คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สงวน สิทธิไชย

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 575 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณสมบัติของแผ่นดิน: สิทธิครอบครองของผู้บุกรุก vs. การครอบครองของโรงเรียน
เมื่อ พ.ศ.2496 ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจับจองที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพื่อกิจการของโรงเรียนแล้ว และยังได้ขึ้นทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน โดยมีศึกษาธิการอำเภอรับรองว่าเป็นทรัพย์สินของโรงเรียนครั้น พ.ศ.2498 ครูใหญ่ก็ได้แจ้ง ส.ค.1 ที่พิพาทไว้ในฐานะแทนโรงเรียน ดังนี้แม้โรงเรียนประชาบาลดังกล่าวจะไม่เป็นนิติบุคคลแต่เป็นโรงเรียนที่นายอำเภอตั้งขึ้นจึงเป็นส่วนราชการของรัฐและพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าทางราชการอำเภอได้รับเอาที่พิพาทมาเป็นทรัพย์สินของทางราชการแล้วที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ พ.ศ.2496 เป็นต้นมา โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทภายหลัง พ.ศ.2496 จึงไม่อาจจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ.2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคลที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 102/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สาธารณสมบัติของแผ่นดิน: การได้มาของที่ดินโดยโรงเรียนและโอนไปยัง อบจ. ทำให้โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครอง
เมื่อ พ.ศ. 2496 ครูใหญ่โรงเรียนประชาบาลจับจองที่พิพาทอันเป็นที่รกร้างว่างเปล่าเพื่อใช้ในกิจการของโรงเรียน ได้เข้าครอบครองที่พิพาทเพื่อกิจการของโรงเรียนแล้ว และยังได้ขึ้นทะเบียนพัสดุเคลื่อนที่ไม่ได้เป็นทรัพย์สินของโรงเรียน โดยมีศึกษาธิการอำเภอรับรองว่าเป็นทรัพย์สินของโรงเรียน ครั้น พ.ศ. 2498 ครูใหญ่ก็ได้แจ้ง ส.ค.1 ที่พิพาทไว้ในฐานะแทนโรงเรียน ดังนี้แม้โรงเรียนประชาบาลดังกล่าวจะไม่เป็นนิติบุคคล แต่เป็นโรงเรียนที่นายอำเภอตั้งขึ้น จึงเป็นส่วนราชการของรัฐ และพฤติการณ์ดังกล่าวแสดงว่าทางราชการอำเภอได้รับเอาที่พิพาทมาเป็นทรัพย์สินของทางราชการแล้ว ที่พิพาทจึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินซึ่งใช้เพื่อสาธารณประโยชน์หรือสงวนไว้เพื่อประโยชน์ร่วมกันตั้งแต่ พ.ศ. 2496 เป็นต้นมา โจทก์เข้าครอบครองที่พิพาทภายหลัง พ.ศ. 2496 จึงไม่อาจจะยกอายุความขึ้นต่อสู้ได้ โจทก์ไม่ได้สิทธิครอบครองที่พิพาท
กรณีดังกล่าวข้างต้น เมื่อต่อมาโรงเรียนประชาบาลนั้นได้โอนไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด ตามพระราชบัญญัติโอนโรงเรียนประถมศึกษาบางประเภทไปสังกัดองค์การบริหารส่วนจังหวัด พ.ศ. 2509 ซึ่งพระราชบัญญัตินี้มีบทบัญญัติให้โอนบรรดากิจการและทรัพย์สินไปเป็นขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนด้วย เมื่อองค์การบริหารส่วนจังหวัดเป็นนิติบุคคล ที่พิพาทจึงโอนมาเป็นทรัพย์สินขององค์การบริหารส่วนจังหวัดที่รับโอนนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการขัดขวางการบุกรุก และการใช้สิทธิเพื่อปกป้องทรัพย์สินโดยชอบด้วยกฎหมาย
จำเลยถอนเสารั้วของโจทก์แล้ววางไว้ เพื่อระงับยับยั้งมิให้โจทก์ขุดหลุมปักเสาในที่ดิน ซึ่งจำเลยเข้าใจหรือเชื่อว่าอยู่ในเขตของจำเลย เป็นการกระทำโดยเจตนาใช้สิทธิขัดขวางมิให้ผู้อื่นสอดเข้าเกี่ยวข้องกับทรัพย์สินของตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งตามสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ก็เป็นเหตุสมควรที่จำเลยจะปฏิบัติเช่นนั้นได้ เพื่อยังให้ความเสียหายหรือเดือดร้อนสิ้นไป การกระทำของจำเลยจึงไม่เป็นผิดฐานทำให้เสียทรัพย์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 89/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิขัดขวางการสอดเข้าเกี่ยวข้องทรัพย์สิน: การถอนเสาเพื่อป้องกันการบุกรุกไม่ถือเป็นความเสียหาย
จำเลยเข้าใจว่าเสารั้วของโจทก์ที่ขุดหลุมปักไว้อยู่ในที่ดินของจำเลย จำเลยจึงถอนออก โดยเจตนาใช้สิทธิตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1336,1337 ไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 358

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่จดทะเบียนและฟ้องแย้งบังคับจดทะเบียน: ศาลไม่รับฟ้องแย้ง แม้มีค่าตอบแทนพิเศษ
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์จดทะเบียนการเช่าตึกแถวพิพาทมีกำหนด 10 ปี โดยอ้างว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะจำเลยเสียค่าตอบแทนการเช่าเป็นเงิน 20,000 บาท ซึ่งตามคำให้การไม่กล่าวว่าเป็นเงินค่าอะไรอีก แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ดังข้ออ้างของจำเลย ก็หาทำให้สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่ เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจะฟ้องบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนหาได้ไม่ แม้ศาลจะรับฟ้องแย้งไว้ จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 79/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าไม่จดทะเบียน: แม้มีค่าเช่าพิเศษก็ไม่อาจบังคับให้จดทะเบียนได้
ฟ้องแย้งของจำเลยที่ขอให้โจทก์จดทะเบียนการเช่าตึกแถวพิพาทมีกำหนด 10 ปี โดยอ้างว่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดา เพราะจำเลยเสียค่าตอบแทนการเช่าเป็นเงิน 20,000 บาท ซึ่งตามคำให้การไม่กล่าวว่าเป็นเงินค่าอะไรอีก แม้จะฟังข้อเท็จจริงได้ดังข้ออ้างของจำเลย ก็หาทำให้สัญญาเช่าเป็นสัญญาต่างตอบแทนพิเศษยิ่งกว่าสัญญาเช่าธรรมดาไม่ เมื่อมิได้จดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ จำเลยจะฟ้องบังคับให้โจทก์ไปจดทะเบียนหาได้ไม่แม้ศาลจะรับฟ้องแย้งไว้ จำเลยก็ไม่มีทางชนะคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดบังคับคดีเมื่อมีการฟ้องคดีอาญาเกี่ยวกับการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราและข้อหาอื่น
ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้ว ต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า บัดนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ทำหลักฐานเท็จ และหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้ว ขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้ รอฟังผลคดีอาญา ดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยไม่เข้ากรณีที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ทั้งไม่มีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 19/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ งดบังคับคดีรอผลคดีอาญา: เหตุผลไม่เพียงพอตามกฎหมาย
ศาลพิพากษาตามยอมให้จำเลยชำระหนี้เงินกู้ให้โจทก์แล้วต่อมาจำเลยยื่นคำร้องว่า บัดนี้ พนักงานสอบสวนได้ดำเนินการฟ้องร้องโจทก์ในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตราทำหลักฐานเท็จและหลีกเลี่ยงภาษีอากรแล้ว ขอให้สั่งงดการบังคับคดีไว้ รอฟังผลคดีอาญาดังนี้ ข้ออ้างของจำเลยไม่เข้ากรณีที่จะร้องขอให้งดการบังคับคดีได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 293 ทั้งไม่มีเหตุสมควรให้งดการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบังคับคดีและการเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา: ศาลยืนยันการบังคับคดีแม้มีข้อกล่าวหาอื่น
ศาลบังคับคดีตามยอม ให้จำเลยผ่อนชำระเงินกู้เดือนละ 3,000 บาทโจทก์ถูกฟ้องในข้อหาเรียกดอกเบี้ยเกินอัตรา ทำหลักฐานเท็จหลีกเลี่ยงภาษีอากรไม่เป็นเหตุที่จะงดการบังคับคดีตาม มาตรา 293

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ที่ขัดต่อกฎกระทรวงบริษัทประกันชีวิตเป็นโมฆะ ผู้กู้ต้องคืนเงิน แม้ฟ้องเรียกทรัพย์คืนได้
กฎกระทรวงฉบับที่ 5 ออกตามความในพระราชบัญญัติประกันชีวิต พ.ศ. 2510 ข้อ 7 ว่า "การให้กู้ยืมแก่พนักงานของบริษัทโดยมีผู้ค้ำประกันนั้น บริษัทจะให้กู้ยืมได้ไม่เกินร้อยละสองของราคาสินทรัพย์ของบริษัทตามบัญชีงบดุลที่มีอยู่ในวันสิ้นปีบัญชีครั้งสุดท้าย จำนวนที่ให้กู้ยืมแต่ละรายต้องไม่เกินหกเท่าของจำนวนเงินเดือนที่พนักงานผู้นั้นได้รับจากบริษัทในเดือนสุดท้ายก่อนที่จะให้กู้ยืม และไม่เกินสองหมื่นบาท..............." ฉะนั้น การที่บริษัทโจทก์ให้จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพนักงานของบริษัทโจทก์กู้ยืมเงินเป็นจำนวนเงิน 30,000 บาท จึงขัดต่อกฎกระทรวงดังกล่าว สัญญากู้ระหว่างบริษัทโจทก์และจำเลยจึงมีวัตถุประสงค์เป็นการต้องห้ามชัดแจ้งโดยกฎหมาย เป็นโมฆะ ไม่มีผลบังคับ จำเลยที่ 2 ผู้ค้ำประกันจึงไม่ต้องรับผิดด้วย แต่จำเลยที่ 1 รับเงินไว้โดยปราศจากมูลอันจะอ้างกฎหมายได้ และเป็นการทำให้โจทก์เสียเปรียบ จำเลยที่ 1 จึงต้องคืนให้โจทก์พร้อมด้วยดอกเบี้ย
of 58