พบผลลัพธ์ทั้งหมด 421 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำฟ้องเคลือบคลุม: ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยหากฎีกาไม่ได้ระบุรายละเอียดความไม่ชัดเจนของคำฟ้องและจำเลยไม่หลงประเด็นข้อต่อสู้
ฎีกาจำเลยมีข้อความว่า คำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายคำฟ้องอย่างแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาของโจทก์และคำขอบังคับ ทั้งโจทก์มิได้อ้างข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาของโจทก์เช่นว่านั้น เป็นฎีกาที่มิได้บรรยายว่าคำฟ้องของโจทก์ไม่แจ้งชัดตรงไหนอย่างไร ตามคำให้การจำเลยก็ไม่ปรากฏว่าจำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหนจึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคหนึ่ง ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2724/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่ชัดเจน: จำเลยอ้างฟ้องเคลือบคลุม แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียด ทำให้ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยฎีกาว่าคำฟ้องของโจทก์เคลือบคลุม เพราะโจทก์มิได้บรรยายคำฟ้องอย่างแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับทั้งโจทก์มิได้อ้างข้อที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา เช่นนี้ฎีกาของจำเลยมิได้บรรยายว่า คำฟ้องของโจทก์ไม่ชัดแจ้งตรงไหนอย่างไร ตามคำให้การของจำเลยก็ไม่ปรากฏว่า จำเลยหลงข้อต่อสู้ตรงไหน จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก ศาลฎีการับวินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองและการใช้จ่ายเงินบุตรผู้เยาว์: บิดาใช้อำนาจปกครอง เงินบุตรต้องใช้เพื่อประโยชน์บุตร
บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาแต่อำนาจปกครองโดยแท้จริงคงอยู่ที่บิดา บิดาจึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและผู้ใช้อำนาจปกครองเท่านั้นที่มีสิทธิเอาเงินของบุตรมาใช้ได้ตามสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1545 มารดาหามีสิทธิไม่
บิดาเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารให้บุตรผู้เยาว์ โดยมอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตร แล้วบิดามารดาต่างได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีดังกล่าวระคนปนกับเงินได้ของบุตร โดยมีเจตนายกเงินที่นำเข้าฝากนั้นให้แก่บุตรดังนี้ เงินในบัญชีเงินฝากจึงเป็นของบุตรทั้งสิ้น หาใช่เป็นเงินที่บิดามารดาฝากไว้เป็นของตนเอง โดยฝากไว้ในนามของบุตรทำนองลงชื่อบุตรเป็นนามแฝงไม่ แม้จะมีข้อตกลงกับธนาคารว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงชื่อถอนเงินจากธนาคารได้นั้น ก็เป็นเรื่องระเบียบและวิธีการตามธรรมดาของธนาคารซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1545 และ 1546 ก็บัญญัติให้อำนาจและวิธีการแก่ผู้ใช้อำนาจปกครองที่จะนำเงินของบุตรไปใช้จ่ายได้ ย่อมจำเป็นที่จะต้องระบุชื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในการถอนเงินของบุตรจากธนาคารไว้ด้วย มิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในกรณีที่จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายตามอำนาจ ที่บิดามอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรจึงเป็นเรื่องการมอบหมายให้มารดาทำหน้าที่แทนบิดาตามธรรมดานั่นเองมารดาหามีสิทธิถอนเงินของบุตรไปใช้สอยส่วนตัวไม่
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอุทลุมในนามของตนเองแทนเด็กตามอำนาจและหน้าที่ในกฎหมาย โดยไม่มีการแต่งตั้งทนายศาลไม่สั่งให้ค่าทนายความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2516 แต่ไม่ลงมติ)
บิดาเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารให้บุตรผู้เยาว์ โดยมอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตร แล้วบิดามารดาต่างได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีดังกล่าวระคนปนกับเงินได้ของบุตร โดยมีเจตนายกเงินที่นำเข้าฝากนั้นให้แก่บุตรดังนี้ เงินในบัญชีเงินฝากจึงเป็นของบุตรทั้งสิ้น หาใช่เป็นเงินที่บิดามารดาฝากไว้เป็นของตนเอง โดยฝากไว้ในนามของบุตรทำนองลงชื่อบุตรเป็นนามแฝงไม่ แม้จะมีข้อตกลงกับธนาคารว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงชื่อถอนเงินจากธนาคารได้นั้น ก็เป็นเรื่องระเบียบและวิธีการตามธรรมดาของธนาคารซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1545 และ 1546 ก็บัญญัติให้อำนาจและวิธีการแก่ผู้ใช้อำนาจปกครองที่จะนำเงินของบุตรไปใช้จ่ายได้ ย่อมจำเป็นที่จะต้องระบุชื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในการถอนเงินของบุตรจากธนาคารไว้ด้วย มิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในกรณีที่จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายตามอำนาจ ที่บิดามอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรจึงเป็นเรื่องการมอบหมายให้มารดาทำหน้าที่แทนบิดาตามธรรมดานั่นเองมารดาหามีสิทธิถอนเงินของบุตรไปใช้สอยส่วนตัวไม่
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอุทลุมในนามของตนเองแทนเด็กตามอำนาจและหน้าที่ในกฎหมาย โดยไม่มีการแต่งตั้งทนายศาลไม่สั่งให้ค่าทนายความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2516 แต่ไม่ลงมติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2604/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจปกครองและการใช้เงินของบุตรผู้เยาว์: สิทธิของบิดามารดาและเจตนายกเงิน
บุตรซึ่งยังไม่บรรลุนิติภาวะ ต้องอยู่ใต้อำนาจปกครองของบิดามารดาแต่อำนาจปกครองโดยแท้จริงคงอยู่ที่บิดา บิดาจึงเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองและผู้ใช้อำนาจปกครองเท่านั้นที่มีสิทธิเอาเงินของบุตรมาใช้ได้ตามสมควรตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1545 มารดาหามีสิทธิไม่
บิดาเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารให้บุตรผู้เยาว์ โดยมอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตร แล้วบิดามารดาต่างได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีดังกล่าวระคนปนกับเงินได้ของบุตร โดยมีเจตนายกเงินที่นำเข้าฝากนั้นให้แก่บุตรดังนี้ เงินในบัญชีเงินฝากจึงเป็นของบุตรทั้งสิ้น หาใช่เป็นเงินที่บิดามารดาฝากไว้เป็นของตนเอง โดยฝากไว้ในนามของบุตรทำนองลงชื่อบุตรเป็นนามแฝงไม่ แม้จะมีข้อตกลงกับธนาคารว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงชื่อถอนเงินจากธนาคารได้นั้น ก็เป็นเรื่องระเบียบและวิธีการตามธรรมดาของธนาคารซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1545 และ 1546 ก็บัญญัติให้อำนาจและวิธีการแก่ผู้ใช้อำนาจปกครองที่จะนำเงินของบุตรไปใช้จ่ายได้ ย่อมจำเป็นที่จะต้องระบุชื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในการถอนเงินของบุตรจากธนาคารไว้ด้วย มิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในกรณีที่จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายตามอำนาจ ที่บิดามอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรจึงเป็นเรื่องการมอบหมายให้มารดาทำหน้าที่แทนบิดาตามธรรมดานั่นเองมารดาหามีสิทธิถอนเงินของบุตรไปใช้สอยส่วนตัวไม่
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอุทลุมในนามของตนเองแทนเด็กตามอำนาจและหน้าที่ในกฎหมาย โดยไม่มีการแต่งตั้งทนาย ศาลไม่สั่งให้ค่าทนายความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2516 แต่ไม่ลงมติ)
บิดาเปิดบัญชีเงินฝากประจำที่ธนาคารให้บุตรผู้เยาว์ โดยมอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตร แล้วบิดามารดาต่างได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีดังกล่าวระคนปนกับเงินได้ของบุตร โดยมีเจตนายกเงินที่นำเข้าฝากนั้นให้แก่บุตรดังนี้ เงินในบัญชีเงินฝากจึงเป็นของบุตรทั้งสิ้น หาใช่เป็นเงินที่บิดามารดาฝากไว้เป็นของตนเอง โดยฝากไว้ในนามของบุตรทำนองลงชื่อบุตรเป็นนามแฝงไม่ แม้จะมีข้อตกลงกับธนาคารว่าผู้ใดจะเป็นผู้ลงชื่อถอนเงินจากธนาคารได้นั้น ก็เป็นเรื่องระเบียบและวิธีการตามธรรมดาของธนาคารซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งต่างหาก ทั้งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1545 และ 1546 ก็บัญญัติให้อำนาจและวิธีการแก่ผู้ใช้อำนาจปกครองที่จะนำเงินของบุตรไปใช้จ่ายได้ ย่อมจำเป็นที่จะต้องระบุชื่อผู้มีอำนาจหน้าที่ในการถอนเงินของบุตรจากธนาคารไว้ด้วย มิฉะนั้นจะเกิดความยุ่งยากในกรณีที่จะต้องนำเงินมาใช้จ่ายตามอำนาจ ที่บิดามอบหมายให้มารดาเป็นผู้มีอำนาจหน้าที่ถอนเงินจากธนาคารมาใช้จ่ายเพื่อการศึกษาของบุตรจึงเป็นเรื่องการมอบหมายให้มารดาทำหน้าที่แทนบิดาตามธรรมดานั่นเองมารดาหามีสิทธิถอนเงินของบุตรไปใช้สอยส่วนตัวไม่
พนักงานอัยการเป็นโจทก์ฟ้องคดีอุทลุมในนามของตนเองแทนเด็กตามอำนาจและหน้าที่ในกฎหมาย โดยไม่มีการแต่งตั้งทนาย ศาลไม่สั่งให้ค่าทนายความ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2516 แต่ไม่ลงมติ)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2575/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอุทธรณ์โดยเพิ่มชื่อจำเลยร่วมหลังพ้นกำหนดเวลา ศาลอนุญาตได้หากเนื้อหาในฟ้องอุทธรณ์ครอบคลุมถึงจำเลยร่วมนั้น
จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดี โดยฟ้องอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีระบุแต่ชื่อจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยทั้งสามเป็นผู้ลงชื่อในอุทธรณ์และคำร้อง ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และคำร้องไว้แล้ว ต่อมาเมื่อพ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอระบุชื่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ดังนี้ เมื่อคำร้องของ จำเลยมิได้อ้างเหตุขึ้นมาใหม่ คงอ้างแต่เพียงว่าฟ้องอุทธรณ์ที่ได้ยื่นไว้แล้วเป็นฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ที่ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ผู้เดียวนั้นเพราะพิมพ์ผิดพลาดไป อีกทั้งข้อความในฟ้องอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับที่ยื่นพร้อมอุทธรณ์มีข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ยื่นอุทธรณ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 จริง ศาลอุทธรณ์ย่อมอนุญาตตามคำร้องของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2575/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแก้ไขฟ้องอุทธรณ์โดยการเพิ่มชื่อจำเลยร่วมหลังพ้นกำหนดเวลา และความรับผิดชอบในหนี้เช็ค
จำเลยอุทธรณ์และขอทุเลาการบังคับคดี โดยฟ้องอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดีระบุแต่ชื่อจำเลยที่ 1 ทนายจำเลยทั้งสามเป็นผู้ลงชื่อในอุทธรณ์และคำร้อง ศาลชั้นต้นสั่งรับอุทธรณ์และคำร้องไว้แล้ว ต่อมาเมื่อพ้นระยะเวลายื่นอุทธรณ์แล้ว จำเลยทั้งสามได้ยื่นคำร้องขอระบุชื่อจำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 3 เป็นผู้ยื่นอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับคดี ดังนี้ เมื่อคำร้องของจำเลยมิได้อ้างเหตุขึ้นมาใหม่ คงอ้างแต่เพียงว่าฟ้องอุทธรณ์ที่ได้ยื่นไว้แล้วเป็นฟ้องอุทธรณ์ของจำเลยทั้งสาม ที่ระบุชื่อจำเลยที่ 1 ผู้เดียวนั้นเพราะพิมพ์ผิดพลาดไป อีกทั้งข้อความในฟ้องอุทธรณ์และคำร้องขอทุเลาการบังคับที่ยื่นพร้อมอุทธรณ์มีข้ออุทธรณ์ของจำเลยที่ 2 ที่ 3 ด้วย ซึ่งเห็นได้ชัดว่าจำเลยที่ 2 ที่ 3 ได้ยื่นอุทธรณ์ร่วมกับจำเลยที่ 1 จริง ศาลอุทธรณ์ย่อมอนุญาตตามคำร้องของจำเลยได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2427/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของคำฟ้องที่ใช้ลายพิมพ์นิ้วมือแทนลายมือชื่อ และการรับรองลายพิมพ์นิ้วมือโดยทนาย
โจทก์พิมพ์ลายนิ้วมือในคำฟ้องและใบแต่งทนาย่ โดยมีทนายโจทก์ผู้เดียวรับรอง ลายพิมพ์นิ้วมือ ซึ่งถ้าคดีอยู่ระหว่างพิจารณาของศาลชั้นต้น ศาลอาจมีคำสั่งให้คืนคำฟ้องให้โจทก์ไป ทำมาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธิพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ได้ แต่คดีนี้ได้ดำเนินกระบวนพิจารณากันมาจนเสร็จสิ้นถึงศาลฎีกาแล้ว ตามสำนวนปรากฏว่าโจทก์ได้อ้างตนเองเบิกความเป็นพยาน และต่อมาได้พิมพ์ลายมือชื่อไว้ในอุทรธร์ของโจทก์อีกด้วย เป็นที่ชัดแจ้งว่าโจทก์ได้ยื่นฟ้องคดีนี้จริง ทั้งยังเป็นการรับรองว่าโจทก์แต่งตั้งให้ ส. เป็นทนายอีกด้วย คดีจึงไม่จำต้องคืนคำฟ้อง และในแต่งทนายให้โจทก์ไปทำมาใหม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การปฏิเสธฟ้องและประเด็นข้อต่อสู้คดีกู้ยืมเงิน ศาลต้องพิจารณาว่าจำเลยปฏิเสธข้ออ้างโจทก์ชัดแจ้งหรือไม่
จำเลยให้การว่า นอกจากที่จำเลยให้การไว้ ขอให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ และมีข้อความในคำให้การต่อไปว่า ความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงิน ถือว่าจำเลยได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสิ้น
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์ จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุมไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2373/2516 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การให้การปฏิเสธฟ้องและการต่อสู้คดีที่มีประเด็นเคลือบคลุม ศาลต้องพิจารณาให้โจทก์นำสืบพิสูจน์ตามข้ออ้าง
จำเลยให้การว่า นอกจากที่จำเลยให้การไว้ ขอให้ถือว่าจำเลยให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ และมีข้อความในคำให้การต่อไปว่าความจริงจำเลยไม่ได้กู้เงิน ถือว่าจำเลยได้ให้การไว้โดยชัดแจ้งแล้วว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ที่ว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ทั้งสิ้น
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุม ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)
จำเลยยกข้อต่อสู้ฟ้องโจทก์โดยกล่าวในตอนแรกว่า โจทก์จำเลยได้ทำสัญญาซื้อขายเรือนและไม้กระดานกัน แล้วโจทก์ได้นำกระดาษเปล่ามาให้จำเลยลงชื่อไว้ และในคำให้การจำเลยยังได้กล่าวต่อไปด้วยว่าจำเลยได้ลงชื่อไว้ในสัญญากู้ให้โจทก์อีกฉบับหนึ่ง จำเลยไม่ได้ยืนยันไว้โดยชัดแจ้งว่าหนังสือสัญญากู้ยืมที่โจทก์กล่าวอ้างในฟ้องนั้นเป็นหนังสือสัญญาฉบับไหน หรือหากจำเลยจะกล่าวอ้างว่าสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องนั้นไม่สมบูรณ์ด้วยเหตุผลประการใด จำเลยก็มิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งเหตุแห่งข้ออ้างที่จำเลยยกขึ้นต่อสู้ฟ้องโจทก์นั้นจึงเคลือบคลุม ไม่มีประเด็นที่จำเลยจะนำสืบเป็นข้อต่อสู้ได้
เมื่อฟังว่าจำเลยได้ให้การปฏิเสธฟ้องโจทก์ ย่อมจะต้องถือว่าข้อเท็จจริงที่โจทก์กล่าวอ้างมาว่าจำเลยได้กู้ยืมเงินโจทก์ตามฟ้องนั้นจำเลยไม่ได้ยอมรับ โจทก์จึงยังมีหน้าที่ที่จะต้องนำสืบให้ปรากฏข้อเท็จจริงว่าจำเลยได้ทำหนังสือสัญญากู้ยืม และได้รับเงินไปจากโจทก์ให้สมตามข้ออ้างของโจทก์ในฟ้อง
(ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 19, 20/2516)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1886/2516
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการวินิจฉัยฎีกาในคดีอาญาที่เกี่ยวข้องกับคดีแพ่ง ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยประเด็นที่โจทก์ไม่ขอให้เปลี่ยนแปลงโทษ
คดีอาญาซึ่งโจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นตายนั้น ประเด็นโดยตรงแห่งคดีมีแต่เพียงว่า จำเลยกระทำผิดโดยประมาทหรือไม่ การที่ศาลล่างกล่าวหาผู้ตายมีส่วนประมาทอยู่ด้วยนั้นเป็นเพียงเพื่อจะนำมาใช้ประกอบดุลพินิจในการกำหนดโทษจำเลยเท่านั้น และข้อเท็จจริงในคดีอาญาซึ่งศาลที่จะพิจารณาคดีส่วนแพ่งจะต้องถือตามนั้นก็ต้องเป็นข้อเท็จจริงซึ่งเป็นประเด็นแห่งคดีอาญาโดยตรงเท่านั้น เมื่อโจทก์ฎีกาเพียงข้อเดียวว่าคดีควรฟังว่าจำเลยเป็นฝ่ายประมาทฝ่ายเดียว ผู้ตายมิได้ประมาทด้วย ส่วนข้ออื่น ๆรวมทั้งโทษที่ศาลอุทธรณ์วางไว้โจทก์พอใจแล้ว ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมไม่วินิจฉัยให้เพราะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีนี้แต่อย่างใด