คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ล้วน นิลกำแหง

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 736/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิของเจ้าของกรรมสิทธิ์และการเช่า การละเมิดสิทธิและผลของการทำสัญญาเช่า
โจทก์ร่วมทำสัญญาให้บริษัท ว. ก่อสร้างอาคารพาณิชย์ในที่ดินของโจทก์ร่วม โดยตกลงให้อาคารตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมบริษัทว. หรือบริษัทผู้รับช่วงจากบริษัท ว. ได้สิทธิเรียกร้องเงินกินเปล่าจากผู้เช่าและนำผู้เช่ามาทำสัญญากับโจทก์ร่วม บริษัท ว. ให้บริษัท ส. รับช่วงก่อสร้างอาคารดังกล่าวไป บริษัท ส. ได้ก่อสร้างอาคารพิพาทนี้แล้วบริษัท ว. และบริษัท ส. ได้ตกลงให้ ม. เช่าและนำ ม. ไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมต่อมา ม. โอนสิทธิการเช่าให้โจทก์โดยโจทก์ร่วมอนุญาตและทำสัญญาเช่ากับโจทก์แล้ว ดังนี้ แม้จำเลยจะได้ออกเงินค่าก่อสร้างอาคารพิพาทให้แก่บริษัท ส. และบริษัท ส. ตกลงจะให้จำเลยเช่าอาคารพิพาททั้งจำเลยได้เข้าอยู่อาศัยในอาคารพิพาทก่อนที่โจทก์จะทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมก็ตามแต่เมื่อโจทก์ร่วมไม่ทราบถึงข้อตกลงระหว่างบริษัท ส.กับจำเลยและบริษัท ส. ไม่ได้นำจำเลยไปทำสัญญาเช่ากับโจทก์ร่วมข้อตกลงระหว่างจำเลยกับบริษัท ส. คงผูกพันเฉพาะจำเลยกับบริษัท ส. เท่านั้น ไม่ผูกพันโจทก์และโจทก์ร่วมซึ่งเป็นบุคคลภายนอก โจทก์ร่วมจึงไม่มีหน้าที่ให้จำเลยเช่าอาคารพิพาท
อาคารพิพาทปลูกในที่ดินของโจทก์ร่วม เมื่อตกลงกันว่าให้อาคารที่ก่อสร้างขึ้นตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วม จึงเป็นส่วนควบของที่ดินของโจทก์ร่วมและเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ตึกพิพาทให้โจทก์ร่วมอีก
การที่จำเลยได้เข้าอยู่ในอาคารพิพาทอันเป็นกรรมสิทธิ์ของโจทก์ร่วมโดยไม่มีสิทธิที่จะอยู่นั้น เป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วม โจทก์ร่วมมีสิทธิฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทเมื่อโจทก์ร่วมไม่ได้ฟ้องขับไล่จำเลย ทำให้โจทก์ผู้เช่าตึกพิพาทจากโจทก์ร่วมได้รับความเสียหายเพราะเข้าอยู่ในอาคารพิพาทไม่ได้ โจทก์ชอบที่จะฟ้องขับไล่จำเลยออกจากตึกพิพาท และขอให้ศาลเรียกผู้ให้เช่าเข้าเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ได้ ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 477 ประกอบด้วยมาตรา 549แม้โจทก์และโจทก์ร่วมจะตกลงกันว่าโจทก์ร่วมไม่ต้องรับผิดในการรอนสิทธิ และโจทก์ไม่มีสิทธิเรียกร้องให้โจทก์ร่วมขจัดปัดเป่าการรอนสิทธิตามมาตรา483 ประกอบด้วยมาตรา 549 ก็ตาม แต่การที่โจทก์ขอให้ศาลเรียกโจทก์ร่วมเข้ามาเป็นโจทก์ร่วมกับโจทก์ ไม่ใช่เป็นการฟ้องขอให้โจทก์ร่วมรับผิดในการรอนสิทธิทั้งโจทก์ร่วมก็ยินยอมเข้าเป็นโจทก์ร่วมในคดีโจทก์ย่อมมีสิทธิดำเนินคดีในฐานะเป็นโจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยได้
การที่จำเลยเข้าอยู่ในอาคารพิพาทโดยมิได้เช่าจากโจทก์ร่วมและเข้าอยู่โดยไม่มีสิทธิอันเป็นการละเมิดต่อโจทก์ร่วมโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมฟ้องขับไล่จำเลยได้ โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้จำเลยออกจากอาคารพิพาทก่อนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 566

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเฉลี่ยทรัพย์ของเจ้าหนี้ตามคำพิพากษา แม้ยังมิได้ขอให้บังคับคดี และผลของการบังคับคดีไม่แล้วเสร็จภายใน 10 ปี
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ยังไม่ได้ขอให้ศาลออกคำบังคับและยังไม่ได้ขอออกหมายบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ภายใน 10 ปีนั้นปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องย่อมจะยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีกไม่ได้ ได้แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินนั้นหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น ผู้ร้องจึงไม่จำต้องขอให้บังคับคดีในคดีของตน และเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยแล้วแม้ผู้ร้องจะยังมิได้ขอให้ศาลออกคำบังคับ ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ตนเข้าเฉลี่ยได้ดังนั้นเมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วันนับแต่วันขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นแล้ว หนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องจึงไม่ขาดอายุความหรือขาดอายุการบังคับคดี และเมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีนี้ภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา และผู้ร้องก็ขอเข้าเฉลี่ยภายใน 10 ปี นับแต่วันมีคำพิพากษาคดีของผู้ร้องและภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 290 กำหนดไว้แล้ว แม้จะล่วงพ้น 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาการบังคับคดียังไม่แล้วเสร็จ ก็ไม่ทำให้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องสิ้นผลไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 698/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาในการขอเฉลี่ยทรัพย์ แม้ยังมิได้ขอออกหมายบังคับคดีภายในกำหนด
ผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยในคดีอีกเรื่องหนึ่ง ยังไม่ได้ขอให้ศาลออกคำบังคับและยังไม่ได้ขอออกหมายบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาแต่ภายใน 10 ปีนั้นปรากฏว่าเจ้าพนักงานบังคับคดีได้ยึดทรัพย์สินของจำเลยไว้แทนโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาคดีนี้ ผู้ร้องย่อมจะยึดหรืออายัดทรัพย์สินนั้นซ้ำอีกไม่ได้ได้แต่ร้องขอให้ศาลมีคำสั่งให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยในทรัพย์สินนั้นหรือเงินที่ได้จากการขายหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้น ผู้ร้องจึงไม่จำต้องขอให้บังคับคดีในคดีของตนและเมื่อผู้ร้องเป็นเจ้าหนี้ตามคำพิพากษาของจำเลยแล้วแม้ผู้ร้องจะยังมิได้ขอให้ศาลออกคำบังคับ ผู้ร้องก็มีสิทธิร้องขอให้ตนเข้าเฉลี่ยได้ ดังนั้นเมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำขอเช่นว่านี้ก่อนสิ้นระยะเวลา 14 วันนับแต่วันขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินนั้นแล้วหนี้ตามคำพิพากษาของผู้ร้องจึงไม่ขาดอายุความหรือขาดอายุการบังคับคดี และเมื่อโจทก์ได้ร้องขอให้บังคับคดีนี้ภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาและผู้ร้องก็ขอเข้าเฉลี่ยภายใน 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษาคดีของผู้ร้องและภายในระยะเวลาที่ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 290 กำหนดไว้แล้วแม้จะล่วงพ้น 10 ปีนับแต่วันมีคำพิพากษา การบังคับคดียังไม่แล้วเสร็จก็ไม่ทำให้คำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องสิ้นผลไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในวันนัดพิจารณา ทำให้คำสั่งอนุญาตให้เฉลี่ยทรัพย์ถึงที่สุด แม้เวลาผ่านไปนาน
ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องแก่ทุกฝ่ายและนัดพร้อมกันเพื่อสอบถาม ทนายของจำเลยได้รับหมายนัดและสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ดังกล่าวแล้ว แต่ในวันนัดจำเลยและทนายไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องและไม่ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่าจะคัดค้านคำร้องขอ เฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องหรือไม่ ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่คัดค้านและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2507 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น เพิ่งจะมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2514 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้จึงถึงที่สุด จำเลยจะร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 697/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่คัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ในวันนัดพิจารณา ทำให้คำสั่งอนุญาตให้เฉลี่ยทรัพย์ถึงที่สุด
ศาลชั้นต้นสั่งให้ส่งสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องแก่ทุกฝ่ายและนัดพร้อมกันเพื่อสอบถาม ทนายของจำเลยได้รับหมายนัดและสำเนาคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ดังกล่าวแล้วแต่ในวันนัดจำเลยและทนายไม่ไปศาลโดยไม่แจ้งเหตุขัดข้องและไม่ได้ยื่นคำแถลงต่อศาลว่าจะคัดค้านคำร้องขอเฉลี่ยทรัพย์ของผู้ร้องหรือไม่ศาลชั้นต้นถือว่าจำเลยไม่คัดค้านและมีคำสั่งเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2507 อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้ จำเลยมิได้อุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้น เพิ่งจะมายื่นคำร้องเมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2514 ขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ดังนี้ คำสั่งของศาลชั้นต้นที่อนุญาตให้ผู้ร้องเข้าเฉลี่ยทรัพย์ได้จึงถึงที่สุด จำเลยจะร้องขอให้เพิกถอนคำสั่งดังกล่าวของศาลชั้นต้นไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดีไม่ระงับ แม้เวลาเกิน 10 ปี หากเจ้าหนี้ร้องขอภายในกำหนด
เมื่อโจทก์ร้องขอบังคับคดีภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา271 แล้วโจทก์ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปจนกว่าการบังคับคดีจะแล้วเสร็จ แม้จะเกิน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา โจทก์ก็ไม่หมดสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 696/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิบังคับคดี: โจทก์มีสิทธิบังคับคดีต่อได้แม้เกิน 10 ปี หากร้องขอภายในกำหนด
เมื่อโจทก์ร้องขอบังคับภายใน 10 ปีนับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 271 แล้ว โจทก์ก็มีสิทธิที่จะดำเนินการบังคับคดีต่อไปจนกว่าการบังคับคดีจะแล้วเสร็จ แม้จะเกิน 10 ปีนับตั้งแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษาโจทก์ก็ไม่หมดสิทธิ์ที่จะดำเนินการบังคับคดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 576/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องขับไล่ผู้ขายฝากออกจากเรือนหลังขายฝากแล้วไม่ชำระค่าไถ่
ผู้ซื้อฝากฟ้องขับไล่ผู้ขายฝากที่อยู่ในเรือนที่ขายฝากโดยไม่มีสิทธิได้โดยไม่ต้องบอกกล่าวให้ออกไปก่อน
ฟ้องขับไล่จากเรือนโดยอ้างว่าจำเลยเช่าจากโจทก์ ได้ความว่าจำเลยไม่ได้เช่า แต่ได้อยู่ในเรือนของโจทก์โดยไม่มีสิทธิ ศาลพิพากษาขับไล่ได้ไม่นอกฟ้อง
ชั้นอุทธรณ์โจทก์มิได้แก้อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์จะให้จำเลยใช้ค่าทนายความแทนโจทก์ไม่ได้
จำเลยขายฝากเรือนแก่โจทก์ชำระค่าไถ่เรือนบางส่วนในกำหนดแต่ส่วนที่เหลือจำเลยมิได้ชำระจนเกินกำหนดไถ่คืนเรือนตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่โจทก์เด็ดขาด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 572/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์: อำนาจศาลอุทธรณ์ในการรับอุทธรณ์คำสั่งระหว่างพิจารณา
ศาลชั้นต้นสั่งปรับนายประกันเพราะจำเลยไม่มาศาลตามวันเวลานัดพิจารณา นายประกันอุทธรณ์คำสั่ง ศาลชั้นต้นไม่รับอุทธรณ์ นายประกันอุทธรณ์คำสั่งไม่รับอุทธรณ์ศาลอุทธรณ์สั่งรับอุทธรณ์คำสั่งนี้เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาของศาลอุทธรณ์ โจทก์ฎีกาไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 557/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดสืบพยานและการอุทธรณ์คำสั่งศาล การที่คู่ความไม่โต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้น ทำให้คำขอให้สืบพยานเพิ่มเติมในชั้นอุทธรณ์เป็นเหตุต้องห้าม
คำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งงดสืบพยานนั้น เป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาและคู่ความมีโอกาสโต้แย้งคำสั่งดังกล่าวก่อนศาลชั้นต้นพิพากษา แต่ไม่มีคู่ความฝ่ายใดโต้แย้งคำสั่งอุทธรณ์ของโจทก์ที่ขอให้ศาลชั้นต้นสืบพยานต่อไปจึงต้องห้าม ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 226 ที่ศาลอุทธรณ์ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการสืบพยานต่อไปนั้นจึงไม่ชอบ และศาลฎีกาจำต้องวินิจฉัยพยานหลักฐานเท่าที่ปรากฏในสำนวน
of 28