พบผลลัพธ์ทั้งหมด 410 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนเช็คที่รู้ว่าไม่มีมูลหนี้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส. รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมา ส. ทิ้งงานนั้นแล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส. สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส. อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส. อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้วการที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1768/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้รับโอนเช็คที่รู้ว่าไม่มีมูลหนี้ ไม่มีสิทธิเรียกร้องเงินจากผู้สั่งจ่าย
โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็ครายพิพาทจากจำเลยในฐานะเป็นผู้สั่งจ่าย โดยโจทก์เป็นผู้ทรงโดยชอบด้วยกฎหมาย จำเลยให้การว่า จำเลยออกเช็ครายพิพาทให้แก่ ส. เพื่อเป็นประกันหนี้โดย ส.รับเหมาช่วงงานจากจำเลยไปทำ และต่อมาส. ทิ้งงานนั้น แล้วยักยอกเอาเช็คนั้นไปให้โจทก์ โจทก์ทรงเช็คโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือเป็นผู้ทรงโดยไม่สุจริตเนื่องจากการฉ้อฉลของ ส. เพราะทำให้จำเลยเสียเปรียบ อย่างไรก็ตาม ส.อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ ให้โจทก์ฟ้องจำเลยเพื่อให้ได้เงินมาแบ่งปัน จึงเป็นการใช้สิทธิไม่สุจริต ตามคำให้การจำเลยดังกล่าว จำเลยยืนยันแต่เพียงว่า ส. ฝ่ายเดียวฉ้อฉล หาได้ยืนยันว่าโจทก์ร่วมฉ้อฉลด้วยไม่ แม้จะมีข้อความทำนองว่า ส.สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ จำเลยก็กล่าวแต่เพียงว่า ส.อาจจะสมรู้ร่วมคิดกับโจทก์เท่านั้น ซึ่งแปลได้ว่า ส.อาจไม่ได้สมรู้ร่วมคิดกับโจทก์ก็ได้ คำให้การของจำเลยดังกล่าวแล้วจึงคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เมื่อศาลชั้นต้นสอบถามในระหว่างพิจารณา จำเลยก็แถลงว่าเช็ครายพิพาทจะตกไปอยู่ที่โจทก์อย่างไรจำเลยไม่ทราบ ดังนี้ คดีจึงไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบตามข้อต่อสู้ในคำให้การนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
ข้อเท็จจริงได้ความว่า ส. ได้ทิ้งงานรับเหมาช่วงงานจากจำเลยงวดที่ออกเช็คนั้นไปแล้ว ทั้งจำเลยก็ได้เลิกสัญญากับ ส. ก่อนเช็คนั้นถึงกำหนดจ่ายเงิน กับได้แจ้งให้โจทก์ทราบก่อนฟ้องแล้วด้วย ฉะนั้น เช็คที่จำเลยออกให้เป็นประกันจึงเป็นอันไม่มีมูลหนี้ต่อกันระหว่างจำเลยกับ ส. แล้ว การที่โจทก์ยอมรับโอนเช็ครายพิพาทมาโดยรู้ว่าเช็คนั้นเป็นเช็คที่จำเลยออกให้เพื่อประกันหนี้การรับเหมาช่วงงานก่อสร้าง และจำเลยผู้สั่งจ่ายไม่มีมูลหนี้ที่จะต้องชำระให้แก่ ส. ตามเช็คนั้นแล้ว โจทก์ผู้รับโอนเช็ครายพิพาทจึงไม่ใช่ผู้ทรงเช็คโดยสุจริตและชอบด้วยกฎหมาย โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้ใช้เงินตามเช็คนั้นได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1676/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและการรับซื้อโรงเรือนของผู้เช่าเมื่อสัญญาเช่าใหม่ไม่มีกำหนดเวลา
ข้อตกลงเรื่องผู้ให้เช่าต้องรับซื้อโรงเรือนของจำเลย(ผู้เช่า)ตามสัญญาข้อ 3 ตอนท้าย แม้จะเป็นเงื่อนไขในสัญญาแต่ก็เป็นเงื่อนไขหรือข้อตกลงต่างหากจากการเช่าจึงไม่ผูกพันโจทก์ผู้รับโอนให้จำต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 คือ ต้องรับซื้อโรงเรือนของจำเลยก่อน จึงจะมีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1676/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิบอกเลิกสัญญาเช่าและการรับซื้อโรงเรือน: ข้อตกลงแยกต่างหากไม่ผูกพันผู้รับโอน
ข้อตกลงเรื่องผู้ให้เช่าต้องรับซื้อโรงเรือนของจำเลย(ผู้เช่า) ตามสัญญาข้อ 3 ตอนท้าย แม้จะเป็นเงื่อนไขในสัญญา แต่ก็เป็นเงื่อนไขหรือข้อตกลงต่างหากจากการเช่าจึงไม่ผูกพันโจทก์ผู้รับโอนให้จำต้องปฏิบัติตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 569 คือ ต้องรับซื้อโรงเรือนของจำเลยก่อน จึงจะมีสิทธิบอกเลิกการเช่าได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกรรมการสมาคมต้องจดทะเบียน มิฉะนั้นกรรมการเดิมยังคงมีอำนาจ
การเปลี่ยนตัวกรรมการสมาคมโดยมิได้จดทะเบียนการเปลี่ยนแปลนั้นต่อนายทะเบียน ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมายและต้องถือว่ากรรมการที่ได้จดทะเบียนไว้เดิมยังเป็นกรรมการโดยชอบด้วยกฎหมายตลอดมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1478/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงกรรมการสมาคมต้องจดทะเบียน มิฉะนั้นกรรมการเดิมยังชอบด้วยกฎหมาย
การเปลี่ยนตัวกรรมการสมาคมโดยมิได้จดทะเบียนการเปลี่ยนแปลนั้นต่อนายทะเบียน ย่อมไม่สมบูรณ์ตามกฎหมาย และต้องถือว่ากรรมการที่ได้จดทะเบียนไว้เดิมยังเป็นกรรมการโดยชอบด้วยกฎหมายตลอดมา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1467/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ค่าอุปการะเลี้ยงดูหลังบุตรบรรลุนิติภาวะ: การฟ้องร้องตามสัญญาเดิมที่ไม่จำเป็นต้องพิสูจน์ฐานะยากไร้
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภรรยาของจำเลย ต่อมาได้ตกลงแยกกันอยู่ โดยจำเลยตกลงทำสัญญาแบ่งรายได้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองที่จำเลยมอบภาระให้โจทก์ในอัตราเศษหนึ่งส่วนสามของรายได้ประจำเดือนที่จำเลยได้รับจนกว่าบุตรทั้งสองคนจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าโจทก์จะยอมหย่าขาดจากจำเลย เมื่อบุตรทั้งสองบรรลุนิติภาวะแล้วจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โดยถือเอาจำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามข้อกำหนดในท้ายสัญญาท้ายฟ้องตลอดมาต่อมาจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เพียงเดือนละ 1,200 บาทเท่านั้น ซึ่งจำเลยมีหน้าที่แบ่งรายได้ให้โจทก์หนึ่งในสามส่วนเป็นเงิน 1,860 บาท ไม่ครบตามข้อตกลงขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์โดยแบ่งเงินรายได้ประจำเดือนให้โจทก์หนึ่งในสามส่วนเป็นเงิน 1,860บาททุกเดือนดังนี้ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ถือเอาอัตราและจำนวนเงินที่จำเลยเคยจ่ายให้โจทก์เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยอ้างข้อตกลงตามสัญญาแบ่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นหลักในการคำนวณจำนวนเงินที่จำเลยเคยจ่ายให้โจทก์เท่านั้น ไม่ใช่โจทก์นำสัญญาแบ่งรายได้เลี้ยงดูบุตรที่สิ้นผลบังคับแล้ว (เพราะบุตรบรรลุนิติภาวะ) มาฟ้องให้จำเลยต้องรับผิดไม่
กรณีภรรยาฟ้องให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ครบตามจำนวนที่เคยจ่ายให้ภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1594 ที่โจทก์จะต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ไร้ทรัพย์สินและมิสามารถหาเลี้ยงตนเองได้
กรณีภรรยาฟ้องให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ครบตามจำนวนที่เคยจ่ายให้ภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1594 ที่โจทก์จะต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ไร้ทรัพย์สินและมิสามารถหาเลี้ยงตนเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1467/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาแบ่งรายได้เลี้ยงดูบุตรสิ้นผลบังคับแล้ว ไม่ใช่เหตุให้ฟ้องเรียกค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยอ้างสัญญาเดิมได้
โจทก์ฟ้องว่าโจทก์เป็นภรรยาของจำเลย ต่อมาได้ตกลงแยกกันอยู่ โดยจำเลยตกลงทำสัญญาแบ่งรายได้เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรทั้งสองที่จำเลยมอบภาระให้โจทก์ ในอัตราเศษหนึ่งส่วนสามของรายได้ประจำเดือนที่จำเลยได้รับจนกว่าบุตรทั้งสองคนจะบรรลุนิติภาวะ หรือจนกว่าโจทก์จะยอมหย่าขาดจากจำเลย เมื่อบุตรทั้งสองบรรลุนิติภาวะแล้วจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ โดยถือเอาจำนวนค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรตามข้อกำหนดในท้ายสัญญาท้ายฟ้องตลอดมาต่อมาจำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้โจทก์เพียงเดือนละ1,200 บาทเท่านั้น ซึ่งจำเลยมีหน้าที่แบ่งรายได้ให้โจทก์หนึ่งในสามส่วนเป็นเงิน 1,860 บาท ไม่ครบตามข้อตกลง ขอให้จำเลยจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูโจทก์โดยแบ่งเงินรายได้ประจำเดือนให้โจทก์หนึ่งในสามส่วนเป็นเงิน 1,860บาททุกเดือน ดังนี้ ฟ้องโจทก์ดังกล่าวเป็นเรื่องโจทก์ถือเอาอัตราและจำนวนเงินที่จำเลยเคยจ่ายให้โจทก์เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูโดยอ้างข้อตกลงตามสัญญาแบ่งเงินค่าอุปการะเลี้ยงดูบุตรเป็นหลักในการคำนวณจำนวนเงินที่จำเลยเคยจ่ายให้โจทก์เท่านั้น ไม่ใช่โจทก์นำสัญญาแบ่งรายได้เลี้ยงดูบุตรที่สิ้นผลบังคับแล้ว (เพราะบุตรบรรลุนิติภาวะ) มาฟ้องให้จำเลยต้องรับผิดไม่
กรณีภรรยาฟ้องให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ครบตามจำนวนที่เคยจ่ายให้ภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1594 ที่โจทก์จะต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ไร้ทรัพย์สินและมิสามารถหาเลี้ยงตนเองได้
กรณีภรรยาฟ้องให้สามีจ่ายค่าอุปการะเลี้ยงดูให้ครบตามจำนวนที่เคยจ่ายให้ภรรยาอยู่ก่อนแล้ว ไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1594 ที่โจทก์จะต้องบรรยายฟ้องว่าโจทก์เป็นผู้ไร้ทรัพย์สินและมิสามารถหาเลี้ยงตนเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันสิทธิในทรัพย์สิน: การยิงผู้บุกรุกในเวลากลางคืนโดยสำคัญผิดว่าเป็นคนร้าย
จำเลยเคยถูกปล้นบ้านมาก่อน และเมื่อ 20 วันก่อนเกิดเหตุก็มีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุสามีจำเลยไม่อยู่ จำเลยปิดประตูบ้านซึ่งเป็นร้านค้าเข้านอนอยู่กับเด็ก ๆ เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงดังกุกกักที่ระเบียงเรือน จึงหยิบปืนเปิดประตูแง้มออกดูเห็นเงาคนตะคุ่ม ๆ อยู่บนระเบียงเรือนคนหนึ่ง และข้างล่างระเบียงเรือนอีกคนหนึ่ง จำเลยถามว่า "ใคร" ได้ยินเสียงตอบว่า "อย่าดัง" จำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จึงยิงปืนไปยังคนที่อยู่ระเบียง 2 นัด คนทั้งสองหนีไปจำเลยยิงขู่อีก 1 นัด แล้วตะโกนว่า "ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้าน" มีชาวบ้านมาและพบผู้ตายนอนตายเพราะถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงอยู่ที่ข้างคูน้ำบริเวณบ้านจำเลย ดังนี้ เป็นกรณีซึ่งมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาลักทรัพย์จำเลย เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจึงใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1378/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมาย: ความเชื่อโดยสุจริตว่ามีคนบุกรุกเพื่อลักทรัพย์
จำเลยเคยถูกปล้นบ้านมาก่อน และเมื่อ 20 วันก่อนเกิดเหตุก็มีคนร้ายเข้าบ้านจำเลย คืนเกิดเหตุสามีจำเลยไม่อยู่ จำเลยปิดประตูบ้านซึ่งเป็นร้านค้าเข้านอนอยู่กับเด็ก ๆ เวลาประมาณ 22 นาฬิกาได้ยินเสียงดังกุกกักที่ระเบียงเรือน จึงหยิบปืนเปิดประตูแง้มออกดูเห็นเงาคนตะคุ่ม ๆ อยู่บนระเบียงเรือนคนหนึ่ง และข้างล่างระเบียงเรือนอีกคนหนึ่ง จำเลยถามว่า 'ใคร' ได้ยินเสียงตอบว่า 'อย่าดัง' จำเลยเข้าใจว่าเป็นคนร้าย จึงยิงปืนไปยังคนที่อยู่ระเบียง 2 นัด คนทั้งสองหนีไปจำเลยยิงขู่อีก 1 นัด แล้วตะโกนว่า 'ช่วยด้วย โจรขึ้นบ้าน' มีชาวบ้านมาและพบผู้ตายนอนตายเพราะถูกกระสุนปืนที่จำเลยยิงอยู่ที่ข้างคูน้ำบริเวณบ้านจำเลย ดังนี้ เป็นกรณีซึ่งมีเหตุทำให้จำเลยเชื่อได้ว่าผู้ตายมีเจตนาจะเข้ามาลักทรัพย์จำเลย เป็นพฤติการณ์ที่จำเลยสำคัญผิดคิดว่าผู้ตายเป็นคนร้ายจึงใช้ปืนยิง เป็นการป้องกันสิทธิในทรัพย์สินของตนพอสมควรแก่เหตุ ถือได้ว่าเป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 68 ประกอบด้วยมาตรา 62