พบผลลัพธ์ทั้งหมด 486 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินพิพาทติดกัน เจ้าของร่วมตามสันนิษฐานกฎหมาย หากต่างฝ่ายไม่พิสูจน์การครอบครอง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ปรากฏว่าที่พิพาทตามแผนที่วิวาทเป็นรูปสามเหลี่ยม อยู่บนคันนาด้านเหนือหมายอักษร ก. มีหลักไม้แก่นปักอยู่เป็นจุดรวม ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้าดื่มน้ำสาบานกันว่าแต่ละฝ่ายปั้นคันนาพิพาทขึ้นก่อน เมื่อดื่มน้ำสาบานกันตามคำท้าแล้ว จึงขอให้ศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด ประเด็นเดียว โดยต่างไม่สืบพยานกันและแถลงรับกันว่าที่พิพาทอยู่บนคันนาซึ่งเป็นเขตที่ดินของที่ดินโจทก์จำเลยที่อยู่ติดต่อกัน และต่างฝ่ายต่างถือว่าเป็นเขตของตน ดังนี้ เมื่อที่พิพาทเป็นคันนากั้นเขตที่ดินของโจทก์จำเลยติดต่อกัน และต่างไม่นำสืบพยานว่าใครเป็นฝ่ายครอบครองก็ต้องถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันตามข้อสันนิษฐานของ ป.พ.พ.มาตรา 1344 และศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทคนละครึ่งโดยลากเส้นจากหมายอักษร ก.มายังจุดแบ่งครึ่งด้านทิศใต้และให้ด้านที่ติดต่อกับที่ดินของฝ่ายใดเป็นของฝ่ายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองทรัพย์สินร่วมกันและละเมิดสิทธิเจ้าของรวม การไถนาและกีดกันการเข้าครอบครอง
โจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทผู้รับมรดกตามพินัยกรรมในที่ดินนาสองแปลงกับที่ดินบ้านหนึ่งแปลงคนละส่วนเท่าๆ กัน และได้ครอบครองร่วมกันและแทนกัน การที่จำเลยเข้าไปไถนาทั้งสองแปลง และไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินบ้าน โดยจำเลยอ้างว่า ที่พิพาททั้งสามแปลงเป็นของตนคนเดียว เห็นได้ว่าขัดต่อสิทธิของโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรวมกับจำเลยกรณีจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1360 และมาตรา 420,421.(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1069/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1304/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินร่วมกันและการละเมิดสิทธิจากผู้รับมรดก
โจทก์จำเลยต่างเป็นทายาทผู้รับมรดกตามพินัยกรรมในที่ดินสองแปลงกับที่บ้านหนึ่งแปลงคนละส่วนเท่า ๆ กัน และได้ครอบครองร่วมกันและแทนกัน การที่จำเลยเข้าไปไถนาทั้งสองแปลง และไม่ยอมให้โจทก์เข้าไปครอบครองที่ดินบ้านโดยจำเลยอ้างว่า ที่พิพาททั้งสามแปลงเป็นของตนคนเดียว เห็นได้ว่าขัดต่อสิทธิจากโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าของที่พิพาทรวมกันจำเลย กรณีจึงเป็นละเมิดต่อโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1360 และมาตรา 420,421
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1069/2509)
(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1069/2509)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและบวกโทษจำคุกในคดีพนัน: จำเลยยังไม่พ้นโทษระหว่างรอการลงโทษ จึงไม่สามารถเพิ่มโทษหรือบวกโทษได้
จำเลยเคยกระทำผิดฐานเล่นการพนันแปดเก้า ถูกศาลพิพากษาลงโทษ จำคุก 5 วัน ปรับ 500 บาท โทษจำคุกให้รอการลงโทษไว้ 1 ปี จำเลยชำระค่าปรับแล้ว ในระหว่างรอการลงโทษ จำเลยได้กระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติการพนันอีก ดังนี้ เมื่อจำเลยยังไม่ได้รับโทษจำคุกโดยอยู่ระหว่างรอการลงโทษ ก็ไม่เรียกว่าจำเลยได้พ้นโทษแล้ว จึงเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนัน ฯ ไม่ได้ และเมื่อคดีหลังนี้ศาลมิได้ลงโทษจำคุกจำเลย จึงเอาโทษจำคุกคดีก่อนมาบวกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1274/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเพิ่มโทษและบวกโทษจำคุกในคดีการพนัน: จำเลยยังไม่พ้นโทษระหว่างรอการลงโทษ จึงไม่สามารถเพิ่มโทษหรือบวกโทษได้
จำเลยเคยถูกศาลพิพากษาลงโทษจำคุกฐานเล่นการพนันโดยให้รอการลงโทษไว้ระหว่างรอการลงโทษจำเลยกระทำผิดต่อ พระราชบัญญัติการพนันอีกดังนี้เมื่อจำเลยยังไม่ได้รับโทษจำคุกโดยอยู่ระหว่างรอการลงโทษก็ไม่เรียกว่าจำเลยพ้นโทษไปแล้วจึงเพิ่มโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติการพนันไม่ได้และเมื่อคดีหลังศาลมิได้ลงโทษจำคุกจำเลยจึงเอาโทษจำคุกคดีก่อนมาบวกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธปืน ร่วมกับพวกรถจักรยานยนต์
จำเลยกับพวกรวม 3 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะขับขี่ขึ้นมาเคียงคู่กับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน พวกของจำเลยคนหนึ่งใช้มือจับแขนผู้เสียหายซึ่งกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ แล้วจำเลยดึงคอเสื้อ จนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเซ และกระชากเอาสร้อยคอของผู้เสียหายไป ถือได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1176/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ปล้นทรัพย์โดยใช้กำลังประทุษร้ายและอาวุธปืน ศาลยืนตามคำพิพากษาเดิม
จำเลยกับพวกรวม 3 คน ใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะขับขี่ขึ้นมาเคียงคู่กับรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายที่กำลังวิ่งอยู่บนถนน พวกของจำเลยคนหนึ่งใช้มือจับแขนผู้เสียหายซึ่งกำลังขับขี่รถจักรยานยนต์ แล้วจำเลยดึงคอเสื้อ จนรถจักรยานยนต์ของผู้เสียหายเซ และกระชากเอาสร้อยคอของผู้เสียหายไป ถือได้ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันใช้กำลังประทุษร้ายผู้เสียหาย เพื่อความสะดวกในการลักทรัพย์ ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1067/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองปรปักษ์ต้องมีการนำสืบขนาดพื้นที่และแนวเขตที่ชัดเจน หากไม่ชัดเจนถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้ศาลสั่งแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์โดยการครอบครองแม้คดีฟังได้ว่าโจทก์ได้ครอบครองที่พิพาทจริง แต่โจทก์มิได้ขอให้ทำแผนที่พิพาทไว้ และการนำสืบของโจทก์ในเรื่องขนาดความกว้างยาวก็ดี เนื้อที่พิพาทก็ดี เป็นการนำสืบโดยประมาทไว้เท่านั้น ไม่ได้นำสืบให้ได้ความชัดเจนว่าที่พิพาทมีความยาวแต่ละด้านแน่นอนเท่าใด หรือมีจุดหมายที่พอจะถือเป็นแนวเขตให้สามารถบังคับคดีกันได้ เมื่อโจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างของตน ไม่นำสืบให้ได้ข้อเท็จจริงมาสนับสนุนข้ออ้างตามคำฟ้องให้พอที่ศาลจะมีบังคับตามคำขอของโจทก์ได้ ก็ต้องถือว่าโจทก์นำสืบไม่สมฟ้อง ศาลย่อมพิพากษายกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1054/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การครอบครองที่ดินหลังสัญญาเช่าสิ้นสุด การแจ้งการครอบครองและการยื่นคำขอทำประโยชน์ ไม่ถือเป็นการบอกกล่าวเจตนาที่จะยึดถือแทนเจ้าของ
จำเลยทั้งสองทำสัญญาเช่าที่พิพาทบางส่วนของโจทก์ได้ 1 เดือน 4 วัน แล้วจำเลยที่ 1 ไปแจ้งการครอบครองว่าที่พิพาทเป็นของตน ต่อมาอีก 1 เดือน 8 วัน จำเลยที่ 1 ยื่นคำของรับรองการทำประโยชน์ที่พิพาท การยื่นคำขอต่อนายอำเภอเพียงเท่านี้แม้โจทก์ทราบและคัดค้าน ก็ถือไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ได้บอกกล่าวไปยังโจทก์แล้วว่าจำเลยที่ 1 ไม่เจตนาจะยึดถือที่พิพาทแทนโจทก์ในฐานะผู้เช่าต่อไป จำเลยหาได้เปลี่ยนลักษณะแห่งการยึดถือเพื่อตนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1381 ไม่
เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
เมื่อโจทก์คัดค้านว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้ว จำเลยที่ 1 มิได้โต้แย้งคำคัดค้านของโจทก์หรือได้กระทำอย่างใดในทางที่เป็นปรปักษ์ต่อโจทก์ แม้จำเลยทั้งสองจะยังคงครอบครองที่พิพาทเรื่อยมาก็ถือว่า จำเลยได้ครอบครองแทนโจทก์ตามสัญญาเช่า ซึ่งยังไม่สิ้นอายุการเช่านั้นเอง ไม่ถือว่าโจทก์ถูกแย่งการครอบครองอันจะต้องฟ้องเพื่อเอาคืนภายใน 1 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1375
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1028/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฟ้องหนี้ตามบัญชีเดินสะพัด: ศาลมีอำนาจพิพากษาตามจำนวนหนี้จริงได้ แม้ต่างจากที่ฟ้อง
จำเลยตกลงจ้างโจทก์ขนส่งมันสำปะหลังจากไร่เข้าสู่โรงงาน มีบัญชีต่อกันไว้และมีการตัดทอนบัญชีอันเกิดแต่กิจการระหว่างโจทก์และจำเลยหักกลบลบกัน และชำระส่วนที่เป็นจำนวนคงเหลือโดยดุลภาคนับเป็นบัญชีเดินสะพัด อายุความมีกำหนด10 ปี
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จดลงบัญชีกันไว้เป็นเงิน 33,494 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 31,767 บาท จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่ามีจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่เป็นหนี้แท้จริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142
โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยชำระเงินตามบัญชีหนี้สินที่จดลงบัญชีกันไว้เป็นเงิน 33,494 บาท ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ 31,767 บาท จำเลยอุทธรณ์ เมื่อศาลอุทธรณ์พิจารณาแล้วเห็นว่ามีจำนวนเงินที่เป็นหนี้กันอยู่จริงเพียง29,030 บาท ศาลอุทธรณ์ก็มีอำนาจพิพากษาให้โจทก์ได้รับตามจำนวนที่เป็นหนี้แท้จริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 142