พบผลลัพธ์ทั้งหมด 474 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นเกี่ยวกับเด็กในคดีอาญา: การพิจารณาข้อจำกัดในการอุทธรณ์ตามกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 334 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74(2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริงและคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193ทวิ(1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 432/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำพิพากษาศาลชั้นต้นที่พิพากษาลงโทษเด็กอายุ 12 ปีในคดีลักทรัพย์ ซึ่งถูกจำกัดสิทธิการอุทธรณ์ตามกฎหมาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยซึ่งมีอายุ 12 ปี มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 ให้ส่งตัวจำเลยไปฝึกและอบรมที่สถานพินิจและคุ้มครองเด็กกลางมีกำหนด 6 ปี แต่อย่าให้เกินกว่าจำเลยมีอายุครบ 18 ปี จำเลยอุทธรณ์ขอให้ศาลดำเนินการตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 74 (2) โดยบิดาจำเลยขอรับตัวไปและจะปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาล ดังนี้ เป็นการอุทธรณ์ในปัญหาข้อเท็จจริง และคำพิพากษาของศาลชั้นต้นที่พิพากษาดังกล่าวไม่ต้องด้วยข้อยกเว้นที่จะอุทธรณ์ได้ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 193 ทวิ (1) ถึง (4) พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ. 2517 มาตรา 3
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 411/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบพยานหักล้างข้ออ้างโจทก์ และขอบเขตความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
ข้อที่โจทก์อ้างในฟ้องและจำเลยปฏิเสธว่าไม่มีหนี้โจทก์ต้องสืบตามข้ออ้าง จำเลยนำสืบหักล้างได้แม้ไม่อ้างข้อต่อสู้ เมื่อได้ถามค้านตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 89 แล้วก็เท่ากับนำสืบโต้เถียงในประเด็นเดียวกัน ไม่เป็นการนำสืบนอกประเด็น
ค้ำประกันค่าซื้อของเชื่อไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท เดือนใดค้างชำระเกินจำนวนนั้น ผู้ค้ำประกันรับผิดเพียง 15,000 บาท แต่ยังต้องรับผิดรวมกับที่ค้างชำระในการซื้อของเชื่อเดือนถัดไปอีกด้วย
ค้ำประกันค่าซื้อของเชื่อไม่เกินเดือนละ 15,000 บาท เดือนใดค้างชำระเกินจำนวนนั้น ผู้ค้ำประกันรับผิดเพียง 15,000 บาท แต่ยังต้องรับผิดรวมกับที่ค้างชำระในการซื้อของเชื่อเดือนถัดไปอีกด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 323/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเอกสารพยานในคดีอาญา: ผู้ถูกเรียกไม่มีเอกสาร และโจทก์ไม่ใช่ผู้เสียหาย
ศาลมีคำสั่งให้บุคคลส่งเอกสารมาเป็นพยานในคดีอาญาผู้นั้นแจ้งต่อศาลว่าไม่มีเอกสารนั้นในครอบครอง โจทก์ในคดีอาญาเรื่องนั้นไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะฟ้องผู้ถูกเรียกเอกสารตาม ประมวลกฎหมายอาญามาตรา 170,137
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการตกลงยินยอมโดยสมัครใจเป็นเหตุยกฟ้องคดีละเมิด
การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบพยานแล้วงดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยไม่ชักช้า
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้นแสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไมหทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้นแสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไมหทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่ง ระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่า จำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 289/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความละเมิดและการตกลงยินยอมโดยสมัครใจไม่ถือเป็นการละเมิด
การที่ศาลชั้นต้นสั่งสืบพยานแล้วงดสืบพยานเป็นอำนาจของศาลที่จะพิจารณาสั่งได้ตามที่เห็นสมควรเพื่อให้คดีเสร็จไปโดยไม่ชักช้า
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้น แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าใจไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
ฟ้องว่า เมื่อวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 จำเลยที่ 2 นำความเท็จไปแจ้งต่อนายอำเภอว่าสามีโจทก์บุกรุกที่ของจำเลยที่ 1 นายอำเภอหลงเชื่อมีคำสั่งห้ามมิให้โจทก์กับสามีเข้าไปเกี่ยวข้องกับที่ดิน ทำให้โจทก์กับสามีต้องงดเว้นเข้าไปตัดจากตั้งแต่วันนั้น แสดงว่าโจทก์รู้ถึงการละเมิดและรู้ตัวผู้พึงต้องใช้ค่าสินไหมทดแทนแล้วตั้งแต่วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2509 อายุความละเมิดจึงเริ่มนับตั้งแต่วันนั้น ไม่ใช่นับแต่วันที่ศาลอ่านคำพิพากษาศาลฎีกาซึ่งพิพากษาว่าโจทก์มีสิทธิครอบครองที่ดิน
จำเลยที่ 1 มอบอำนาจให้จำเลยที่ 2 ฟ้องโจทก์เป็นจำเลยในคดีแพ่งระหว่างพิจารณาคดีดังกล่าว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องต่อศาลว่า โจทก์ให้บุตรสาวเข้าไปตัดจากในที่พิพาท ขอให้ศาลเรียกมาสั่งให้ระงับการตัดจากในที่พิพาท เมื่อคู่ความมาศาลพร้อมแล้ว ทั้งสองฝ่ายต่างแถลงว่าจะไม่เข้าใจไปตัดจากในที่พิพาทซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งอ้างว่าเป็นของตน ถ้าฝ่ายใดผิดข้อตกลงยอมให้ปรับครั้งละ 1,000 บาท ต่อมาคดีนั้นศาลฎีกาพิพากษาให้โจทก์ชนะคดีโดยฟังว่าโจทก์เป็นผู้มีสิทธิครอบครองที่พิพาท การที่โจทก์ไม่สามารถเข้าตัดจากได้ในระหว่างคดีก่อน เป็นเรื่องโจทก์ตกลงยินยอมโดยสมัครใจ ถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสองกระทำละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำให้การที่ไม่ชัดเจนว่ารับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้อง ถือเป็นคำให้การไม่ชอบตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 วรรคสอง
คำให้การของจำเลยในตอนแรกว่าหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องทำขึ้นด้วยเจตนาเพื่อใช้ลวงเจ้าหนี้ของโจทก์ ไม่มีผลบังคับต่อกัน แล้วให้การอีกว่าถ้าหนังสือรับสภาพหนี้ใช้บังคับได้ จำเลยก็ชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ให้เจ้าหนี้โจทก์แทนโจทก์แล้ว คำให้การดังนี้มีทั้งปฏิเสธว่าหนังสือรับสภาพหนี้ไม่มีผลบังคับและมีผลบังคับ ไม่ชัดแจ้งว่าจำเลยยอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 177 วรรคสอง
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ แม้จำเลยให้การไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ แต่เมื่อตามคำให้การนั้นจำเลยรับแล้วว่าได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์ก็ไม่ต้องสืบพยานอีก การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์พยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นการชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระหนี้ตามหนังสือรับสภาพหนี้ แม้จำเลยให้การไม่ชัดแจ้งว่ายอมรับหรือปฏิเสธข้ออ้างในฟ้องของโจทก์ แต่เมื่อตามคำให้การนั้นจำเลยรับแล้วว่าได้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง โจทก์ก็ไม่ต้องสืบพยานอีก การที่ศาลชั้นต้นงดสืบพยานโจทก์พยาน แล้วพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้แก่โจทก์ จึงเป็นการชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายภรรยาจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกายืนตามศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย ไม่เข้าข้อยกเว้นป้องกันตัว
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากัน วันเกิดเหตุจำเลยกลับจากทำงานถึงบ้านไม่พบผู้ตายจึงตามไปพบผู้ตายที่แพของ อ. จำเลยถามผู้ตายว่าทำไมไม่กลับบ้าน ผู้ตายว่าไม่กลับจะทำไมจำเลยว่าข้าวปลาทำไมไม่หุงปล่อยให้ลูกหุงกินเองผู้ตายจึงว่าหุงกินเองไม่เป็นก็ช่างแม่มันจำเลยจึงตบหน้าผู้ตายตกจากเก้าอี้ล้มลงไปที่พื้น ผู้ตายลุกขึ้นได้ก็หยิบมีดวิ่งเข้าหาจำเลยจำเลยจึงหยิบเขียงบนโต๊ะเหวี่ยงไปที่ผู้ตาย ถูกผู้ตายล้มลงไป มีเลือดออกที่ศีรษะ จำเลยเข้าประคองผู้ตายและพาไปส่งโรงพยาบาลผู้ตายมีบาดแผลฉกรรจ์ คือ ศีรษะบริเวณท้ายทอยแตก เป็นแผลยาว 13 เซนติเมตร กว้าง 2 เซนติเมตร ลึกจดกะโหลกศีรษะผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนนั้น เพราะเลือดคั่งในสมอง ลักษณะบาดแผลที่จำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถือมีดวิ่งเข้าหาจำเลยไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ที่ท้ายทอยของผู้ตาย บาดแผลอาจจะเกิดจากการที่ผู้ตายหงายหลังล้มลงไปก็ได้แต่ก็ได้ความว่าเหตุที่ผู้ตายล้มลงไปก็เพราะจำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตายการกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 165/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การทำร้ายร่างกายภรรยาจนถึงแก่ความตาย ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าเป็นการทำร้ายร่างกายจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
จำเลยกับผู้ตายเป็นสามีภริยากัน วันเกิดเหตุจำเลยกลับจากทำงานถึงบ้านไม่พบผู้ตาย จึงตามไปพบผู้ตายที่แพของ อ. จำเลยถามผู้ตายว่าทำไมไม่กลับบ้าน ผู้ตายว่าไม่กลับจะทำไม จำเลยว่าข้าวปลาทำไมไม่หุง ปล่อยให้ลูกหุงกินเอง ผู้ตายจึงว่าหุงกินเองไม่เป็นก็ช่างแม่มัน จำเลยจึงตบหน้าผู้ตายตกจากเก้าอี้ล้มลงไปที่พื้น ผู้ตายลุกขึ้นได้ก็ไปหยิบมีดวิ่งเข้าหาจำเลย จำเลยจึงหยิบเขียงบนโต๊ะเหวี่ยงไปที่ผู้ตาย ถูกผู้ตายล้มลงไป มีเลือดออกที่ศีรษะ จำเลยเข้าประคองผู้ตายและพาไปส่งโรงพยาบาล ผู้ตายมีบาดแผลฉกรรจ์คือศีรษะบริเวณท้ายทอยแตก เป็นแผลยาว 13 เซนติเมตร กว้าง 2 เซนติเมตร ลึกจดกะโหลกศีรษะ ผู้ตายถึงแก่ความตายในคืนนั้น เพราะเลือดคั่งในสมอง ลักษณะบาดแผลที่จำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตายในขณะที่ผู้ตายถือมีดวิ่งเข้าหาจำเลยไม่น่าจะทำให้เกิดบาดแผลฉกรรจ์ที่ท้ายทอยของผู้ตาย บาดแผลอาจจะเกิดจากการที่ผู้ตายหงายหลังล้มลงไปก็ได้ แต่ก็ได้ความว่าเหตุที่ผู้ตายล้มลงไปก็เพราะจำเลยเหวี่ยงเขียงไปที่ผู้ตาย การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ถึงแก่ความตาย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 159/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดต่อละเมิดของลูกจ้างที่ปฏิบัติงานในทางการจ้าง แม้ไม่มีการขออนุญาตใช้รถ
รถคันที่เกิดเหตุเป็นรถสำหรับใช้ในราชการของกองสำรวจ กรมชลประทานมิใช่รถประจำตำแหน่งหัวหน้ากองสำรวจแต่ผู้เดียว วันเกิดเหตุตอนเช้า ส.ลูกจ้างกรมชลประทานจำเลยได้ขับรถคันดังกล่าวไปส่งหัวหน้ากองสำรวจที่ปากเกร็ด แล้วจอดรออยู่ พอตกบ่าย ส.ได้ขับรถคันดังกล่าวจากกองสำรวจปากเกร็ดจะมาที่กรมชลประทาน มีผู้ตายกับพวกซึ่งเป็นพนักงานกองสำรวจโดยสารมาในรถด้วย ส.ขับรถประมาทเป็นเหตุให้รถพลิกคว่ำ ผู้ตายถึงแก่ความตาย ดังนี้ เมื่อได้ความว่าในเวลาปฏิบัติราชการหัวหน้ากองได้มอบกุญแจให้อยู่ในความครอบครองของ ส.ตลอดเวลา การที่ ส.ขับรถคันดังกล่าวออกมาจะโดยเป็นความประสงค์ของ ส.เอง หรือของพนักงานกรมชลประทานคนใดก็ตาม ส.ก็ไม่ต้องขออนุญาตจากหัวหน้ากอง ย่อมถือได้โดยปริยายว่า กรมชลประทานจำเลยได้อนุญาตให้ ส.กระทำเช่นนั้นได้ ทั้งเหตุละเมิดที่เกิดขึ้นปรากฏว่าได้เกิดในระหว่าง ส.ปฏิบัติงานให้นายจ้าง การกระทำของ ส. เป็นการกระทำในทางการที่จ้างของจำเลย จำเลยในฐานะนายจ้างต้องรับผิดต่อโจทก์ซึ่งเป็นบิดาผู้ตาย