พบผลลัพธ์ทั้งหมด 486 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ตามคำพิพากษาและการนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมมาหักล้าง การฟ้องล้มละลายต้องมีหนี้ถึงเกณฑ์
ศาลพิพากษาให้จำเลยชำระเงิน 30,550 บาท แก่โจทก์เป็นค่าธรรมเนียมและค่าทนายความ 3,020 บาท จำเลยวางค่าธรรมเนียมและค่าทนายความต่อศาลแล้ว แม้โจทก์ยังไม่ได้รับไปจากศาลก็ถือว่าหนี้ค้างชำระไม่ถึง 30,000 บาท ฟ้องขอให้จำเลยล้มละลายไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 171/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
หนี้ค่าฤชาธรรมเนียมศาลที่ชำระแล้ว ไม่นำมารวมกับหนี้ตามคำพิพากษาเพื่อฟ้องล้มละลายได้
การที่จำเลยได้วางเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาในคดีแพ่งให้โจทก์เป็นฝ่ายชนะคดี และให้จำเลยชำระแทนนั้น ถือได้ว่าเป็นเงินที่ผู้แพ้คดีได้ชำระหนี้โดยการนำมาวางศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 229 ประกอบด้วยมาตรา 247 เมื่อหนี้ตามคำพิพากษามีจำนวนเพียง 27,500 บาท โจทก์จะนำเงินค่าฤชาธรรมเนียมที่จำเลยได้นำไปชำระต่อศาลไว้แล้ว จำนวน 2,720 บาท มารวมกับหนี้ตามคำพิพากษา ให้เป็นหนี้ที่มีจำนวนไม่น้อยกว่า 30,000 บาท เพื่อฟ้องเป็นคดีล้มละลายหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกง จำเลยเพียงไม่ปฏิบัติตามสัญญา
ฟ้องของโจทก์ตามบันทึกคำฟ้องและบันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจาโจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงซึ่งควรบอกให้แจ้งอย่างไรที่โจทก์อ้างว่าจำเลยหลอกลวงว่าสามารถนำยาสีฟันไปจำหน่ายได้ ก็ปรากฏตามฟ้องโจทก์เองว่าจำเลยสามารถจำหน่ายยาสีฟันได้จริง จึงไม่เป็นการหลอกลวงแสดงข้อความอันเป็นเท็จ การที่จำเลยจำหน่ายยาสีฟันได้แล้วไม่นำเงินมาให้ผู้เสียหาย โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะไม่นำเงินที่จำหน่ายยาสีฟันได้มาให้ผู้เสียหายตั้งแต่แรก จึงเป็นเรื่องจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่บอกผู้เสียหายไว้เท่านั้นกรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 97/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่ไม่เข้าข่ายฉ้อโกง แม้จำเลยรับสารภาพ ต้องพิเคราะห์เจตนาทุจริตตั้งแต่แรก
ฟ้องของโจทก์ตามบันทึกคำฟ้องและบันทึกหลักฐานการฟ้องคดีด้วยวาจา โจทก์ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยได้หลอกลวงผู้เสียหายด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริง ซึ่งควรบอกให้แจ้งอย่างไร ที่โจทก์อ้างว่าจำเลยหลอกลวงว่าสามารถนำยาสีฟันไปจำหน่ายได้ ก็ปรากฏตามฟ้องโจทก์เองว่าจำเลยสามารถจำหน่ายยาสีฟันได้แล้วไม่นำเงินมาให้ผู้เสียหาย โจทก์ก็ไม่ได้บรรยายฟ้องว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตที่จะไม่นำเงินที่จำหน่ายยาสีฟันได้มาให้ผู้เสียหายตั้งแต่แรก จึงเป็นเรื่องจำเลยไม่ปฏิบัติตามที่บอกผู้เสียหายไว้เท่านั้น กรณีเป็นเรื่องผิดสัญญาทางแพ่ง ไม่เป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 แม้จำเลยให้การรับสารภาพก็ลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำเข้าส่วนประกอบเครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตได้รับการยกเว้นภาษีตามมาตรา 79 ตรี (11) แห่งประมวลรัษฎากร
บริษัทต่างประเทศได้ส่งเครื่องกรองฝุ่นมาให้โจทก์ตามที่โจทก์สั่ง และโจทก์ได้นำมาใช้ประจำหม้อเผาซิเมนต์ของโรงงานโจทก์แล้ว แต่บริษัทต่างประเทศส่งสินค้าซึ่งเป็นส่วนประกอบของเครื่องกรองฝุ่นมาให้ขาดไป จึงได้ส่งเพิ่มเติมมาภายหลังคือสินค้าตามฟ้อง ดังนี้ เห็นได้ว่าโจทก์มิได้ส่งสินค้าตามฟ้องเข้ามาไว้ใช้แทนส่วนที่ชำรุด แต่บริษัทต่างประเทศที่ส่งเครื่องกรองฝุ่นมาให้โจทก์ได้ส่งสินค้าตามฟ้องมาเพิ่มเติมเพราะส่งขาดไปเมื่อสินค้าดังกล่าวเป็นส่วนประกอบของเครื่องกรองฝุ่นที่ใช้ประจำหม้อเผาซิเมนต์ของโรงงานโจทก์จึงเป็นการนำเข้ามาในราชอาณาจักรซึ่งสินค้าที่เป็นส่วนประกอบและอุปกรณ์เครื่องจักรเพื่อใช้ในการผลิตของตนเอง ได้รับยกเว้นภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ตามมาตรา 79 ตรี (11) แห่งประมวลรัษฎากร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2940/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดิน: ถือการครอบครองเป็นหลัก แม้เนื้อที่โฉนดไม่ตรงกับที่รังวัดจริง
ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย 4 คนแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวมซึ่งมีเนื้อที่ตามโฉนด 81 ไร่ 2 งาน 52 ตารางวา ให้เป็นส่วนของโจทก์เนื้อที่ 27 ไร่ 84 ตารางวา ตามที่ครอบครอง เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาว่าโจทก์จำเลยต่างได้ปกครองที่พิพาทกันตามส่วนของตน และเมื่อคำนวณตามส่วนสัดของที่ดินทั้งหมดเป็นเกณฑ์แล้ว ผลปรากฏว่าโจทก์มีอยู่ 2 ส่วน จำเลยทั้งสี่มีคนละ 1 ส่วน ย่อมเห็นได้ว่าความสำคัญตามคำพิพากษาต้องถือเอาส่วนสัดที่ต่างคนต่างปกครองเป็นสำคัญ ข้อความที่เกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่นั้นเป็นเพียงความประสงค์ที่จะแสดงถึงส่วนสัดที่คำนวณได้จากจำนวนเนื้อที่ที่ปรากฏอยู่ในโฉนดเท่านั้น ฉะนั้น เมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าเนื้อที่ดินตามโฉนดขาดไป คงรังวัดได้ 71 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา จึงชอบที่จะถือเอาส่วนที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษาเป็นเงื่อนไขสำคัญกว่าจำนวนเนื้อที่สำหรับใช้เป็นหลักในการบังคับคดี ศาลย่อมให้แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ 2 ใน 6 ส่วนของที่ดินที่รังวัดได้ ขาดเกินเพียงใดให้คิดชดเชยกันระหว่างที่ดินที่โจทก์ครอบครองกับที่ดินติดต่อส่วนที่เหลือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2940/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแบ่งแยกที่ดินตามการครอบครองจริง แม้เนื้อที่ตามโฉนดไม่ตรงกับที่รังวัดได้ ศาลต้องยึดส่วนสัดการครอบครองเป็นหลัก
ศาลพิพากษาถึงที่สุดให้จำเลย 4 คนแบ่งแยกที่ดินกรรมสิทธิ์รวมซึ่งมีเนื้อที่ตามโฉนด 81 ไร่ 2 งาน 42ตารางวา ให้เป็นส่วนของโจทก์เนื้อที่ 27 ไร่84 ตารางวาตามที่ครอบครอง เมื่อได้ความจากพยานหลักฐานในชั้นพิจารณาว่าโจทก์จำเลยต่างได้ปกครองที่พิพาทกันตามส่วนของตน และเมื่อคำนวณตามส่วนสัดของที่ดินทั้งหมดเป็นเกณฑ์แล้ว ผลปรากฏว่าโจทก์มีอยู่ 2 ส่วน จำเลยทั้งสี่มีคนละ 1 ส่วนย่อมเห็นได้ว่าความสำคัญตามคำพิพากษาต้องถือเอาส่วนสัดที่ต่างคนต่างปกครองเป็นสำคัญข้อความที่เกี่ยวกับจำนวนเนื้อที่นั้นเป็นเพียงความประสงค์ที่จะแสดงถึงส่วนสัดที่คำนวณได้จากจำนวนเนื้อที่ที่ปรากฏอยู่ในโฉนดเท่านั้นฉะนั้นเมื่อปรากฏในชั้นบังคับคดีว่าเนื้อที่ดินตามโฉนดขาดไป คงรังวัดได้ 71 ไร่ 2 งาน 70 ตารางวา จึงชอบที่จะถือเอาส่วนที่ดินที่โจทก์ครอบครองตามที่ระบุไว้ในคำพิพากษา เป็นเงื่อนไขสำคัญกว่าจำนวนเนื้อที่สำหรับใช้เป็นหลักในการบังคับคดี ศาลย่อมให้แบ่งแยกที่ดินให้โจทก์ 2 ใน 6 ส่วนของที่ดินที่รังวัดได้ ขาดเกินเพียงใดให้คิดชดเชยกันระหว่างที่ดินที่โจทก์ครอบครองกับที่ดินติดต่อส่วนที่เหลือ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2741/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำรับของจำเลยมีผลผูกพัน แม้สัญญาเช่าไม่สมบูรณ์ โจทก์มีสิทธิฟ้องขับไล่
โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากบ้านพิพาท จำเลยฎีกาโต้แย้งข้อหนึ่งว่าสัญญาเช่าบ้านพิพาทไม่ได้ปิดอากรแสตมป์บริบูรณ์ เมื่อฟ้องโจทก์บรรยายว่าจำเลยเช่าบ้านพิพาท จำเลยให้การรับว่าได้ทำสัญญาเช่าบ้านกับโจทก์จริง ดังนั้น โจทก์จึงไม่จำเป็นต้องใช้สัญญาเช่าบ้านที่พิพาทอ้างอิงก็ได้เพราะคดีรับฟังได้ตามคำรับของจำเลยอยู่แล้วว่าจำเลยเป็นผู้เช่าบ้านพิพาทจากโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2725/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความหนังสือรับสภาพหนี้: ฟ้องข้าม 5 ปี คดีขาดอายุความ
ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้เงินดอกเบี้ยที่ค้างให้โจทก์ ต่อมาลูกหนี้ตายโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยซึ่งเป็นทายาทของลูกหนี้ให้รับผิดต่อโจทก์เกินกว่า 5 ปีนับแต่วันที่ลูกหนี้ทำหนังสือรับสภาพหนี้ คดีโจทก์จึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 166
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2716/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นิติบุคคลต่างชาติฟ้องคดีในไทยได้ แม้ไม่ได้จดทะเบียนในไทย และการไม่ติดอากรแสตมป์หนังสือมอบอำนาจไม่เป็นเหตุ
นิติบุคคลตามกฎหมายของประเทศอื่น แม้จะไม่เป็นนิติบุคคลตามกฎหมายไทยก็ฟ้องคดีในศาลไทยได้
แม้ตามภาพถ่ายใบมอบอำนาจของโจทก์ท้ายฟ้อง ซึ่งมอบอำนาจให้ ป. ฟ้องคดีมิได้ปิดอากรแสตมป์ แต่จำเลยให้การในเรื่องใบมอบอำนาจแต่เพียงว่า ผู้มอบอำนาจไม่มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคสองมิได้บัญญัติว่าโจทก์จะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจติดมากับฟ้อง เมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ส่งใบมอบอำนาจเพราะมีเหตุอันควรสงสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 โจทก์จึงไม่ต้องส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาล กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่
แม้ตามภาพถ่ายใบมอบอำนาจของโจทก์ท้ายฟ้อง ซึ่งมอบอำนาจให้ ป. ฟ้องคดีมิได้ปิดอากรแสตมป์ แต่จำเลยให้การในเรื่องใบมอบอำนาจแต่เพียงว่า ผู้มอบอำนาจไม่มีอำนาจลงนามแทนโจทก์ ทั้งตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 60 วรรคสองมิได้บัญญัติว่าโจทก์จะต้องแสดงหนังสือมอบอำนาจติดมากับฟ้อง เมื่อศาลไม่ได้สั่งให้โจทก์ส่งใบมอบอำนาจเพราะมีเหตุอันควรสงสัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 47 โจทก์จึงไม่ต้องส่งต้นฉบับหนังสือมอบอำนาจต่อศาล กรณีจึงไม่จำต้องวินิจฉัยว่าหนังสือมอบอำนาจของโจทก์ต้องปิดอากรแสตมป์ตามประมวลรัษฎากรหรือไม่