พบผลลัพธ์ทั้งหมด 217 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2038/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายที่ดินโฉนดไขว้กัน โจทก์รู้ข้อเท็จจริงแต่ยังซื้อขาย ถือเป็นการได้สิทธิโดยไม่สุจริต
น. มีที่ดินสองแปลงคือ ที่พิพาทและที่ดินโฉนดที่ 2785 น. ได้ขายที่พิพาทให้กับบิดาของภริยาจำเลย แต่ด้วยความเข้าใจผิดได้นำโฉนดที่ 2785 มาจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ บิดาของภริยาจำเลยครอบครองที่พิพาทมากว่า 30 ปีแล้วถึงแก่กรรม ภริยาจำเลยรับมรดกที่พิพาทแต่จดทะเบียนในโฉนดที่ 2785 แล้วจำเลยกับภริยาครอบครองที่พิพาทตลอดมา ส่วนที่ดินตามโฉนดเลขที่ 2785 น. ขายให้กับผู้มีชื่อโดยจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์กันในโฉนดสำหรับที่พิพาท แล้วโอนกันต่อมาจนตกเป็นของ จ. จ. จดทะเบียนโอนขายให้โจทก์ เมื่อได้ความว่าโจทก์มีเจตนาจะซื้อที่ดินแปลงที่ จ. ครอบครองเป็นเจ้าของอยู่เป็นสำคัญยิ่งกว่าที่ดินแปลงตามหน้าโฉนดที่ถูกต้อง โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์อ้างเอาที่พิพาท การมีชื่อ จ. เป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ทางทะเบียนในโฉนดสำหรับที่พิพาท ไม่ทำให้ จ. มีสิทธิ์ขายที่ดินตามหน้าโฉนดนี้เพราะที่ดินไม่ใช่ของ จ. เมื่อโจทก์รู้อยู่แล้วเช่นนี้ ยังรับซื้อและรับโอนทางทะเบียนมา ถือได้ว่าเป็นการได้สิทธิ์และได้จดทะเบียนสิทธิ์โดยไม่สุจริต ไม่มีสิทธิ์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากที่พิพาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องแย่งการครอบครอง: เริ่มนับเมื่อมีการโต้แย้งสิทธิชัดเจน ไม่ใช่วันจดทะเบียนซื้อขาย
จำเลยยื่นเรื่องราวต่อทางอำเภอขอขายที่พิพาทซึ่งเป็นที่ดินมือเปล่า โจทก์ร้องคัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ครึ่งหนึ่ง ให้จำเลยครอบครองไว้แทน อำเภอจึงทำการเปรียบเทียบ จำเลยว่าที่พิพาทเป็นของตนทั้งแปลง ได้รับมรดกและได้ครอบครองทำประโยชน์ติดต่อกันประมาณ 45 ปีแล้ว โจทก์ไม่เคยเกี่ยวข้อง อำเภอจึงสั่งให้โจทก์นำคดีไปฟ้องต่อศาลภายใน 40 วัน แต่โจทก์ไม่ฟ้องภายในกำหนดดังกล่าว อำเภอจึงจดทะเบียนซื้อขายให้ ดังนี้ ถือว่าจำเลยได้โต้แย้งสิทธิโจทก์นับตั้งแต่วันที่จำเลยได้อ้างในการเปรียบเทียบของอำเภอ โดยแสดงออกต่อโจทก์แล้วว่าจะเอาที่พิพาทเป็นของตน มิได้ยึดถือแทนโจทก์ต่อไป อันเป็นการแย่งการครอบคอรง หาใช่นับตั้งแต่วันที่อำเภอได้ทำการจดทะเบียนขายที่พิพาทไม่ เมื่อโจทก์นำคดีมาฟ้องเกินกว่าหนึ่งปีนับแต่วันถูกแย่งการครอบครองโจกท์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง โจทก์จึงขาดสิทธิฟ้องคดีเพื่อเอาคืนซึ่งการครอบครอง ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1375 วรรค 2
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1574/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษา และสิทธิของจำเลยในการคัดค้าน
เมื่อโจทก์มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลเพื่อใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษา ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน อายัดเงินที่จ้างที่จำเลยได้จะได้รับจากบุคคลอื่น และศาลได้มีคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างที่จำเลยจะได้รับจากบุคคลอื่นแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้ศาลสั่งเพิกถอนการอายัดดังกล่าวได้ จำเลยมีสิทธิพียงแต่จะขอให้ศาลสั่งยกเลิกคำสั่งหรือหมายอายัดทรัพย์ชั่วคราว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรค 2 ได้เท่านั้น จึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1574/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในการอายัดทรัพย์ชั่วคราวก่อนพิพากษา และขอบเขตสิทธิของจำเลยในการคัดค้าน
เมื่อโจทก์มีสิทธิที่จะร้องขอต่อศาลเพื่อใช้วิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง ได้ขอให้ศาลไต่สวนฉุกเฉิน อายัดเงินค่าจ้างที่จำเลยจะได้รับจากบุคคลอื่น และศาลได้มีคำสั่งอายัดเงินค่าจ้างที่จำเลยจะได้รับจากบุคคลอื่นแล้ว จำเลยย่อมไม่มีสิทธิฟ้องแย้งขอให้ศาลเพิกถอนการอายัดดังกล่าวได้ จำเลยมีสิทธิเพียงแต่จะขอให้ศาลสั่งยกเลิกคำสั่งหนือหมายอายัดทรัพย์ชั่วคราวตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง ได้เท่านั้น จึงไม่มีสิทธิฟ้องแย้งเรียกค่าเสียหายจากโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้สนับสนุนการวิ่งราวทรัพย์: การช่วยเหลือหลังการกระทำความผิด ไม่ถึงตัวการร่วม และไม่ริบรถยนต์
จำเลยได้ร่วมรู้คบคิดกับ ศ. และพวกที่จะมาวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหาย โดยมีการวางแผนให้ ศ.ไปทำการ ส่วนจำเลยกับพวกจอดรถอยู่ห่างที่เกิดเหตุ เมื่อ ศ.วิ่งราวทรัพย์แล้วก็จะวิ่งหนีมาขึ้นรถยนต์ของจำเลยหลบหนีไป จำเลยจอดรถคอยอยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 80 เมตร และมีศาลาวัดบังมองไม่เห็นที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่ ศ.ในการที่จะไปทำการวิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดตามมาตรา 86
การที่จำเลยกับพวกจอดรถกับ ศ.ไป เป็นเวลาภายหลังเมื่อ ศ.วิ่งราวทรัพย์เสร็จแล้ว ที่จอดรถและที่ ศ.วิ่งราวทรัพย์ห่างกันมาก และมองไม่เห็นกัน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในการวิ่งราวทรัพย์
รถยนต์ของจำเลยมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์จึงไม่ถึงริบตามมาตรา 33(1)
การที่จำเลยกับพวกจอดรถกับ ศ.ไป เป็นเวลาภายหลังเมื่อ ศ.วิ่งราวทรัพย์เสร็จแล้ว ที่จอดรถและที่ ศ.วิ่งราวทรัพย์ห่างกันมาก และมองไม่เห็นกัน จึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในการวิ่งราวทรัพย์
รถยนต์ของจำเลยมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์จึงไม่ถึงริบตามมาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1124/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสนับสนุนการวิ่งราวทรัพย์: จำเลยมีความผิดฐานสนับสนุน ไม่ใช่ตัวการร่วม และรถยนต์ที่ใช้ไม่ใช่ทรัพย์ที่ใช้ในการกระทำความผิด
จำเลยได้ร่วมรู้คบคิดกับ ศ. และพวกที่จะมาวิ่งราวทรัพย์ของผู้เสียหายโดยมีการวงแผนให้ ศ. ไปทำการ ส่วนจำเลยกับพวกจอดรถอยู่ห่างที่เกิดเหตุเมื่อ ศ. วิ่งราวทรัพย์แล้วก็จะวิ่งหนีมาขึ้นรถยนต์ของจำเลยหลบหนีไป จำเลยจอดรถคอยอยู่ห่างที่เกิดเหตุประมาณ 80 เมตร และมีศาลาวัดบังมอบไม่เห็นที่เกิดเหตุ การกระทำของจำเลยเป็นการช่วยเหลือและให้ความสะดวกแก่ ศ.ในการที่จะไปทำการวิ่งราวทรัพย์ผู้เสียหาย จำเลยเป็นเพียงผู้สนับสนุนการกะรทำผิดตาม มาตรา 86
การที่จำเลยกับพวกจอดรถรับ ศ.ไปเป็นเวลาภายหลังเมื่อศ. วิ่งราวทรัพย์เสร็จแล้ว ที่จอดรถและที่ ศ. วิ่งราวทรัพย์ห่างกันมาก และมองไม่เห็นกันจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในการวิ่งราวทรัพย์
รถยนต์ของจำเลยมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงไม่พึงริบตาม มาตรา 33(1)
การที่จำเลยกับพวกจอดรถรับ ศ.ไปเป็นเวลาภายหลังเมื่อศ. วิ่งราวทรัพย์เสร็จแล้ว ที่จอดรถและที่ ศ. วิ่งราวทรัพย์ห่างกันมาก และมองไม่เห็นกันจึงถือไม่ได้ว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมในการวิ่งราวทรัพย์
รถยนต์ของจำเลยมิใช่ทรัพย์ที่ได้ใช้ในการกระทำความผิดฐานวิ่งราวทรัพย์ จึงไม่พึงริบตาม มาตรา 33(1)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเรียกร้องค่าขาดอุปการะของบุตรเมื่อบิดามารดาเสียชีวิต และอำนาจฟ้องของผู้เยาว์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เกิด พ.ศ.2495 ไม่ระบุวันเดือนเกิดต้องถือตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา16 ว่าเกิดวันที่ 1 มกราคม2495 นับถึงวันเกิดเหตุยังไม่ครบ 20 ปีบริบูรณ์ จึงมีสิทธิเรียกค่าขาดอุปการะเลี้ยงดูเพราะจำเลยทำละเมิดให้มารดาโจทก์ตายได้ แม้มีบิดาเป็นผู้ใช้อำนาจปกครองมารดาก็ยังต้องอุปการะบุตร ข้อที่ไม่มีผู้แทนโดยชอบธรรมเป็นแต่บกพร่องเรื่องความสามารถที่แก้ไขได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 ไม่ใช่ไม่มีอำนาจฟ้องแต่ในชั้นฎีกาโจทก์บรรลุนิติภาวะแล้ว ก็ไม่ต้องแก้ไข
การประชุมใหญ่เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกาจะสั่งให้มีหรือไม่ คู่ความจะร้องขึ้นมาไม่ได้
การประชุมใหญ่เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกาจะสั่งให้มีหรือไม่ คู่ความจะร้องขึ้นมาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 623/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องผู้เยาว์ & การขาดไร้อุปการะจากละเมิดของผู้อื่น: ศาลแก้ไขความสามารถ/พิจารณาค่าเสียหายได้
โจทก์ที่ 4 เกิดเมื่อ พ.ศ. 2495 เมื่อไม่ปรากฏว่าเกิดวันใด ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 16 บัญญัติให้นับอายุตั้งแต่วันต้นแห่งปีปฏิทินหลวงซึ่งเป็นปีที่เกิด จึงต้องถือว่าโจทก์ที่ 4 เกิดเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2495 เมื่อนับถึงวันเกิดเหตุโจทก์ที่ 4 ยังเป็นผู้เยาว์ จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าสินไหมทดแทนที่ต้องขาดไร้อุปการะ ขณะฟ้องคดีโจทก์ทั้ง 4 เป็นผู้เยาว์ ก็เป็นเพียงบกพร่องในเรื่องความสามารถ ซึ่งศาลมีอำนาจไต่สวนและแก้ไขให้บริบูรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 56 มิใช่ไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ 4 ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถอีก และถือได้ว่าโจทก์ที่ 4 มีอำนาจฟ้องมาแต่ต้น (อ้างฎีกาที่ 1638/2511)
เรื่องอำนาจปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1537 วรรค 2 นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และเรื่องการอุปการะเลี้ยงดูก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 ไม่ใช่แต่เพียงบิดาเท่านั้นที่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร มารดาก็มีหน้าที่เช่นเดียวกัน
การขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรค 3 หมายถึงการขาดสิทธิในอันที่จะได้รับการอุปการะ จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง ทำให้มารดาโจทก์ตาย โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย จึงชอบที่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นจากจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องพิจารณาว่า บิดาโจทก์จะได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์อยู่หรือไม่ (อ้างฎีกาที่ 1742/2499)
การจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกา คู่ความจะร้องขึ้นมาหาได้ไม่
เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ที่ 4 ผู้เยาว์บรรลุนิติภาวะแล้ว จึงไม่มีเหตุที่ศาลฎีกาจะต้องแก้ไขข้อบกพร่องในเรื่องความสามารถอีก และถือได้ว่าโจทก์ที่ 4 มีอำนาจฟ้องมาแต่ต้น (อ้างฎีกาที่ 1638/2511)
เรื่องอำนาจปกครองตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1537 วรรค 2 นั้นเป็นเรื่องหนึ่ง และเรื่องการอุปการะเลี้ยงดูก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1536 ไม่ใช่แต่เพียงบิดาเท่านั้นที่มีหน้าที่อุปการะเลี้ยงดูบุตร มารดาก็มีหน้าที่เช่นเดียวกัน
การขาดไร้อุปการะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 443 วรรค 3 หมายถึงการขาดสิทธิในอันที่จะได้รับการอุปการะ จำเลยที่ 1 ลูกจ้างของจำเลยที่ 2 กระทำละเมิดในทางการที่จ้าง ทำให้มารดาโจทก์ตาย โจทก์ที่ 4 และที่ 5 ขาดไร้อุปการะตามกฎหมาย จึงชอบที่เรียกค่าสินไหมทดแทนเพื่อการนั้นจากจำเลยทั้งสองได้โดยไม่ต้องพิจารณาว่า บิดาโจทก์จะได้อุปการะเลี้ยงดูโจทก์อยู่หรือไม่ (อ้างฎีกาที่ 1742/2499)
การจะให้มีการวินิจฉัยปัญหาใดในคดีเรื่องใดโดยที่ประชุมใหญ่ของศาลฎีกา เป็นอำนาจหน้าที่ของประธานศาลฎีกา คู่ความจะร้องขึ้นมาหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินในเขตหวงห้ามและการมีอำนาจฟ้องคดีบุกรุก กรณีผู้ฟ้องไม่มีสิทธิครอบครอง
ที่พิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามของทางราชการ โจทก์เข้าครอบครองเฉพาะฤดูฝนเพื่อปลูกพืชโดยพลการ สิ้นฤดูฝนแล้วก็มิได้ครอบครองและมิได้ล้อมรั้วกั้นเขตไว้ ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูแล้ง โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีสิทธิหวงห้ามบุคคลอื่นใดมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 584/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินในเขตหวงห้ามและการมีอำนาจฟ้องคดีบุกรุก การครอบครองเฉพาะฤดูกาลไม่ถือเป็นการครอบครองตามกฎหมาย
ที่พิพาทอยู่ในเขตหวงห้ามของทางราชการ โจทก์เข้าครอบครองเฉพาะฤดูฝนเพื่อปลูกพืชโดยพลการ สิ้นฤดูฝนแล้วก็มิได้ครอบครองและมิได้ล้อมรั้วกั้นเขตไว้ขณะเกิดเหตุเป็นฤดูแล้ง โจทก์ไม่ได้ครอบครองที่พิพาท จึงไม่มีสิทธิหวงห้ามบุคคลอื่นใดมิให้เกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายที่จะมีอำนาจฟ้อง