พบผลลัพธ์ทั้งหมด 393 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 294/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสิ้น การอุทธรณ์ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ในวันนัดไต่สวนมูลฟ้อง โจทก์ขอเลื่อนคดี แต่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้รอการไต่สวนมูลฟ้องไว้จนกว่าคดีอาญาอีกเรื่องหนึ่งจะถึงที่สุดและให้จำหน่ายคดีชั่วคราว คำสั่งให้รอการไต่สวนมูลฟ้องไว้ก่อนนั้นเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาที่ไม่ทำให้คดีเสร็จสำนวน จึงต้องห้ามอุทธรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 196 และคำสั่งจำหน่ายคดีนั้นได้สั่งไว้ด้วยว่า เมื่อคดีอีกเรื่องหนึ่งนั้นถึงที่สุดแล้วให้โจทก์แถลงเพื่อจะได้พิจารณาคดีนี้ต่อไปไม่ใช่คำสั่งจำหน่ายคดีโดยเด็ดขาด เป็นคำสั่งจำหน่ายคดีชั่วคราว ไม่ทำให้ประเด็นแห่งคดีเสร็จไปโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์คัดค้านคำสั่งตามมาตรา 196 เช่นกัน(อ้างนัยฎีกาที่ 157/2506 และ 1621/2506)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้เจ้าหนี้ แม้เชื่อมั่นในผลคดี ศาลฎีกาตัดสินว่าเป็นการโกงเจ้าหนี้
เดิมโจทก์ฟ้องส. ภรรยาโจทก์ กับ ก. ม. และ ฮ. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ส. ซึ่ง ส.ทำนิติกรรมขายให้ ก. ม. และ ฮ. ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้นก. ม. และ ฮ. เอาที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม คดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ส. กับ ก. ม. และ ฮ. กับ ให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ก. ม. ฮ. กับจำเลยที่ 1 ก. กับพวกและจำเลยที่ 1 ฎีกา เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกาจำเลยที่ 1 เอาที่พิพาทไปทำสัญญาขายฝากไว้กับจำเลยที่ 2มีกำหนดเวลาไถ่คืนเพียง 3 เดือน แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนดดังนี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 2เพื่อไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมด การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำเลยจะอ้างว่าที่ขายฝากเพราะจำเลยที่ 1 เชื่อว่าศาลฎีกาจะต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1ชนะคดีหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 256/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การโอนทรัพย์สินเพื่อหลีกเลี่ยงชำระหนี้เจ้าหนี้ และความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350
เดิมโจทก์ฟ้องส. ภรรยาโจทก์กับ ก. ม.และ ฮ. ขอให้เพิกถอนนิติกรรมการซื้อขายที่ดินอันเป็นสินสมรสระหว่างโจทก์กับ ส. ซึ่ง ส.ทำนิติกรรมขายให้ ก. ม. และ ฮ. ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ก. ม. และ ฮ. เอาที่ดินพิพาทไปขายให้จำเลยที่ 1 โจทก์จึงขอให้ศาลเรียกจำเลยที่ 1 เข้ามาเป็นจำเลยร่วม คดีนั้นศาลอุทธรณ์พิพากษาให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ส. กับ ก. ม. และ ฮ. กับให้ทำลายนิติกรรมการซื้อขายระหว่าง ก. ม. ฮ. กับจำเลยที่ 1 ก. กับพวกและจำเลยที่ 1 ฎีกา เมื่อคดีอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา จำเลยที่ 1 เอาที่พิพาทไปทำสัญญาขายฝากไว้กับจำเลยที่ 2 มีกำหนดเวลาไถ่คืนเพียง 3 เดือน แล้วไม่ไถ่คืนภายในกำหนด ดังนี้ ย่อมเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 1 มีเจตนาโอนที่พิพาทให้ จำเลยที่ 2 เพื่อไม่ให้โจทก์ผู้เป็นเจ้าหนี้ของตนซึ่งได้ใช้สิทธิเรียกร้องทางศาลให้ชำระหนี้แล้วได้รับชำระหนี้ทั้งหมด การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 350 จำเลยจะอ้างว่าที่ขายฝากเพราะจำเลยที่ 1 เชื่อว่าศาลฎีกาจะต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1 ชนะคดีหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 188/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสุกรข้ามจังหวัดโดยไม่ได้รับอนุญาต: ความผิดเกิดขึ้นเมื่อใด?
จำเลยนำสุกรออกจากเขตท้องที่ตำบลห้วยแก้งอำเภอกุดชุมจังหวัดยโสธร มายังเขตท้องที่ตำบลในเมือง อำเภอเมืองจังหวัดยโสธร จะนำสุกรนั้นไปขายที่จังหวัดร้อยเอ็ดโดยมิได้นำสุกรไปให้สัตวแพทย์ประจำท้องที่อำเภอกุดชุม จังหวัดยโสธร ตรวจและทำลายเชื้อโรคระบาดสัตว์ตามระเบียบของกรมปศุสัตว์และยังไม่ได้รับอนุญาตจากสัตวแพทย์ประจำท้องที่ให้นำไปยังท้องที่ต่างจังหวัดได้ แต่ถูกจับกุมพร้อมด้วยสุกรนั้นขณะจำเลยยังอยู่ในท้องที่ของจังหวัดยโสธร ดังนี้ จำเลยยังไม่มีความผิดฐานนำสุกรไปยังท้องที่ต่างจังหวัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 187/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การริบยาของกลาง: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการกระทำผิดฐานขายยาไม่ตรงตามใบอนุญาตและการไม่ปิดป้ายแสดงราคา ไม่เข้าข่ายเหตุริบตามกฎหมาย
มาตรา 126 แห่งพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 บัญญัติว่าเมื่อมีการลงโทษตามมาตรา 101,111,117,118,119,120,121 หรือ 122 ให้ริบยาเครื่องมือและอุปกรณ์ที่ใช้ในการผลิตยารวมทั้งภาชนะหรือหีบห่อบรรจุยาที่เกี่ยวเนื่องกับความผิดในคดีให้แก่กระทรวงสาธารณสุขเพื่อทำลายเสียหรือจัดการตามที่เห็นสมควรนั้นเมื่อศาลพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดตามมาตรา 102 จะนำบทบัญญัติในมาตรา 126 มาใช้บังคับในการริบยาของกลางไม่ได้
จำเลยเป็นผู้ขายยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ อันเป็นโภคภัณฑ์โดยไม่ปิดป้ายแสดงราคาเป็นความผิดตามมาตรา 9 พระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 นั้น ความผิดของจำเลยอยู่ที่การงดเว้นไม่ปิดป้ายหรือแสดงราคา ยาอันเป็นโภคภัณฑ์ของกลางจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งไม่ใช่ของที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด (ไม่ริบ)
จำเลยเป็นผู้ขายยาและเวชภัณฑ์ต่าง ๆ อันเป็นโภคภัณฑ์โดยไม่ปิดป้ายแสดงราคาเป็นความผิดตามมาตรา 9 พระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 นั้น ความผิดของจำเลยอยู่ที่การงดเว้นไม่ปิดป้ายหรือแสดงราคา ยาอันเป็นโภคภัณฑ์ของกลางจึงไม่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด ทั้งไม่ใช่ของที่จำเลยใช้หรือมีไว้เพื่อใช้ในการกระทำผิด (ไม่ริบ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องคืนการครอบครอง และประเด็นกรรมสิทธิ์ที่ดินที่ไม่ได้ยกขึ้นในคำฟ้อง
การฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375 วรรค 2 นั้นผู้ครอบครองจะต้องฟ้องคดีภายใน 1 ปี นับแต่เวลาที่ถูกแย่งการครอบครองโดยไม่คำนึงถึงว่าผู้ครอบครองจะทราบว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่ และไม่คำนึงถึงว่าผู้ครอบครองได้โต้แย้งผู้แย่งการครอบครองหรือได้ร้องเรียนต่อเจ้าพนักงานฝ่ายปกครองว่าถูกแย่งการครอบครองหรือไม่
โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยจะต้องครอบครอง 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ แต่โจทก์มิได้ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 หรือไม่
โจทก์ฎีกาว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 จำเลยจะต้องครอบครอง 10 ปี จึงได้กรรมสิทธิ์ แต่โจทก์มิได้ตั้งประเด็นมาในคำฟ้องว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จบทที่ 42 คดีจึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะต้องวินิจฉัยว่าที่พิพาทเป็นที่บ้านที่สวนตามกฎหมายลักษณะเบ็ดเสร็จ บทที่ 42 หรือไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกอิสลามและการบังคับใช้ประมวลกฎหมายแพ่งฯ หากไม่ได้อยู่ในเขตจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล
แม้โจทก์และจำเลยจะเป็นอิสลามศาสนิกและเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องมรดกอิสลามศาสนิกก็ตาม แต่ถ้ามิใช่เป็นคดีที่เกิดขึ้นในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูลแล้วก็จะนำลัทธิศาสนาอิสลามหรือกฎหมายอิสลามมาใช้บังคับในการแบ่งปันทรัพย์มรดกแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการแบ่งมรดกไม่ได้ เพราะเป็นการขัดต่อบทบัญญัติในมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีนราธิวาสยะลาและสตูล พ.ศ. 2489 ฉะนั้น ถ้าได้มีการนำวิธีการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามลัทธิศาสนาอิสลามมาใช้ในการแบ่งปันทรัพย์มรดกก็จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติมาตรา 1750 ด้วย จึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
แม้จะได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกกันจริงตามวิธีการแบ่งในลัทธิศาสนาอิสลาม และโจทก์ตกลงยินยอมตามผลการแบ่งปันดังกล่าว แต่บันทึกการแบ่งปันนั้นมีแต่รายการทรัพย์สินไม่มีข้อตกลงใด ๆ และไม่มีผู้ใดลงชื่อในบันทึกนั้นเลย ดังนี้ ไม่เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1750 วรรค 2 จึงหามีผลสมบูรณ์อันจะบังคับกันระหว่างคู่กรณีได้ไม่ และเมื่อโจทก์กับจำเลยยังครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันตลอดมา ซึ่งยังถือไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกด้วยต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามมาตรา 1750 วรรคแรก แล้ว ทรัพย์พิพาท จึงยังถือว่าครอบครองร่วมกันมาโดยมิได้มีการแบ่งปันตามกฎหมาย โจทก์ย่อมขอให้แบ่งได้ตามมาตรา 1748
แม้จะได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกกันจริงตามวิธีการแบ่งในลัทธิศาสนาอิสลาม และโจทก์ตกลงยินยอมตามผลการแบ่งปันดังกล่าว แต่บันทึกการแบ่งปันนั้นมีแต่รายการทรัพย์สินไม่มีข้อตกลงใด ๆ และไม่มีผู้ใดลงชื่อในบันทึกนั้นเลย ดังนี้ ไม่เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1750 วรรค 2 จึงหามีผลสมบูรณ์อันจะบังคับกันระหว่างคู่กรณีได้ไม่ และเมื่อโจทก์กับจำเลยยังครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันตลอดมา ซึ่งยังถือไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกด้วยต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามมาตรา 1750 วรรคแรก แล้ว ทรัพย์พิพาท จึงยังถือว่าครอบครองร่วมกันมาโดยมิได้มีการแบ่งปันตามกฎหมาย โจทก์ย่อมขอให้แบ่งได้ตามมาตรา 1748
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งมรดกอิสลาม vs. ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์: หลักเกณฑ์การบังคับใช้และการแบ่งสินสมรส
แม้โจทก์และจำเลยจะเป็นอิสลามศาสนิกและเป็นคดีแพ่งเกี่ยวกับเรื่องมรดกอิสลามศาสนิกก็ตาม แต่ถ้ามิใช่เป็น คดีที่เกิดขึ้นในจังหวัดปัตตานี นราธิวาส ยะลา และสตูล แล้ว ก็จะนำลัทธิศาสนาอิสลามหรือกฎหมายอิสลามมาใช้บังคับ ในการแบ่งปันทรัพย์มรดกแทนบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยการแบ่งมรดกไม่ได้ เพราะเป็นการขัดต่อบทบัญญัติในมาตรา 3แห่งพระราชบัญญัติ ว่าด้วยการใช้กฎหมายอิสลามในเขตจังหวัดปัตตานีนราธิวาสยะลาและสตูล พ.ศ. 2489 ฉะนั้น ถ้าได้มีการนำวิธีการแบ่งปันทรัพย์มรดกตามลัทธิศาสนาอิสลามมาใช้ในการแบ่งปันทรัพย์มรดก ก็จะต้องปฏิบัติให้ถูกต้องตามบทบัญญัติมาตรา 1750ด้วย จึงจะมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
แม้จะได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกกันจริงตามวิธีการแบ่งในลัทธิศาสนาอิสลาม และโจทก์ตกลงยินยอมตามผลการแบ่งปันดังกล่าว แต่บันทึกการแบ่งปันนั้นมีแต่รายการทรัพย์สินไม่มีข้อตกลงใด ๆและไม่มีผู้ใดลงชื่อในบันทึกนั้น เลย ดังนี้ ไม่เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1750 วรรค 2 จึงหามีผลสมบูรณ์อันจะบังคับกันระหว่างคู่กรณีได้ไม่ และเมื่อโจทก์กับจำเลยยังครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันตลอดมา ซึ่งยังถือไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกด้วยต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามมาตรา 1750 วรรคแรก แล้วทรัพย์พิพาท จึงยังถือว่าครอบครองร่วมกันมาโดยมิได้มีการแบ่งปันตามกฎหมาย โจทก์ย่อมขอให้แบ่งได้ตามมาตรา 1748
แม้จะได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกกันจริงตามวิธีการแบ่งในลัทธิศาสนาอิสลาม และโจทก์ตกลงยินยอมตามผลการแบ่งปันดังกล่าว แต่บันทึกการแบ่งปันนั้นมีแต่รายการทรัพย์สินไม่มีข้อตกลงใด ๆและไม่มีผู้ใดลงชื่อในบันทึกนั้น เลย ดังนี้ ไม่เป็นไปตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 1750 วรรค 2 จึงหามีผลสมบูรณ์อันจะบังคับกันระหว่างคู่กรณีได้ไม่ และเมื่อโจทก์กับจำเลยยังครอบครองทรัพย์มรดกร่วมกันตลอดมา ซึ่งยังถือไม่ได้ว่าได้มีการแบ่งปันทรัพย์มรดกด้วยต่างเข้าครอบครองทรัพย์สินเป็นส่วนสัดตามมาตรา 1750 วรรคแรก แล้วทรัพย์พิพาท จึงยังถือว่าครอบครองร่วมกันมาโดยมิได้มีการแบ่งปันตามกฎหมาย โจทก์ย่อมขอให้แบ่งได้ตามมาตรา 1748
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาประกันชีวิตโมฆียะจากเจตนาทุจริตของผู้เอาประกัน และการนำสืบพยานเอกสาร
ต้นฉบับเอกสารเกี่ยวกับประวัติการเจ็บป่วยของคนไข้ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลบันทึกไว้หาไม่พบ จำเลยย่อมนำสืบข้อเท็จจริงโดยอาศัยภาพถ่ายอันเป็นสำเนาเอกสารนั้นแทนต้นฉบับได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) และมาตรา 123
ผู้เอาประกันชีวิตรู้ตัวดีว่าตนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและปัสสาวะเป็นเลือดก่อนขอเข้าทำสัญญาประกันชีวิต แต่ก็ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้บริษัทประกันชีวิตทราบ สัญญาประกันชีวิตย่อมตกเป็นโมฆียะ
ผู้ตายทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจำเลยโดยระบุให้ผู้เยาว์คนหนึ่งเป็นผู้รับประโยชน์เมื่อปรากฏว่า สัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865และบริษัทจำเลยได้บอกล้างไปยังผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์นั้นแล้ว สัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ
ผู้เอาประกันชีวิตรู้ตัวดีว่าตนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและปัสสาวะเป็นเลือดก่อนขอเข้าทำสัญญาประกันชีวิต แต่ก็ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้บริษัทประกันชีวิตทราบ สัญญาประกันชีวิตย่อมตกเป็นโมฆียะ
ผู้ตายทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจำเลยโดยระบุให้ผู้เยาว์คนหนึ่งเป็นผู้รับประโยชน์เมื่อปรากฏว่า สัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865และบริษัทจำเลยได้บอกล้างไปยังผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์นั้นแล้ว สัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
โมฆียะสัญญาประกันชีวิตจากเจ็บป่วยซ่อนเร้น และการรับฟังสำเนาเอกสารทางการแพทย์
ต้นฉบับเอกสารเกี่ยวกับประวัติการเจ็บป่วยของคนไข้ซึ่งแพทย์โรงพยาบาลบันทึกไว้หาไม่พบ จำเลยย่อมนำสืบข้อเท็จจริงโดยอาศัยภาพถ่ายอันเป็นสำเนาเอกสารนั้นแทนต้นฉบับได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 93(2) และมาตรา 123
ผู้เอาประกันชีวิตรู้ตัวดีว่าตนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและปัสสาวะเป็นเลือดก่อนขอเข้าทำสัญญาประกันชีวิต แต่ก็ ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้บริษัทประกันชีวิตทราบ สัญญาประกันชีวิตย่อมตกเป็นโมฆียะ
ผู้ตายทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจำเลยโดยระบุให้ผู้เยาว์คนหนึ่งเป็นผู้รับประโยชน์เมื่อปรากฏว่า สัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865และบริษัทจำเลยได้บอกล้างไปยังผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์นั้นแล้ว สัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ
ผู้เอาประกันชีวิตรู้ตัวดีว่าตนป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูงและปัสสาวะเป็นเลือดก่อนขอเข้าทำสัญญาประกันชีวิต แต่ก็ ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงให้บริษัทประกันชีวิตทราบ สัญญาประกันชีวิตย่อมตกเป็นโมฆียะ
ผู้ตายทำสัญญาประกันชีวิตกับบริษัทจำเลยโดยระบุให้ผู้เยาว์คนหนึ่งเป็นผู้รับประโยชน์เมื่อปรากฏว่า สัญญาประกันชีวิตรายนี้เป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865และบริษัทจำเลยได้บอกล้างไปยังผู้แทนโดยชอบธรรมของผู้เยาว์นั้นแล้ว สัญญานั้นย่อมตกเป็นโมฆะ