พบผลลัพธ์ทั้งหมด 348 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1542-1543/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานยักยอกเงินของเจ้าหน้าที่: การกำหนดความรับผิดของเจ้าพนักงานและลูกจ้าง
เดิมโจทก์ฟ้องจำเลยทั้งสองเป็นสำนวนเดียวกัน จำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์แยกฟ้องจำเลยที่ 1 เป็นสำนวนใหม่ ต่อมาคู่ความฎีกาทั้งสองสำนวน เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าคดีทั้งสองสำนวนนี้เกี่ยวพันกัน ย่อมให้รวมการพิจารณาพิพากษาคดีทั้งสองสำนวนเข้าด้วยกันได้เพื่อสะดวกแก่การพิจารณา
จำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวันทำงานอยู่ที่แผนกเภสัชกรรมของโรงพยาบาลเดียวกันจำเลยที่ 1 มีหน้าที่คิดราคายา และเขียนราคายาลงในใบสั่งยาจำหน่ายยาให้คนไข้ เมื่อเจ้าหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่มอบใบเสร็จรับเงินและยาให้แก่คนไข้ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลการออกใบเสร็จรับเงินและสำเนาให้ตรงตามใบสั่งยา เมื่อรับเงินค่าจำหน่ายยาแล้ว จำเลยที่ 2 มีหน้าที่เก็บรักษาไว้เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่การเงิน เวลาจำเลยที่ 2 ไม่อยู่ ถ้าจำเลยที่ 1ช่วยเขียนใบเสร็จรับเงินก็ต้องมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2กลับมา จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสำเนาใบเสร็จรับเงินโดยลงจำนวนเงินราคายาน้อยกว่าราคาที่จำหน่ายไปจริง แล้วร่วมกันยักยอกเอาเงินที่เกินกว่าจำนวนในสำเนาใบเสร็จ ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น เพราะจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่รักษาเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น แม้จะรับสารภาพตามฟ้องว่ากระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเงินซึ่งมีหน้าที่รักษาไว้ แต่เมื่อรวมการพิจารณาแล้ว ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่รักษาเงินจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามมาตรา 352 เท่านั้นเหมือนกัน
จำเลยที่ 1 รับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยพยาบาล จำเลยที่ 2 เป็นลูกจ้างรายวันทำงานอยู่ที่แผนกเภสัชกรรมของโรงพยาบาลเดียวกันจำเลยที่ 1 มีหน้าที่คิดราคายา และเขียนราคายาลงในใบสั่งยาจำหน่ายยาให้คนไข้ เมื่อเจ้าหน้าที่ออกใบเสร็จรับเงินแล้ว จำเลยที่ 1 มีหน้าที่มอบใบเสร็จรับเงินและยาให้แก่คนไข้ และมีหน้าที่ควบคุมดูแลการออกใบเสร็จรับเงินและสำเนาให้ตรงตามใบสั่งยา เมื่อรับเงินค่าจำหน่ายยาแล้ว จำเลยที่ 2 มีหน้าที่เก็บรักษาไว้เพื่อส่งให้แก่เจ้าหน้าที่การเงิน เวลาจำเลยที่ 2 ไม่อยู่ ถ้าจำเลยที่ 1ช่วยเขียนใบเสร็จรับเงินก็ต้องมอบเงินให้แก่จำเลยที่ 2 เมื่อจำเลยที่ 2กลับมา จำเลยทั้งสองร่วมกันทำสำเนาใบเสร็จรับเงินโดยลงจำนวนเงินราคายาน้อยกว่าราคาที่จำหน่ายไปจริง แล้วร่วมกันยักยอกเอาเงินที่เกินกว่าจำนวนในสำเนาใบเสร็จ ดังนี้ จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เท่านั้น เพราะจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่รักษาเงิน ส่วนจำเลยที่ 2 นั้น แม้จะรับสารภาพตามฟ้องว่ากระทำผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าพนักงานเบียดบังเงินซึ่งมีหน้าที่รักษาไว้ แต่เมื่อรวมการพิจารณาแล้ว ศาลฎีกาฟังว่าจำเลยที่ 1 มิได้มีหน้าที่รักษาเงินจำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตามมาตรา 352 เท่านั้นเหมือนกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงอนุญาโตตุลาการไม่ขัดแย้งกับการตกลงซ่อมรถโดยตรง โจทก์มีสิทธิฟ้องได้
แม้ตามกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยจะมีข้อความว่า'ข้อพิพาทใด ๆ ทั้งสิ้นอันเกิดขึ้นเนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันโดยชัดแจ้งว่า จะนำข้อพิพาทฟ้องร้องยังโรงศาลมิได้จะต้องมอบให้อนุญาโตตุลาการนายหนึ่งโดยแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากคู่กรณีเป็นผู้ตัดสิน' ก็ตาม แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการ โจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้นำรถไปซ่อมที่อู่ที่คิดราคาค่าซ่อมต่ำสุด และโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวไม่ได้ห้ามไม่ให้คู่กรณีตกลงกันเอง เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงกันแล้วเช่นนี้ก็ไม่ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการชี้ขาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1439/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข้อตกลงอนุญาโตตุลาการไม่ขัดกับการตกลงซ่อมรถโดยตรง โจทก์มีสิทธิฟ้อง
แม้ตามกรมธรรม์ประกันภัยระหว่างโจทก์จำเลยจะมีข้อความว่า "ข้อพิพาทใด ๆ ทั้งสิ้นอันเกิดขึ้นเนื่องจากกรมธรรม์ประกันภัยฉบับนี้ ทั้งสองฝ่ายตกลงกันโดยชัดแจ้งว่า จะนำข้อพิพาทฟ้องร้องยังโรงศาลมิได้ จะต้องมอบให้อนุญาโตตุลาการนายหนึ่งโดยแต่งตั้งเป็นลายลักษณ์อักษรจากคู่กรณีเป็นผู้ตัดสิน" ก็ตาม แต่เมื่อเกิดเหตุแล้วไม่ปรากฏว่าโจทก์จำเลยได้เสนอตั้งอนุญาโตตุลาการ โจทก์จำเลยได้ตกลงกันให้นำรถไปซ่อมที่อู่ที่คิดราคาค่าซ่อมต่ำสุด และโจทก์ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นแล้วตามกรมธรรม์ประกันภัยดังกล่าวไม่ได้ห้ามไม่ให้คู่กรณีตกลงกันเอง เมื่อโจทก์จำเลยได้ตกลงกันแล้วเช่นนี้ก็ไม่ต้องตั้งอนุญาโตตุลาการชี้ขาด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
จำเลยฎีกาไม่ยกเหตุต่อสู้ที่ต่างจากที่ให้การไว้ในชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำให้การจำเลยที่ 1 มีเพียงว่า ไม่ได้จ้างโจทก์ตามสัญญาท้ายฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ 2 ทำไปโดยไม่มีสิทธิจะทำได้แต่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทำงานไม่ครบกำหนดตามสัญญา จำเลยจ่ายค่าแรงงานให้คนงานไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างงวดแรก จำเลยจ่ายเงินทดรองให้โจทก์ไปแล้ว เครื่องมือโจทก์ไม่นำกลับคืนไปเองและโจทก์ไม่ควรได้กำไร ซึ่งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1438/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาไม่รับวินิจฉัยเนื่องจากจำเลยมิได้ยกเหตุต่อสู้ตามที่กล่าวอ้างในฎีกา แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาแล้ว
คำให้การจำเลยที่ 1 มีเพียงว่า ไม่ได้จ้างโจทก์ตามสัญญาท้ายฟ้องจำเลยที่ 1 ไม่ต้องรับผิดเพราะจำเลยที่ 2 ทำไปโดยไม่มีสิทธิจะทำได้แต่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า โจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา โจทก์ทำงานไม่ครบกำหนดตามสัญญา จำเลยจ่ายค่าแรงงานให้คนงานไปแล้ว โจทก์จึงไม่มีสิทธิได้รับค่าจ้างงวดแรก จำเลยจ่ายเงินทดรองให้โจทก์ไปแล้ว เครื่องมือโจทก์ไม่นำกลับคืนไปเองและโจทก์ไม่ควรได้กำไร ซึ่งมิใช่ปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน ดังนี้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์: การกระทำด้วยความโกรธ ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์
จำเลยทะเลาะกับ ท. ภริยาซึ่งเป็นหลานของผู้เสียหาย ท. หนีไปอยู่บ้านผู้เสียหายจำเลยไปตาม ท. และจะทำร้าย ท. ผู้เสียหายตบจำเลยบอกให้จำเลยกลับบ้าน และรับปากว่าจะพา ท. ไปส่งที่บ้านจำเลยแต่แล้วก็ไม่พาไปส่ง จำเลยไปบ้านผู้เสียหายอีกพบแต่ภริยาของผู้เสียหายจำเลยโกรธจึงหยิบเอาเครื่องรับวิทยุของผู้เสียหายไปต่อหน้า โดยบอกแก่ภริยาผู้เสียหายว่า ถ้าจะเอาคืน ก็ให้พา ท. ไปเอาคืนที่บ้าน จำเลยเปิดวิทยุฟังจนถึงบ้าน พอได้ยินเพลงเมียหายต้องตามหา ก็เกิดโมโหเลยทุ่มและกระทืบเครื่องรับวิทยุเสีย ที่จำเลยเอาเครื่องรับวิทยุของผู้เสียหายไปเช่นนี้มิได้มีเจตนาทุจริตลักเอาเครื่องรับวิทยุนั้น หากแต่เอาไปเพราะความโกรธ จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1425/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการลักทรัพย์: การกระทำด้วยความโกรธ ไม่ถือเป็นการลักทรัพย์
จำเลยทะเลาะกับ ท. ภริยาซึ่งเป็นหลานของผู้เสียหายท.หนีไปอยู่บ้านผู้เสียหายจำเลยไปตาม ท. และจะทำร้าย ท. ผู้เสียหายตบจำเลยบอกให้จำเลยกลับบ้าน และรับปากว่าจะพา ท. ไปส่งที่บ้านจำเลยแต่แล้วก็ไม่พาไปส่ง จำเลยไปบ้านผู้เสียหายอีกพบแต่ภริยาของผู้เสียหายจำเลยโกรธจึงหยิบเอาเครื่องรับวิทยุของผู้เสียหายไปต่อหน้า โดยบอกแก่ภริยาผู้เสียหายว่า ถ้าจะเอาคืน ก็ให้พา ท. ไปเอาคืนที่บ้าน จำเลยเปิดวิทยุฟังจนถึงบ้าน พอได้ยินเพลงเมียหายต้องตามหา ก็เกิดโมโหเลยทุ่มและกระทืบเครื่องรับวิทยุเสีย ที่จำเลยเอาเครื่องรับวิทยุของผู้เสียหายไปเช่นนี้มิได้มีเจตนาทุจริตลักเอาเครื่องรับวิทยุนั้น หากแต่เอาไปเพราะความโกรธ จึงไม่เป็นความผิดฐานลักทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1377/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขายยาผิดประเภทใบอนุญาตและการริบของกลางที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิด
จำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขายยามาตรา 15(3) ซึ่งไม่อาจขายยาควบคุมพิเศษได้ เมื่อจำเลยขายยาอันเป็นยาควบคุมพิเศษจึงเป็นการขายยาแผนปัจจุบันไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามมาตรา 19(2) เป็นความผิดตามมาตรา 102 ยาของกลางจึงริบตามมาตรา 126 ไม่ได้
เมื่อความผิดของจำเลยอยู่ที่ไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาของกลางอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่ายยาของกลางจึงเป็นโภคภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9
ความผิดฐานขายยาไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และความผิดฐานไม่มีป้ายแสดงราคาโภคภัณฑ์ที่มีไว้จำหน่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 เป็นความผิดสองกรรม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามบทมาตราที่มีโทษหนัก โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยผู้เดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12, 101, 126 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิด โดยกำหนดโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 102 อีก เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212
เมื่อความผิดของจำเลยอยู่ที่ไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาของกลางอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่ายยาของกลางจึงเป็นโภคภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9
ความผิดฐานขายยาไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และความผิดฐานไม่มีป้ายแสดงราคาโภคภัณฑ์ที่มีไว้จำหน่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 เป็นความผิดสองกรรม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามบทมาตราที่มีโทษหนัก โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษจำเลยผู้เดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12, 101, 126 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิด โดยกำหนดโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 102 อีก เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1377/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตใบอนุญาตขายยาและการลงโทษที่ถูกต้องตามกฎหมาย
จำเลยเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ขายยามาตรา 15(3) ซึ่งไม่อาจขายยาควบคุมพิเศษได้ เมื่อจำเลยขายยาอันเป็นยาควบคุมพิเศษจึงเป็นการขายยาแผนปัจจุบันไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามมาตรา19(2) เป็นความผิดตามมาตรา 102 ยาของกลางจึงริบตามมาตรา 126 ไม่ได้
เมื่อความผิดของจำเลยอยู่ที่ไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาของกลางอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่ายยาของกลางจึงเป็นโภคภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9
ความผิดฐานขายยาไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และความผิดฐานไม่มีป้ายแสดงราคาโภคภัณฑ์ที่มีไว้จำหน่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 เป็นความผิดสองกรรม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามบทมาตราที่มีโทษหนัก โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษ จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12,101,126 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดโดยกำหนดโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 102 อีก เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
เมื่อความผิดของจำเลยอยู่ที่ไม่มี ไม่เขียน ไม่พิมพ์ป้ายแสดงราคายาของกลางอันเป็นโภคภัณฑ์ที่จำเลยมีไว้สำหรับจำหน่ายยาของกลางจึงเป็นโภคภัณฑ์ที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับความผิดอันจะพึงริบตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 มาตรา 9
ความผิดฐานขายยาไม่ตรงตามประเภทของใบอนุญาตตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 และความผิดฐานไม่มีป้ายแสดงราคาโภคภัณฑ์ที่มีไว้จำหน่ายตามพระราชบัญญัติควบคุมโภคภัณฑ์ พ.ศ. 2495 เป็นความผิดสองกรรม เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าการกระทำของจำเลยเป็นกรรมเดียวผิดกฎหมายหลายบท ให้ลงโทษตามบทมาตราที่มีโทษหนัก โจทก์มิได้อุทธรณ์ขอให้เพิ่มโทษ จำเลยผู้เดียวอุทธรณ์ว่าการกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิดตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12,101,126 ศาลอุทธรณ์จึงไม่มีอำนาจลงโทษจำเลยทุกกระทงความผิดโดยกำหนดโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 102 อีก เพราะเป็นการเพิ่มเติมโทษจำเลย ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 212
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยึดทรัพย์ชำระหนี้: จำเลยยึดทรัพย์ลูกหนี้ถูกต้อง แม้โจทก์อ้างเป็นเจ้าของ แต่ไม่เคยเรียกร้องคืน
จำเลยเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของ น. เมื่อ น. ไม่ชำระหนี้จำเลยชอบที่จะขอศาลบังคับคดียึดทรัพย์ของ น. ชำระหนี้ตามคำพิพากษาได้ เป็นการใช้สิทธิทางศาลตามกฎหมาย จำเลยนำยึดรถยนต์พิพาทซึ่ง น. ขับขี่รับจ้างส่งคนโดยสารและสินค้ามาก่อนที่จำเลยจะนำยึดถึงสองปี พฤติการณ์ที่รถยนต์พิพาทอยู่ในความครอบครองของ น. เช่นนี้แสดงให้จำเลยเข้าใจว่ารถยนต์พิพาทเป็นของ น. โจทก์มิได้อ้างว่าจำเลยนำเจ้าพนักงานบังคับคดียึดรถยนต์พิพาทของโจทก์ไว้โดยไม่สุจริตหรือประมาทเลินเล่ออ้างเพียงว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้ปล่อยรถยนต์พิพาทที่ยึด แต่ข้อเท็จจริงกลับได้ความว่า เมื่อศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ปล่อยรถยนต์พิพาท แม้จำเลยจะเป็นผู้รักษารถยนต์พิพาทไว้ตามที่เจ้าพนักงานบังคับคดีมอบให้รักษา โจทก์ก็มิได้ร้องขอต่อเจ้าพนักงานบังคับคดีให้คืนรถให้โจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยได้ทราบคำพิพากษาอุทธรณ์หลังจากที่จำเลยได้คืนรถยนต์พิพาทให้แก่โจทก์แล้ว จะถือว่าจำเลยไม่ปฏิบัติตามคำสั่งศาลที่ให้คืนรถยนต์พิพาทให้โจทก์ ทำให้โจทก์เสียหายหาได้ไม่โจทก์จึงไม่มีสิทธิฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลย