พบผลลัพธ์ทั้งหมด 274 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2260/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิจารณาคำฟ้องล้มละลาย: ศาลพิจารณาความสามารถในการชำระหนี้ควบคู่ข้อสันนิษฐานตามกฎหมาย
แม้จำเลยจะได้รับหนังสือทวงถามจากโจทก์ให้ชำระหนี้แล้วไม่น้อยกว่า 2 ครั้งห่างกันไม่น้อยกว่า 30วันจำเลยไม่ชำระหนี้แต่จำเลยอาจจะชำระหนี้ได้ทั้งหมดศาลพิพากษายกฟ้องได้ตามพระราชบัญญัติล้มละลายพ.ศ.2483 มาตรา14 ไม่ขัดต่อข้อสันนิษฐานตามมาตรา 8
จำเลยเป็นข้าราชการตำแหน่งหัวหน้าแผนกได้รับเงินเดือนเดือนละ 2,700บาทแม้เงินเดือนของจำเลยโจทก์ไม่อาจยึดมาชำระหนี้ของโจทก์ได้ก็เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย ฐานะราชการความประพฤติไม่เป็นหนี้บุคคลอื่นนอกจากโจทก์จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่สามารถจะขวนขวายชำระหนี้ได้
จำเลยเป็นข้าราชการตำแหน่งหัวหน้าแผนกได้รับเงินเดือนเดือนละ 2,700บาทแม้เงินเดือนของจำเลยโจทก์ไม่อาจยึดมาชำระหนี้ของโจทก์ได้ก็เป็นคนละเรื่องกับความสามารถในการชำระหนี้ของจำเลย ฐานะราชการความประพฤติไม่เป็นหนี้บุคคลอื่นนอกจากโจทก์จำเลยย่อมอยู่ในฐานะที่สามารถจะขวนขวายชำระหนี้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2250/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ภารจำยอมโดยอายุความและการปรับปรุงภารยทรัพย์: การราดซีเมนต์ไม่เพิ่มภาระ
การที่โจทก์ราดซีเมนต์หรือเทคอนกรีตบนทางภารจำยอม เป็นการตกแต่งให้ทางภารจำยอมสวยงามและคงทนถาวรยิ่งขึ้น และเพียงแต่ใช้ทางนั้นเดินหรือรถแล่นเข้าออกเท่านั้น มิได้ใช้เพื่อกิจการอื่นใดที่ไม่เหมาะสม ทั้งไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้กระทำให้เสียหายแก่ที่ดินหรือกระทบกระเทือนต่อประโยชน์ของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของภารยทรัพย์ จึงไม่เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เกิดภาระเพิ่มขึ้นแก่ภารยทรัพย์แต่อย่างใด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2219/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประเมินภาษีเงินได้จากการขายที่ดินของห้างหุ้นส่วนค้าที่ดิน และการแก้ไขจำนวนเงินประเมินหลังพ้นกำหนดระยะเวลา
ห้างหุ้นส่วนมีวัตถุประสงค์ในการค้า ทำการขายที่ดินในทางการค้าไม่ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้
เมื่อครั้งคดีนี้ขึ้นสู่ศาลฎีกาครั้งแรกศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่า จ. เจ้าพนักงานประเมินคนเดียวมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีผลบังคับให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประเด็นอื่นแล้วพิพากษาใหม่ประเด็นเรื่องอำนาจประเมินของ จ. กับอำนาจวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงยุติ โจทก์ฎีกาครั้งหลังอีกว่าไม่มีอำนาจประเมินแม้จะยกเหตุต่างกัน ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้
โจทก์ยื่นรายการเสียภาษีเงินได้ปีพ.ศ.2499-2501 เจ้าพนักงานประเมินจังหวัดสงขลาได้มีหมายเรียกลงวันที่ 12 กันยายน 2501 เรียกโจทก์เพื่อไต่สวนต่อมาโจทก์ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ในจังหวัดพระนครเจ้าพนักงานประเมินในเขตจังหวัดสงขลาโอนเรื่องให้เจ้าพนักงานประเมินในเขตจังหวัดพระนครดำเนินการจึงได้มีหมายเรียกฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2508 ถึงโจทก์ หมายเรียกฉบับหลังจึงเป็นหมายเรียกซ้ำโจทก์จะอ้างว่าเพิ่งออกหมายเรียกเมื่อพ้นกำหนด5 ปีแล้วหาได้ไม่เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจแก้จำนวนเงินที่ประเมินหรือที่ยื่นรายการไว้เดิมได้
แม้เจ้าพนักงานประเมินที่มีหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนครั้งแรกจะมีความเห็นว่าโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ก็ตาม กรมสรรพากรซึ่งมีอำนาจหน้าที่และควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรตาม ประมวลรัษฎากร ก็มีอำนาจสั่งให้ประเมินใหม่ได้
เมื่อครั้งคดีนี้ขึ้นสู่ศาลฎีกาครั้งแรกศาลฎีกาได้วินิจฉัยแล้วว่า จ. เจ้าพนักงานประเมินคนเดียวมีอำนาจประเมินภาษีเงินได้ของโจทก์และคำวินิจฉัยอุทธรณ์ของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์มีผลบังคับให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาประเด็นอื่นแล้วพิพากษาใหม่ประเด็นเรื่องอำนาจประเมินของ จ. กับอำนาจวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์จึงยุติ โจทก์ฎีกาครั้งหลังอีกว่าไม่มีอำนาจประเมินแม้จะยกเหตุต่างกัน ศาลฎีกาก็ไม่วินิจฉัยให้
โจทก์ยื่นรายการเสียภาษีเงินได้ปีพ.ศ.2499-2501 เจ้าพนักงานประเมินจังหวัดสงขลาได้มีหมายเรียกลงวันที่ 12 กันยายน 2501 เรียกโจทก์เพื่อไต่สวนต่อมาโจทก์ย้ายภูมิลำเนามาอยู่ในจังหวัดพระนครเจ้าพนักงานประเมินในเขตจังหวัดสงขลาโอนเรื่องให้เจ้าพนักงานประเมินในเขตจังหวัดพระนครดำเนินการจึงได้มีหมายเรียกฉบับลงวันที่ 9 มิถุนายน 2508 ถึงโจทก์ หมายเรียกฉบับหลังจึงเป็นหมายเรียกซ้ำโจทก์จะอ้างว่าเพิ่งออกหมายเรียกเมื่อพ้นกำหนด5 ปีแล้วหาได้ไม่เจ้าพนักงานประเมินจึงมีอำนาจแก้จำนวนเงินที่ประเมินหรือที่ยื่นรายการไว้เดิมได้
แม้เจ้าพนักงานประเมินที่มีหมายเรียกโจทก์มาไต่สวนครั้งแรกจะมีความเห็นว่าโจทก์ได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ก็ตาม กรมสรรพากรซึ่งมีอำนาจหน้าที่และควบคุมการจัดเก็บภาษีอากรตาม ประมวลรัษฎากร ก็มีอำนาจสั่งให้ประเมินใหม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ตัวแทนเชิด: จำเลยต้องรับผิดในหนี้ที่ตัวแทนเชิดก่อ แม้ไม่มีหลักฐานเป็นหนังสือ
การเชิดบุคคลใดเป็นตัวแทน หาจำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดิน ดินลูกรังจากโจทก์และจ้างโจทก์ขน แม้จะได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยเชิด ป. เป็นตัวแทนของจำเลย ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมและการที่ ป. ซื้อหิน ดินลูกรัง และจ้างโจทก์ขนก็เสมือนจำเลยเป็นผู้กระทำเช่นนั้นเองศาลจึงพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ไม่เป็นการนอกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อที่ดิน ดินลูกรังจากโจทก์และจ้างโจทก์ขน แม้จะได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยเชิด ป. เป็นตัวแทนของจำเลย ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุมและการที่ ป. ซื้อหิน ดินลูกรัง และจ้างโจทก์ขนก็เสมือนจำเลยเป็นผู้กระทำเช่นนั้นเองศาลจึงพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ได้ ไม่เป็นการนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1999/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเป็นตัวแทนเชิด แม้ไม่มีหลักฐานหนังสือ ก็ผูกพันจำเลยได้
การเชิญบุคคลใดเป็นตัวแทน หาจำต้องทำหลักฐานเป็นหนังสือหรือมีหลักฐานเป็นหนังสือดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 798 ไม่
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อหิน ดินลูกรัง จากโจทก์และจ้างโจทก์ขน แม้จะได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยเชิญ ป.เป็นตัวแทนของจำเลย ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม และการที่ป.ซื้อหิน ดินลูกรัง และจ้างโจทก์ขน ก็เสมือนจำเลยเป็นผู้กระทำเช่นนั้นเอง ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ได้ไม่เป็นการนอกฟ้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยซื้อหิน ดินลูกรัง จากโจทก์และจ้างโจทก์ขน แม้จะได้ความตามที่โจทก์นำสืบว่า จำเลยเชิญ ป.เป็นตัวแทนของจำเลย ก็ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม และการที่ป.ซื้อหิน ดินลูกรัง และจ้างโจทก์ขน ก็เสมือนจำเลยเป็นผู้กระทำเช่นนั้นเอง ศาลจึงพิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ให้โจทก์ได้ไม่เป็นการนอกฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1909/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การติชมโดยสุจริตและความเป็นธรรม ไม่เป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
จำเลยมีหนังสือไปถึงหัวหน้าคณะปฏิวัติและอธิการบดีว่าโจทก์ร่วมทำลายหลักฐานทางโบราณคดีและประวัติศาสตร์ ละเมิดกฎหมายบ้านเมืองไม่สมกับเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย จำเลยทำโดยสุจริต ติชมด้วยความเป็นธรรม อันเป็นวิสัยของประชาชนที่อยู่ในฐานะเช่นจำเลยย่อมกระทำไม่มีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1896/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทำลายพืชผลของผู้อื่น: ความผิดฐานทำให้เสียทรัพย์
โจทก์ร่วมกับจำเลยที่ 2 เป็นความกันว่าที่นาเป็นของตน ศาลยังไม่ได้พิพากษา จำเลยไถนาทำให้ข้าวที่โจทก์หว่านไว้เสียหาย เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 359
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหย่า: ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยประเด็นอายุความหลังพบเหตุหย่ามีอยู่จริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าโจทก์ไม่มีเหตุฟ้องหย่าจำเลยไม่จำเป็นต้องวินิจฉัยเรื่องอายุความพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีเหตุที่โจทก์ฟ้องหย่าได้แต่เมื่อในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ด้วยว่าโจทก์รู้ถึงเหตุที่จะฟ้องหย่าจำเลยเกิน 3 เดือนแล้ว คดีขาดอายุความ ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องอายุความให้ครบประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ ในเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1853/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องหย่าและการวินิจฉัยเหตุฟ้องหย่า: ศาลฎีกาย้อนสำนวนเพื่อวินิจฉัยอายุความหลังพบเหตุฟ้องหย่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำเลยจดทะเบียนหย่ากับโจทก์ จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่า โจทก์ไม่มีเหตุฟ้องหย่าจำเลย ไม่จำเป็นต้องวินิจฉัย เรื่องอายุความพิพากษากลับให้ยกฟ้อง โจทก์ฎีกา ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามีเหตุที่โจทก์ฟ้องหย่าได้ แต่เมื่อในชั้นอุทธรณ์จำเลยอุทธรณ์ด้วยว่าโจทก์รู้ถึงเหตุที่จะฟ้องหย่าจำเลยเกิน 3 เดือนแล้ว คดีขาดอายุความ ดังนี้ ศาลฎีกาย่อมให้ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยชี้ขาดในเรื่องอายุความให้ครบประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ ในเมื่อศาลฎีกาเห็นสมควร (ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1825/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทุนทรัพย์คดีละเมิด: ศาลฎีกาวินิจฉัยว่ามูลค่าความเสียหายตามฟ้องเป็นเกณฑ์พิจารณาการอุทธรณ์และฎีกา ไม่ใช่จำนวนที่ศาลชั้นต้นพิพากษา
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายจากจำเลยในมูลละเมิดเป็นเงิน 52,140 บาท คดีจึงมีทุนทรัพย์ 52,140 บาท ไม่ใช่ทุนทรัพย์ 40,000 บาท เท่าที่ศาลล่างพิพากษาให้จำเลยใช้คดีจึงมิต้องห้ามฎีกาในข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248