้องบังคับคดีกันได้เพียง 3 ปี ต่อจากนั้น ผู้เช่าคงเช่าอยู่ต่อมา ย่อมถือว่าเป็นการเช่าโดยไม่มีกำหนดเวลา ตามมาตรา 570 เมื่อโจทก์ผู้ให้เช่าบอกเลิกสัญญาเช่าตามมาตรา 566 แล้ว สัญญาเช่าจึงระงับและเนื่องจากคดีไม่มีประเด็นที่จะต้องวินิจฉัยเกี่ยวกับค่าเช่า จำเลยผู้เช่าจะยกเอาเหตุที่ได้ชำระค่าเช่าล่วงหน้าให้โจทก์ขึ้นมาอ้างเพื่อไม่ยอมออกจากห้องเช่าไม่ได้ และถึงแม้ข้อเท็จจริงจะฟังได้ว่าโจทก์ได้รับชำระค่าเช่าล่วงหน้า 12 เดือน จึงอาจสันนิษฐานได้ว่าคู่สัญญาตกลงเช่าต่อไปอีก 12 เดือนก็ตาม แต่เมื่อเป็นการเช่าที่โจทก์มีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566 ดังกล่าวแล้ว เพียงแต่โจทก์รับเงินค่าเช่าล่วงหน้าสำหรับค่าเช่าพ้นกำหนด 3 ปีแล้วไว้จากจำเลย จำเลยก็ไม่อาจยกขึ้นเป็นข้อต่อสู้บังคับให้โจทก์ต้องให้จำเลยเช่าต่อไปอีก 12 เดือน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1250/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับขนส่งต้องรับผิดต่อความเสียหายจากการพลิกคว่ำของรถ แม้ไม่ใช่จากความเร็ว แต่เกิดจากความบกพร่องในการตรวจสภาพรถ
โจทก์จำเลยแถลงรับกันว่า เหตุที่รถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุดโดยคนขับไม่ได้ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนดไว้ แล้วท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยข้อกฎหมายเพียงข้อเดียวว่า จำเลยจะต้องรับผิดตามฟ้องหรือไม่ปรากฏฟ้องของโจทก์บรรยายว่านายอิ้วจือได้ขับรถยนต์ของจำเลยจากตลาดหญ้าคาไปตลาดดงเค็งเพื่อรับส่งสินค้าและคนโดยสารตามทางการที่จำเลยจ้าง โดยความประมาทปราศจากความระมัดระวังขับรถเร็วสูงกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ ทำให้รถยนต์ที่ขับพลิกคว่ำ โจทก์ซึ่งเป็นผู้โดยสารตกลงจากรถได้รับบาดเจ็บ จึงขอให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ ดังนี้ เห็นได้ว่าฟ้องของโจทก์ประสงค์ให้จำเลยรับผิดฐานเป็นผู้รับขนส่งคนโดยสารตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 608 จำเลยมิได้ปฏิเสธว่าจำเลยมิใช่ผู้รับขนส่งคนโดยสารดังโจทก์ฟ้อง ฉะนั้น จำเลยจึงต้องรับผิดต่อความเสียหายอันเกิดแก่โจทก์ซึ่งเป็นคนโดยสาร เว้นแต่การเสียหายเกิดแต่เหตุสุดวิสัยหรือเกิดแต่ความผิดของโจทก์ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 634 แม้คู่ความจะแถลงรับกันว่ารถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุดอันไม่ใช่เพราะขับรถเร็วเกินอัตราที่กฎหมายกำหนด ก็ไม่ทำให้จำเลยพ้นจากความรับผิดในฐานเป็นผู้รับขนส่งคนโดยสารไปได้ จำเลยจะอ้างว่าทางพิจารณาต่างกับฟ้องโดยขอให้ศาลยกฟ้องหาได้ไม่
การที่รถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 เพราะยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขับจะสามารถป้องกันได้ หากใช้ความระมัดระวังตามสมควรตรวจดูสภาพรถให้เรียบร้อยดีก่อนนำออกขับ
การที่รถพลิกคว่ำเพราะลูกหมากคันส่งหลุด ไม่ใช่เหตุสุดวิสัยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 8 เพราะยังอยู่ในวิสัยที่ผู้ขับจะสามารถป้องกันได้ หากใช้ความระมัดระวังตามสมควรตรวจดูสภาพรถให้เรียบร้อยดีก่อนนำออกขับ