คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
มงคล วัลยะเพ็ชร์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 644 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 806/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผ่อนผันชำระเบี้ยประกัน และผลของการยอมรับชำระล่าช้า ทำให้กรมธรรม์ยังมีผลบังคับ
ป. ทำสัญญาประกันชีวิตไว้กับบริษัทจำเลยกำหนดชำระเบี้ยประกันปีละ 2 งวด หากไม่ชำระเบี้ยประกันตามกำหนด บริษัทจำเลยจะผ่อนเวลาให้อีก 30 วันโดยไม่คิดดอกเบี้ย ป. ชำระเบี้ยประกันแล้ว 3 งวด งวดที่ 4 ป. ไม่ได้ชำระภายในกำหนดหรือภายในเวลา 30 วันที่ผ่อนผันให้ตามกรมธรรม์ แต่ชำระให้หลังจากระยะเวลาที่ผ่อนผันให้นั้นล่วงเลยไปแล้ว 1 เดือนเศษ ทั้งยังชำระด้วยเช็ค ซึ่งลงวันที่ล่วงหน้าต่อไปอีก 1 เดือนเศษด้วย บริษัทจำเลยก็ยังตกลงรับเบี้ยประกันงวดนั้น ต่อมาในงวดที่ 5 ป. ก็ชำระหลังจากระยะเวลาที่ผ่อนผันให้นั้นล่วงเลยไปแล้วประมาณ 10 วัน และชำระด้วยเช็คซึ่งลงวันที่ล่วงหน้า 1 เดือนเศษโดยชำระแก่ผู้แทนของบริษัทจำเลย เมื่อบริษัทจำเลยทราบก็มิได้ทักท้วงประการใด แม้ตามเงื่อนไขแห่งกรมธรรม์จะระบุไว้ว่า ถ้าผู้เอาประกันไม่ชำระเบี้ยประกันภายในเวลาที่ผ่อนให้ กรมธรรม์ย่อมขาดอายุและไม่มีผลบังคับ แต่พฤติการณ์ดังกล่าวของบริษัทจำเลยนั้น เห็นได้ว่าบริษัทจำเลย มิได้ถือปฏิบัติเคร่งครัดตามที่ระบุไว้ในกรมธรรม์การที่บริษัทจำเลยไม่ทักท้วงในการที่ผู้แทนของบริษัทจำเลยรับชำระเบี้ยประกันงวดที่5 ที่ ป. ชำระด้วยเช็คลงวันที่ล่วงหน้าเช่นนี้เท่ากับบริษัทจำเลยยอมสละเงื่อนไขดังกล่าวโดยผ่อนผันให้ ป. ชำระเบี้ยประกันงวดนี้ไปจนถึงวันที่ลงในเช็คกรมธรรม์ประกันชีวิตจึงไม่ขาดอายุและยังมีผลบังคับอยู่ แม้ ป. จะตายก่อนที่เช็คนั้นจะถึงกำหนดชำระก็ไม่ทำให้กรมธรรม์ขาดอายุหรือไม่มีผลบังคับ บริษัทจำเลยจึงต้องรับผิดใช้เงินให้แก่ผู้รับประโยชน์ตามกรมธรรม์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 767/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการแบ่งทรัพย์สินจากการเช่าร่วมกันของสามีภริยาไม่จดทะเบียน และประเด็นฟ้องเคลือบคลุม
สิทธิการเช่าซึ่งสามีภริยาไม่จดทะเบียนมีอยู่ร่วมกัน แม้ภริยาไม่ได้เป็นผู้เช่าจากเจ้าของตึก ภริยาก็มีบุคคลสิทธิระหว่างกันที่จะขอแบ่งได้เสมอ และตีราคาแบ่งเป็นเงินได้
ภริยาโดยไม่จดทะเบียนฟ้องสามีขอแบ่งสินค้าในร้านซึ่งมีราคา 80,000 บาทเป็นของโจทก์กึ่งหนึ่ง ไม่บรรยายว่าสินค้ามีอะไรบ้างขณะที่เลิกร้างกัน เป็นข้อที่โจทก์นำสืบได้ในชั้นพิจารณาไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของผู้ประกอบการรับฝากรถยนต์ต่อความเสียหายจากการโจรกรรม และค่าเสียหายจากการไม่ได้ใช้รถ
จำเลยประกอบการค้าในการรับฝากรถยนต์ จึงต้องใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้ในการประกอบการค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคท้าย การที่ลูกจ้างจำเลยไปทำธุระที่หลังปั๊มน้ำมันของจำเลย โดยไม่จัดผู้อื่นดูแลแทนและรถยนต์ของโจทก์ที่ฝากจำเลยไว้หายไประหว่างนั้น เป็นการไม่ใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้
รถยนต์ของโจทก์ที่ฝากจำเลยไว้ถูกคนร้ายลักไป โจทก์ต้องจ้างรถยนต์คันอื่นบรรทุกผักแทน เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับอันเนื่องมาจากโจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์ตามปกติที่เคยใช้ จำเลยจึงต้องชดใช้ให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 749/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผู้ประกอบการรับฝากรถต้องใช้ความระมัดระวังตามสมควร หากเกิดความเสียหายจากการไม่ดูแลทรัพย์สินที่รับฝาก ต้องชดใช้ค่าเสียหาย
จำเลยประกอบการค้าในการรับฝากรถยนต์ จึงต้องใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้ในการประกอบการค้าตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 659 วรรคท้าย การที่ลูกจ้างจำเลยไปทำธุระที่หลังปั๊มน้ำมันของจำเลย โดยไม่จัดผู้อื่นดูแลแทน และรถยนต์ของโจทก์ที่ฝากจำเลยไว้หายไประหว่างนั้น เป็นการไม่ใช้ความระมัดระวังเท่าที่เป็นธรรมดาจะต้องใช้
รถยนต์ของโจทก์ที่ฝากจำเลยไว้ถูกคนร้ายลักไป โจทก์ต้องจ้างรถยนต์คันอื่นบรรทุกผักแทน เป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับอันเนื่องมาจากโจทก์ไม่ได้ใช้รถยนต์ตามปกติที่เคยใช้ จำเลยจึงต้องชดใช้ให้โจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ - สิทธิของผู้เช่า - การละเมิดสิทธิ - สัญญาเช่า - กรรมสิทธิ์ในที่ดิน
โจทก์ร่วมทำสัญญาให้บริษัท ว.ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ร่วม โดยตกลงให้อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม บริษัท ว.หรือบริษัทผู้รับช่วงจากบริษัท ว.ได้สิทธิเรียกร้องเงินกินเปล่าจากผู้เช่าและนำผู้เช่ามาทำสัญญากับโจทก์ร่วม บริษัท ว.ให้บริษัท ส.รับช่วงก่อสร้างอาคารดังกล่าวไป บริษัท ส.ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทหนี้แล้วบริษัท ว.และบริษัท ส.ได้ตกลงให้ ม.เช่า และนำ ม.ไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วม ต่อมา ม.โอนสิทธิการเช่าให้โจทก์โดยโจทก์ร่วมอนุญาตและทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะได้ออกเงินค่าก่อสร้างอาคารพิพาทให้แก่บริษัท ส.และบริษัท ส.ตกลงจะให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท ทั้งจำเลยได้เข้าอยู่อาศัยในอาคารพิพาทก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมก็ตาม แต่เมื่อโจทก์ร่วมไม่ทราบถึงข้อตกลงระหว่างบริษัท ส.กับจำเลย และบริษัท ส.ไม่ได้นำจำเลยไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมข้อตกลงระหว่างจำเลยกับบริษัท ส.คงผูกพันเฉพาะจำเลยกับบริษัท ส.เท่านั้นไม่ผูกพันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ร่วมจึงไม่มีหน้าที่ให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท
อาคารพิพาทปลูกในที่ดินของโจทก์ร่วม เมื่อตกลงกันว่าให้อาคารที่ก่อสร้างขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินของโจทก์ร่วมและเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทให้โจทก์ร่วมอีก
การที่จำเลยได้เข้าอยู่ในอาคารพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยไม่มีสิทธิที่จะอยู่นั้น เป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมโจทก์ร่วมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทเมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้ฟ้องขับไล่ จำเลยทำให้โจทก์ผู้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเพราะเข้าอยู่ในอาคารพิพาทไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท และขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 ประกอบด้วยมาตรา 549 แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะตกลงกันว่าโจทก์ร่วมไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ร่วมขจัดปัดเป่าการรอนสิทธิตามมาตรา 483 ประกอบด้วยมาตรา 549 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ ไม่ใช่เป็นการฟ้องขอให้โจทก์ร่วมรับผิดในการรอนสิทธิ ทั้งโจทก์ร่วมก็ยินยอมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดี โจทก์ย่อมมีสิทธิดำเนินคดีในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้
การที่จำเลยเข้าอยู่ในอาคารพิพาทโดยมิได้เช่าจากโจทก์ร่วมและเข้าอยู่โดยไม่มีสิทธิอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์และโจทก์ร่วมย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 566

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์และการเช่า การละเมิดสิทธิและผลของการทำสัญญาเช่า
โจทก์ร่วมทำสัญญาให้บริษัท ว. ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ร่วม โดยตกลงให้อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมบริษัทว. หรือบริษัทผู้รับช่วงจากบริษัท ว. ได้สิทธิเรียกร้องเงินกินเปล่าจากผู้เช่าและนำผู้เช่ามาทำสัญญากับโจทก์ร่วม บริษัท ว. ให้บริษัท ส. รับช่วงก่อสร้างอาคารดังกล่าวไป บริษัท ส. ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทนี้แล้วบริษัท ว. และบริษัท ส. ได้ตกลงให้ ม. เช่าและนำ ม. ไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมต่อมา ม. โอนสิทธิการเช่าให้โจทก์โดยโจทก์ร่วมอนุญาตและทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะได้ออกเงินค่าก่อสร้างอาคารพิพาทให้แก่บริษัท ส. และบริษัท ส. ตกลงจะให้จำเลยเช่าอาคารพิพาททั้งจำเลยได้เข้าอยู่อาศัยในอาคารพิพาทก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมก็ตามแต่เมื่อโจทก์ร่วมไม่ทราบถึงข้อตกลงระหว่างบริษัท ส.กับจำเลยและบริษัท ส. ไม่ได้นำจำเลยไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมข้อตกลงระหว่างจำเลยกับบริษัท ส. คงผูกพันเฉพาะจำเลยกับบริษัท ส. เท่านั้น ไม่ผูกพันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ร่วมจึงไม่มีหน้าที่ให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท
อาคารพิพาทปลูกในที่ดินของโจทก์ร่วม เมื่อตกลงกันว่าให้อาคารที่ก่อสร้างขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินของโจทก์ร่วมและเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทให้โจทก์ร่วมอีก
การที่จำเลยได้เข้าอยู่ในอาคารพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยไม่มีสิทธิที่จะอยู่นั้น เป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทเมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้ฟ้องขับไล่จำเลย ทำให้โจทก์ผู้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเพราะเข้าอยู่ในอาคารพิพาทไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท และขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 ประกอบด้วยมาตรา 549แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะตกลงกันว่าโจทก์ร่วมไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ร่วมขจัดปัดเป่าการรอนสิทธิตามมาตรา483 ประกอบด้วยมาตรา 549 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ ไม่ใช่เป็นการฟ้องขอให้โจทก์ร่วมรับผิดในการรอนสิทธิทั้งโจทก์ร่วมก็ยินยอมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีโจทก์ย่อมมีสิทธิดำเนินคดีในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้
การที่จำเลยเข้าอยู่ในอาคารพิพาทโดยมิได้เช่าจากโจทก์ร่วมและเข้าอยู่โดยไม่มีสิทธิอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการขอเฉลี่ยทรัพย์ แม้ยังมิได้ขอออกหมายบังคับคดีภายในกำหนด
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ยังไม่ได้ขอให้ศาลออกคำบังคับและยังไม่ได้ขอออกหมายบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ภายใน 10 ปีนั้นปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องย่อมจะยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีกไม่ได้ได้แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินนั้นหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น ผู้ร้องจึงไม่จำต้องขอให้บังคับคดีในคดีของตนและเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยแล้วแม้ผู้ร้องจะยังมิได้ขอให้ศาลออกคำบังคับ ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ตนเข้าเฉลี่ยได้ ดังนั้นเมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วันนับแต่วันขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นแล้วหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องจึงไม่ขาดอายุความหรือขาดอายุการบังคับคดี และเมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีนี้ภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาและผู้ร้องก็ขอเข้าเฉลี่ยภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาคดีของผู้ร้องและภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 กำหนดไว้แล้วแม้จะล่วงพ้น 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา การบังคับคดียังไม่แล้วเสร็จก็ไม่ทำให้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องสิ้นผลไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเฉลี่ยทรัพย์ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แม้ยังมิได้ขอให้บังคับคดี และผลของการบังคับคดีไม่แล้วเสร็จภายใน 10 ปี
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ยังไม่ได้ขอให้ศาลออกคำบังคับและยังไม่ได้ขอออกหมายบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ภายใน 10 ปีนั้นปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องย่อมจะยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีกไม่ได้ ได้แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินนั้นหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น ผู้ร้องจึงไม่จำต้องขอให้บังคับคดีในคดีของตน และเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยแล้วแม้ผู้ร้องจะยังมิได้ขอให้ศาลออกคำบังคับ ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ตนเข้าเฉลี่ยได้ดังนั้นเมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วันนับแต่วันขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นแล้ว หนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องจึงไม่ขาดอายุความหรือขาดอายุการบังคับคดี และเมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีนี้ภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา และผู้ร้องก็ขอเข้าเฉลี่ยภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาคดีของผู้ร้องและภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 กำหนดไว้แล้ว แม้จะล่วงพ้น 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาการบังคับคดียังไม่แล้วเสร็จ ก็ไม่ทำให้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องสิ้นผลไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในวันนัดพิจารณา ทำให้คำสั่งอนุญาตให้เฉลี่ยทรัพย์ถึงที่สุด แม้เวลาผ่านไปนาน
ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องแก่ทุกฝ่ายและนัดพร้อมกันเพื่อสอบถาม ทนายของจำเลยได้รับหมายนัดและสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ดังกล่าวแล้ว แต่ในวันนัดจำเลยและทนายไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องและไม่ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่าจะคัดค้านคำร้องขอ เฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่คัดค้านและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2507 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น เพิ่งจะมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2514 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้จึงถึงที่สุด จำเลยจะร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในวันนัดพิจารณา ทำให้คำสั่งอนุญาตให้เฉลี่ยทรัพย์ถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องแก่ทุกฝ่ายและนัดพร้อมกันเพื่อสอบถาม ทนายของจำเลยได้รับหมายนัดและสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ดังกล่าวแล้วแต่ในวันนัดจำเลยและทนายไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องและไม่ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่าจะคัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องหรือไม่ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่คัดค้านและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2507 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น เพิ่งจะมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2514 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้จึงถึงที่สุด จำเลยจะร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไม่ได้
of 65