คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 68

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 9 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3642/2532

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องจำเลยต่างประเทศและบริษัทในเครือ: การพิสูจน์ฐานะสำนักงานสาขาหรือตัวแทน
จำเลยที่ 1 จดทะเบียนเป็นบริษัทจำกัดในประเทศไทย จำเลยที่ 2และที่ 3 จดทะเบียนเป็นบริษัทอยู่ในต่างประเทศ โจทก์ทำสัญญาซื้อขายกับจำเลยที่ 2 แม้จำเลยที่ 2 จะถือหุ้นใหญ่ในบริษัทจำเลยที่ 1 ก็หาทำให้บริษัทจำเลยที่ 1 เป็นสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 2 ไม่ จำเลยที่ 1 และที่ 2 มิใช่บุคคลคนเดียวกัน ทั้งจำเลยที่ 2และที่ 3 ก็มิได้จดทะเบียนให้จำเลยที่ 1 เป็นสำนักงานสาขาของของตนในประเทศไทย ดังนี้โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 2 และที่ 3 ไม่ได้สำหรับจำเลยที่ 1 นั้นเมื่อไม่ได้เป็นสำนักงานสาขาของจำเลยที่ 2และที่ 3 ทั้งมิได้เป็นคู่สัญญากับโจทก์ และไม่ใช่ตัวแทนของจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นตัวการอยู่ต่างประเทศ โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 1ไม่ได้เช่นกัน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เหตุสุดวิสัย-หนี้สินล้นพ้นตัว: ศาลยืนตามเดิม เหตุผลการขาดส่งมอบน้ำมันไม่ใช่เหตุสุดวิสัย และการส่งหนังสือทวงถามชอบแล้ว
การที่จำเลยไม่สามารถหาเรือมาบรรทุกน้ำมันเพื่อส่งมอบให้โจทก์ได้นั้นเป็นเรื่องด้อยความสามารถของจำเลยเองและการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นเป็นเหตุให้จำเลยขาดทุนก็เป็นธรรมดาของการค้าขายซึ่งอาจจะมีทั้งกำไรและขาดทุน พฤติการณ์ดังกล่าวมิใช่เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นค่าปรับซึ่งสามารถคำนวณได้จากปริมาณน้ำมันที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ครบจำนวนที่สั่งซื้อ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามมาตรา9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย และโจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่
เมื่อผู้จัดการบริษัทจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ทั้งสองฉบับจากโจทก์แล้ว แม้หนังสือนั้นได้ส่งไปยังที่อยู่ของผู้จัดการบริษัทจำเลยซึ่งไม่ใช่ภูมิลำเนาอันเป็นที่ตั้งของบริษัทจำเลยก็ตาม ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวโดยชอบแล้ว และหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้ส่งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถาม กรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลายฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยปิดไว้ ณสำนักงานบริษัทจำเลยตามที่จดทะเบียนไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2653/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้มละลาย: เหตุสุดวิสัย, จำนวนหนี้, การส่งหนังสือทวงถาม, และการส่งสำเนาคำฟ้อง
การที่จำเลยไม่สามารถหาเรือมาบรรทุกน้ำมันเพื่อส่งมอบให้โจทก์ได้นั้นเป็นเรื่องด้อยความสามารถของจำเลยเอง และการที่ราคาน้ำมันในตลาดโลกสูงขึ้นเป็นเหตุให้จำเลยขาดทุนก็เป็นธรรมดาของการค้าขายซึ่งอาจจะมีทั้งกำไรและขาดทุน พฤติการณ์ดังกล่าวมิใช่เหตุสุดวิสัยตามมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์
หนี้ที่โจทก์ฟ้องเป็นค่าปรับซึ่งสามารถคำนวณได้จากปริมาณน้ำมันที่จำเลยไม่สามารถส่งมอบให้โจทก์ได้ครบจำนวนที่สั่งซื้อ ซึ่งคำนวณแล้วเป็นจำนวนเงินตามที่โจทก์ฟ้อง จึงเป็นหนี้ที่อาจกำหนดจำนวนได้โดยแน่นอนตามมาตรา 9(3) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย และโจทก์ไม่จำเป็นต้องสืบพยานให้เห็นว่าโจทก์เสียหายเพียงใดหรือไม่
เมื่อผู้จัดการบริษัทจำเลยได้รับหนังสือทวงถามให้ชำระหนี้ทั้งสองฉบับจากโจทก์แล้ว แม้หนังสือนั้นได้ส่งไปยังที่อยู่ของผู้จัดการบริษัทจำเลยซึ่งไม่ใช่ภูมิลำเนาอันเป็นที่ตั้งของบริษัทจำเลยก็ตาม ย่อมถือได้ว่าจำเลยได้รับหนังสือทวงถามดังกล่าวโดยชอบแล้ว และหนังสือทั้งสองฉบับนี้ได้ส่งในระยะเวลาห่างกันไม่น้อยกว่าสามสิบวัน จำเลยไม่ชำระหนี้ตามหนังสือทวงถามกรณีต้องด้วยข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8(9) แห่งพระราชบัญญัติล้มละลาย ฟังได้ว่าจำเลยมีหนี้สินล้นพ้นตัว
การที่ศาลชั้นต้นส่งสำเนาคำฟ้องให้จำเลยโดยปิดไว้ ณ สำนักงานบริษัทจำเลยตามที่จดทะเบียนไว้นั้น เป็นการชอบด้วยกระบวนพิจารณาแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2526

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาบริษัท: พิจารณาจากสำนักงานบริหารกิจการจริง ไม่ใช่ที่จดทะเบียน
เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานครจะถือเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยเสมอไปหาได้ไม่ ต้องถือตามถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลนั้นตามความเป็นจริง
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรีจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1242/2526 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภูมิลำเนาบริษัท: พิจารณาจากสำนักงานบริหารกิจการตามความเป็นจริง ไม่ใช่ที่จดทะเบียน
เพียงแต่ปรากฏตามทะเบียนว่าที่ตั้งสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเทพมหานครจะถือเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยเสมอไปหาได้ไม่ ต้องถือตามถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของนิติบุคคลนั้นตามความเป็นจริง
บริษัทจำเลยมีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการค้าตั้งโรงงานผลิตและจำหน่ายน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ และมีโรงงานผลิตน้ำตาลของบริษัทแห่งเดียวตั้งอยู่ที่อำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี บริษัทจำเลยเรียกประชุมผู้ถือหุ้น ณ เลขที่ 99 หมู่ 3ตำบลหนองโอ่งอำเภออู่ทอง จังหวัดสุพรรณบุรี ดังที่โจทก์ระบุในคำฟ้องว่าเป็นที่อยู่ของจำเลย การส่งหมายเรียกของเจ้าพนักงานศาล ณ ที่อยู่ดังกล่าวก็พบกรรมการบริษัทจำเลยจึงได้ปิดหมายไว้แสดงว่าถิ่นอันเป็นที่ตั้งสำนักงานบริหารกิจการของบริษัทจำเลยคือสถานที่ซึ่งบริษัทประชุมผู้ถือหุ้นอันเป็นสำนักทำการของบริษัทจำเลย จึงถือได้ว่าสถานที่ดังกล่าวเป็นภูมิลำเนาของบริษัทจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 71 และประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 68
เมื่อบริษัทจำเลยมีที่ตั้งทำการอันถือได้ว่าเป็นภูมิลำเนาของจำเลยอยู่ในเขตอำนาจศาลชั้นต้น ศาลชั้นต้นจึงมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีนี้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 565/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การส่งคำบังคับชอบด้วยกฎหมาย แม้โจทก์ย้ายที่อยู่ แต่ยังใช้ที่อยู่เดิมในฟ้องและชั้นพิจารณา
ศาลพิพากษาให้โจทก์ใช้เงินแก่จำเลยและออกคำบังคับส่งให้โจทก์ทราบ ในการส่งคำบังคับจำเลยได้นำเจ้าพนักงานเดินหมายส่งคำบังคับให้โจทก์ที่บ้านเลขที่773/12 อันเป็นที่อยู่ที่โจทก์ระบุไว้ในคำฟ้องของโจทก์และโจทก์ได้ใช้ที่อยู่ดังกล่าวตลอดมา โดยมี พ. อายุเกิน 20 ปี อยู่ที่บ้านดังกล่าวเต็มใจรับคำบังคับไว้แทนและไม่ปรากฏว่า พ. รับคำบังคับไว้แทนโจทก์โดยหลงผิดดังนี้นับว่าได้มีการส่งคำบังคับแก่โจทก์โดยชอบแล้วแม้โจทก์จะได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 733/7 นานแล้วแต่เมื่อปรากฏว่าโจทก์เคยอยู่ที่บ้านเลขที่ 773/12 อันเป็นที่อยู่ของโจทก์ตามฟ้องก่อนโจทก์ฟ้องคดี และเมื่อฟ้องคดีและตลอดมาในชั้นพิจารณา โจทก์ก็ใช้ที่อยู่ที่บ้านเลขที่ 773/12 ไม่เคยแถลงต่อศาลว่าได้ย้ายไปอยู่บ้านเลขที่ 733/7 แต่อย่างใด พฤติการณ์ดังกล่าวจึงถือได้ว่าโจทก์ได้ใช้บ้านเลขที่ 773/12 เป็นที่อยู่ของโจทก์อีกแห่งหนึ่งด้วย การส่งคำบังคับให้โจทก์จึงชอบแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2513

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การสละสิทธิเสนอราคาหลังยื่นซองประกวดราคา ถือเป็นการผิดเงื่อนไขสัญญา และการฟ้องธนาคารต้องฟ้องบริษัทแม่
การยื่นซองประกวดราคาการก่อสร้างมีเงื่อนไขหลายประการที่โจทก์(องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย) วางไว้ เมื่อโจทก์ได้ออกประกาศแจ้งความเรียกประกวดราคา ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ายื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์จึงเท่ากับว่าจำเลยได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์ทุกประการต่อมาจำเลยยื่นหนังสือต่อโจทก์มีข้อความว่า 'เนื่องจากความผิดพลาดในการคิดคำนวณราคาคลาดเคลื่อนและตกหล่นไปบ้างบางรายการ ซึ่งหากไม่เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้า (จำเลย) ก็จะต้องเสนอราคาสูงกว่านี้อีกมาก ฯลฯ โดยข้าพเจ้าไม่มีเจตนาแต่อย่างใดเลยและก็เกินแก่การแก้ไขได้ ดังนั้น...ฯลฯ.... ขอท่านได้โปรดพิจารณากรุณาผ่อนผันให้ข้าพเจ้าได้สละสิทธิการเสนอราคางานรายนี้โดยยกเว้นไม่ต้องพิจารณาราคาที่ข้าพเจ้าเสนอในครั้งนี้ เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด....ฯลฯ.....' หนังสือของจำเลยดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหนังสือสละสิทธิการเสนอราคา และขณะเดียวกันก็เป็นหนังสือที่แสดงการขอถอนซองประกวดราคาต่อโจทก์ด้วย เพราะมีถ้อยคำว่า'เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด' เงื่อนไขในการยื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์ซึ่งกำหนดไว้ว่า ซองของผู้เสนอราคาทุกรายที่ได้ยื่นไว้ต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การโทรศัพท์ฯ แล้ว ย่อมถือว่าเป็นสิทธิขององค์การโทรศัพท์ฯจะถอนคืนไปมิได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าผู้ใดสละสิทธิการเสนอราคาหรือขอถอนซองประกวดราคาภายหลังยื่นซองประกวดราคาแล้ว ถือว่าผู้นั้นผิดเงื่อนไขการประกวดราคา ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ จะริบเงินมัดจำตามรายการนี้ได้ทันที
คำฟ้องของโจทก์แม้จะกล่าวว่าฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด สาขาวัดตึก ก็ต้องถือว่าโจทก์ฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัดนั่นเอง เพราะบริษัทจำกัด นอกจากสำนักงานแห่งใหญ่แล้วจะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้และสาขาของบริษัทใดก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเอง จึงไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 279/2513 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยื่นซองประกวดราคาถือเป็นการยอมรับเงื่อนไข การถอนซองหลังยื่นถือเป็นการผิดสัญญา
การยื่นซองประกวดราคาการก่อสร้างมีเงื่อนไขหลายประการที่โจทก์ (องค์การโทรศัพท์แห่งประเทศไทย) วางไว้ เมื่อโจทก์ได้ออกประกาศแจ้งความเรียกประกวดราคา ดังนั้น เมื่อจำเลยที่ 1 เข้ายื่นของประกวดราคาต่อโจทก์จึงเท่ากับว่าจำเลยได้ยอมรับที่จะปฏิบัติตามเงื่อนไขของโจทก์ทุกประการ ต่อมาจำเลยยื่นหนังสือต่อโจทก์มีข้อความว่า "เนื่องจากความผิดพลาดในการคิดคำนวณราคาคลาดเคลื่อนและตกหล่นไปบ้างบางรายการ ซึ่งหากไม่เช่นนั้นแล้วข้าพเจ้า (จำเลย) ก็จะต้องเสนอราคาสูงกว่านี้อีกมาก ฯลฯ โดยข้าพเจ้าไม่มีเจตนาแต่อย่างใดเลยและก็เกินแก่การแก้ไขได้ ดังนั้น...ฯลฯ... ขอท่านได้โปรดพิจารณากรุณาผ่อนผันให้ข้าพเจ้าได้สละสิทธิการเสนอราคางานรายนี้ โดยยกเว้นไม่ต้องพิจารณาราคาที่ข้าพเจ้าเสนอในครั้งนี้ เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด...ฯลฯ... "หนังสือของจำเลยดังกล่าวจึงเห็นได้ชัดว่าเป็นหนังสือสละสิทธิการเสนอราคา และขณะเดียวกันก็เป็นหนังสือที่แสดงการขอถอนของประกวดราคาต่อโจทก์ด้วย เพราะมีถ้อยคำว่า "เสมือนหนึ่งว่าข้าพเจ้ามิได้ยื่นประกวดราคาครั้งนี้ด้วยแต่อย่างใด" เงื่อนไขในการยื่นซองประกวดราคาต่อโจทก์ซึ่งกำหนดไว้ว่า ซองของผู้เสนอราคาทุกรายที่ได้ยื่นต่อเจ้าหน้าที่ขององค์การโทรศัพท์ฯ แล้ว ย่อมถือว่าเป็นสิทธิขององค์การโทรศัพท์ฯ จะถอนคืนไปมิได้ไม่ว่าในกรณีใด ๆ ทั้งสิ้น และถ้าผู้ใดสละสิทธิการเสนอราคาหรือขอถอนซองประกวดราคาภายหลังยื่นซองประกวดราคาแล้ว ถือว่าผู้นั้นผิดเงื่อนไขการประกวดราคา ซึ่งองค์การโทรศัพท์ฯ จะริบเงินมัดจำตามรายการนี้ได้ทันที
คำฟ้องของโจทก์แม้จะกล่าวว่าฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด สาขาวัดตึกก็ต้องถือว่าโจทก์ฟ้องธนาคารไทยพัฒนา จำกัด นั่นเอง เพราะบริษัทจำกัด นอกจากสำนักงานแห่งใหญ่แล้ว จะมีสำนักงานสาขาที่ใดอีกก็ได้ และสาขาของบริษัทใดก็คือส่วนหนึ่งของบริษัทนั้นนั่นเอง จึงไม่ต้องมีการจดทะเบียนให้สาขาเป็นบริษัทขึ้นอีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2504

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องหน่วยงานราชการและข้อยกเว้นภาษีจากการจ้างทำทองรูปพรรณ โดยมิใช่การซื้อขาย
ตำแหน่งสรรพากรจังหวัดมีหน้าที่ตรวจเก็บภาษี ถือเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ซึ่งมีกฎกระทรวงกำหนดไว้ โจทก์ไม่ปรารถนาจะฟ้องให้รับผิดเป็นส่วนตัว จึงระบุฟ้องสรรพากรจังหวัดฯ ได้ เป็นการฟ้องบุคคลทีมีตัวอยู่แน่นอนเพียงคนเดียวในจังหวัดนั้นอันมีตำแหน่งหน้าที่การงาน
การนำทองมาจ้างให้ทำทองรูปพรรณแล้วเจ้าของมารับคืนไป ไม่ใช่การซื้อ เงินค่าจ้างค่าแรงให้ทำทองเงินรูปพรรณไปใช่เงินค่าซื้อโภคภัณฑ์ ผู้รับจ้างไม่ต้องเสียภาษีโภคภัณฑ์