พบผลลัพธ์ทั้งหมด 665 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1500/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างเอกสารเพิ่มเติมหลังสืบพยานเสร็จ และการเรียกร้องค่าเสียหายจากความบกพร่องทางร่างกาย/จิตใจ
การที่จำเลยเพิ่งอ้างเอกสาร-เมื่อสืบพยานโจทก์เสร็จแล้ว ทั้งๆที่จำเลยรู้มาก่อนว่าเอกสารดังกล่าวมีอยู่ที่กองทะเบียนกรมตำรวจ กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 88 วรรคท้าย ศาลจึงไม่อนุญาตให้จำเลยอ้างเอกสารดังกล่าวเป็นพยานเพิ่มเติมได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เนื่องจากจำเลยขับรถชนรถโจทก์ทำให้โจทก์เสียความสามารถทั้งร่างกาย จิตใจและระบบประสาท ไม่สามารถทำงานหนักและในตำแหน่งสูงต่อไปได้ เพราะทำให้ผู้บังคับบัญชาและนายงานไม่ไว้วางใจในความสามารถ ขอคิดค่าเสียหาย 40,000 บาท คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เป็นตัวเงินที่ควรจะได้ในอนาคต ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ซึ่งไม่ใช่ตัวเงิน กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446
แม้โจทก์จะฟ้องเรียกราคารถยนต์ทั้งคัน แต่การที่รถยนต์โจทก์ถูกชนพังใช้การไม่ได้นั้น ไม่ใช่ว่าโจทก์จะซื้อรถยนต์มาใช้แทนได้ทันที โจทก์จำเป็นต้องใช้เวลาตระเตรียมในการซื้อรถยนต์บ้าง ในระหว่างที่โจทก์กำลังตระเตรียมหาซื้อรถยนต์นั้น โจทก์ต้องเสียค่ารถแท๊กซี่ จึงเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า เนื่องจากจำเลยขับรถชนรถโจทก์ทำให้โจทก์เสียความสามารถทั้งร่างกาย จิตใจและระบบประสาท ไม่สามารถทำงานหนักและในตำแหน่งสูงต่อไปได้ เพราะทำให้ผู้บังคับบัญชาและนายงานไม่ไว้วางใจในความสามารถ ขอคิดค่าเสียหาย 40,000 บาท คำบรรยายฟ้องของโจทก์เช่นนี้เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายที่เป็นตัวเงินที่ควรจะได้ในอนาคต ไม่ใช่เป็นการเรียกร้องค่าสินไหมทดแทนเพื่อความเสียหายแก่ร่างกายหรืออนามัย ซึ่งไม่ใช่ตัวเงิน กรณีไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 446
แม้โจทก์จะฟ้องเรียกราคารถยนต์ทั้งคัน แต่การที่รถยนต์โจทก์ถูกชนพังใช้การไม่ได้นั้น ไม่ใช่ว่าโจทก์จะซื้อรถยนต์มาใช้แทนได้ทันที โจทก์จำเป็นต้องใช้เวลาตระเตรียมในการซื้อรถยนต์บ้าง ในระหว่างที่โจทก์กำลังตระเตรียมหาซื้อรถยนต์นั้น โจทก์ต้องเสียค่ารถแท๊กซี่ จึงเป็นความเสียหายที่โจทก์ได้รับเพราะการละเมิดของจำเลย จำเลยต้องชดใช้ให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1490/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ไม้แปรรูปเป็นเครื่องใช้: การพิจารณาว่าเครื่องใช้ทำจากไม้แปรรูปนั้นชอบด้วยลักษณะการใช้งานทั่วไปหรือไม่ เพื่อตัดสินว่าเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมายหรือไม่
ไม้สักของกลางทำเป็นถาดแบบฝักถั่ว ทำขึ้นเพื่อใส่อาหารมีรูปร่างเช่นเดียวกับถาดที่สำเร็จรูปแล้ว แม้จะยังไม่ขัดน้ำมันอย่างเช่นถาดสำเร็จรูป แต่เมื่อไม่อาจนำไปเปลี่ยนแปลงทำเป็นสิ่งอื่นต่อไปได้ และใช้ใส่อาหารได้แล้ว ไม้สักของกลางจึงมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 4(4) ซึ่งได้แก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 116 ข้อ 1 นั้น แม้ไม้สักของกลางมีสภาพเป็นเครื่องใช้ แต่ถ้าเครื่องใช้นั้นเป็นเครื่องใช้ที่ไม่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้นหรือที่ผิดปกติวิสัยแล้ว ไม้สักของกลางก็ยังคงเป็นไม้แปรรูปอยู่ เมื่อศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้มาข้อเท็จจริงที่ศาลอุทธรณ์ฟังมาจึงยังไม่พอที่จะวินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายที่ว่า ไม้สักของกลางยังเป็นไม้แปรรูปตามกฎหมายอยู่หรือไม่ ดังนี้ ศาลฎีกาเห็นสมควรก็ชอบที่จะวินิจฉัยข้อเท็จจริงข้อนี้ไปได้โดยไม่จำต้องย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยก่อน และฟังว่าไม้สักของกลางเป็นเครื่องใช้ที่ชอบด้วยลักษณะของเครื่องใช้ที่ใช้เป็นปกติในท้องที่นั้น และไม่ผิดปกติวิสัย จึงไม่เป็นไม้แปรรูป
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิครอบครองที่ดินจากการไม่ชำระหนี้ และการได้มาซึ่งสิทธิครอบครองโดยอายุความ
โจทก์กู้เงินจำเลยไป 10,000 บาท มอบนาพิพาทอันเป็นที่ดินมือเปล่าให้จำเลยไว้ทำกินต่างดอกเบี้ย และมีข้อตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปี โจทก์ยอมยกนาให้เป็นสิทธิแก่จำเลย โจทก์มิได้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี จำเลยได้ครอบครองนาพิพาทติดต่อกันมา 18 ปีแล้ว ดังนี้ การกู้เงินของโจทก์มิได้มอบนาให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยอย่างเดียว หากมีข้อตกลงยกนาให้จำเลย ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปีด้วยแม้เป็นข้อตกลงที่จำเลยยอมรับเอานาพิพาทเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืมโดยมิได้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาของทรัพย์นั้นในเวลาและสถานที่ส่งมอบ อันตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรค 2 และวรรค 3 ก็ตาม แต่โจทก์จำเลยได้แสดงเจตนาล่วงหน้าไว้ต่อกันแล้วว่า ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปี โจทก์ยอมยกนาให้จำเลย นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เจ้าของมีแต่สิทธิครอบครอง การที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปี จากนั้นจำเลยได้ครอบครองติดต่อกันมานานถึง 18 ปีนั้น เห็นได้ว่าโจทก์ได้สละการครอบครองตั้งแต่เวลาพ้นกำหนด 1 ปี และจำเลยก็ได้ครอบครองเพื่อตนมาแต่เวลาเดียวกันนั้นแล้ว จำเลยจึงได้สิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1465/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิครอบครองที่ดินจากการไม่ชำระหนี้และการครอบครองเพื่อตนเองของผู้อื่น
โจทก์กู้เงินจำเลยไป 10,000 บาท มอบนาพิพาทอันเป็นที่ดินมือเปล่าให้จำเลยไว้ทำกินต่างดอกเบี้ย และมีข้อตกลงกันว่า ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปี โจทก์ยอมยกนาให้เป็นสิทธิแก่จำเลย โจทก์มิได้ชำระหนี้ภายใน 1 ปี จำเลยได้ครอบครองนาพิพาทติดต่อกันมา 18 ปีแล้ว ดังนี้ การกู้เงินของโจทก์มิได้มอบนาให้จำเลยทำกินต่างดอกเบี้ยอย่างเดียว หากมีข้อตกลงยกนาให้จำเลย ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปีด้วย แม้เป็นข้อตกลงที่จำเลยยอมรับเอานาพิพาทเป็นการชำระหนี้แทนเงินที่กู้ยืม โดยมิได้คิดเป็นจำนวนเท่ากับราคาของทรัพย์นั้นในเวลาและสถานที่ส่งมอบ อันตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 656 วรรค 2 และวรรค 3 ก็ตาม แต่โจทก์จำเลยได้แสดงเจตนาล่วงหน้าไว้ต่อกันแล้วว่า ถ้าโจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปี โจทก์ยอมยกนาให้จำเลย นาพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า เจ้าของมีแต่สิทธิครอบครอง การที่โจทก์ไม่ชำระหนี้ภายใน 1 ปี จากนั้นจำเลยได้ครอบครองติดต่อกันมานานถึง 18 ปีนั้น เห็นได้ว่าโจทก์ได้สละการครอบครองตั้งแต่เวลาพ้นกำหนด 1 ปี และจำเลยก็ได้ครอบครองเพื่อตนมาแต่เวลาเดียวกันนั้นแล้ว จำเลยจึงไม่มีสิทธิครอบครอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องสอด & เจตนายกทรัพย์: ศาลฎีกาวินิจฉัยเรื่องการฟ้องซ้ำและการให้ทรัพย์โดยมีเจตนาเฉพาะ
ผู้ร้องสอดเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กับผู้ร้องสอด โจทก์เอาไปให้จำเลยโดยผู้ร้องสอดไม่รู้เห็นยินยอม แล้วผู้ร้องสอดขอถอนฟ้องในวันสืบพยานนัดแรก โดยแถลงต่อศาลว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยอีก ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นรายเดียวกับคดีที่ผู้ร้องสอดเคยฟ้องจำเลย ผู้ร้องสอดได้ร้องสอดเข้ามาในคดีอีก ดังนี้ คำร้องสอดถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจร้องสอด(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2002/2511)
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลย เพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1447/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจร้องสอด, เจตนายกทรัพย์, การซื้อทรัพย์โดยมีเจตนาให้เป็นสินส่วนตัว
ผู้ร้องสอดเคยเป็นโจทก์ฟ้องจำเลยต่อศาลเรียกทรัพย์คืนโดยอ้างว่าเป็นสินบริคณห์ของโจทก์กับผู้ร้องสอด โจทก์เอาไปให้จำเลยโดยผู้ร้องสอดไม่รู้เห็นยินยอม แล้วผู้ร้องสอดขอถอนฟ้องในวันสืบพยานนัดแรกโดยแถลงต่อศาลว่าจะไม่นำคดีมาฟ้องจำเลยอีก ต่อมาโจทก์ฟ้องคดีนี้ขอแบ่งทรัพย์จากจำเลยในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์รวมซึ่งทรัพย์ส่วนใหญ่เป็นรายเดียวกับคดีที่ผู้ร้องสอดเคยฟ้องจำเลย ผู้ร้องสอดได้ร้องสอดเข้ามาในคดีอีก ดังนี้ คำร้องสอดถือว่าเป็นคำฟ้อง ผู้ร้องสอดจึงไม่มีอำนาจร้องสอด (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2002/2511)
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลยเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
โจทก์กับผู้ร้องสอดเป็นสามีภรรยากันโดยชอบด้วยกฎหมาย ต่อมาโจทก์ได้จำเลยเป็นภรรยาโดยไม่ได้จดทะเบียนอีกคนหนึ่ง โจทก์ได้ออกเงินซื้อทรัพย์พิพาทโดยมีเจตนายกให้จำเลยเพื่อไม่ให้เกิดความเดือดร้อนเมื่อมีบุตรเกิดขึ้น ดังนี้เมื่อโจทก์มีเจตนายกให้จำเลย จึงเรียกร้องทรัพย์พิพาทกึ่งหนึ่งจากจำเลยหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแต่งตั้งกรรมการมัสยิดต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบ หากไม่ถูกต้อง กรรมการและผู้รับมอบอำนาจไม่มีอำนาจฟ้อง
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ.2488 มาตรา 8 เพียงแต่เปิดโอกาสให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะจัดให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดหรือไม่ ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ และให้อำนาจคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดระเบียบการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการ พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมิได้กำหนดว่าใครเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ต่อมาจึงมีพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 มาตรา 8 บัญญัติให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนกรรมการมัสยิด และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้ออกระเบียบการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการอิสลามประจำมัสยิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2492 กฎหมายและระเบียบดังกล่าวนี้ออกต่อเนื่องประกอบกันให้ปฏิบัติการแต่งตั้งได้โดยสมบูรณ์หาได้ขัดแย้งกันหรือยกเลิกข้อใดโดยปริยายไม่ ดังนั้น การแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดต้องปฏิบัติโดยครบถ้วน จึงจะเป็นการแต่งตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหามีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดได้เองโดยพลการไม่
เมื่อปรากฏว่าการแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบดังกล่าว จึงไม่มีผลให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการอิสลามประจำมัสยิดโดยชอบ กรรมการไม่มีอำนาจกระทำการแทนมัสยิด ผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อปรากฏว่าการแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบดังกล่าว จึงไม่มีผลให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการอิสลามประจำมัสยิดโดยชอบ กรรมการไม่มีอำนาจกระทำการแทนมัสยิด ผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1353/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจแต่งตั้งกรรมการมัสยิด: ต้องเป็นไปตามกฎหมายและระเบียบอย่างครบถ้วน การแต่งตั้งไม่ชอบด้วยกฎหมายทำให้ไม่มีอำนาจฟ้อง
พระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการศาสนูปถัมภ์ฝ่ายอิสลาม พ.ศ.2488 มาตรา 8 เพียงแต่เปิดโอกาสให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดใช้ดุลพินิจว่าสมควรจะจัดให้มีคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดหรือไม่ ซึ่งจะมีหรือไม่มีก็ได้ และให้อำนาจคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยเป็นผู้กำหนดระเบียบการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการ พระราชกฤษฎีกาดังกล่าวมิได้กำหนดว่าใครเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้งถอดถอนกรรมการอิสลามประจำมัสยิด ต่อมาจึงมีพระราชบัญญัติมัสยิดอิสลาม พ.ศ.2490 มาตรา 8 บัญญัติให้คณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เป็นผู้แต่งตั้งและถอดถอนกรรมการมัสยิด และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยได้ออกระเบียบการแต่งตั้งถอดถอนกรรมการอิสลามประจำมัสยิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.2492 กฎหมายและระเบียบดังกล่าวนี้ออกต่อเนื่องประกอบกันให้ปฏิบัติการแต่งตั้งได้โดยสมบูรณ์หาได้ขัดแย้งกันหรือยกเลิกข้อใดโดยปริยายไม่ ดังนั้น การแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดต้องปฏิบัติโดยครบถ้วน จึงจะเป็นการแต่งตั้งที่ถูกต้องตามกฎหมายคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดหามีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการอิสลามประจำมัสยิดได้เองโดยพลการไม่
เมื่อปรากฏว่าการแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบดังกล่าว จึงไม่มีผลให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการอิสลามประจำมัสยิดโดยชอบกรรมการไม่มีอำนาจกระทำการแทนมัสยิด ผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
เมื่อปรากฏว่าการแต่งตั้งกรรมการอิสลามประจำมัสยิดมิได้ปฏิบัติตามกฎหมายและระเบียบดังกล่าว จึงไม่มีผลให้ผู้ที่ได้รับแต่งตั้ง เป็นกรรมการอิสลามประจำมัสยิดโดยชอบกรรมการไม่มีอำนาจกระทำการแทนมัสยิด ผู้รับมอบอำนาจจากกรรมการจึงไม่มีอำนาจฟ้อง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1331/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยิงต่อเนื่องหลายกรรมต่างกัน ศาลปรับบทฟ้องให้ถูกต้องแต่ไม่เพิ่มโทษ
จำเลยกับพวกยิง ด. ที่พื้นดินคนละ 1 นัด แล้วจำเลยกับพวกขึ้นเรือน อ. แล้วขึ้นเรือน ส. ลงจากเรือน ส. ไปพบ ถ. เดินมา จำเลยกับพวกยิง ถ. อีกคนละ 1 นัด ดังนี้ เป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ต่างกระทง กัน โจทก์ฟ้องบรรยายว่าจำเลยยิง ด. และยิง ถ. หลายนัด พอถือได้ว่าฟ้องเป็นสองกรรมต่างกัน แต่ศาลชั้นต้นลงโทษกรรมเดียว โจทก์มิได้อุทธรณ์ฎีกา ศาลฎีกาปรับบทให้ถูก แต่ไม่เพิ่มเติมโทษ
ยิงคนหนึ่งตาย กระสุนเลยไปถูกอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ตายเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 กรรมเดียวกัน
ยิงคนหนึ่งตาย กระสุนเลยไปถูกอีกคนหนึ่ง แต่ไม่ตายเป็นความผิดตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,80 กรรมเดียวกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1309/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรมที่ดินต้องรับผิดค่าเสียหายจากความผิดของช่างตรี แต่มีสิทธิไล่เบี้ยเรียกค่าเสียหายจากช่างตรีได้
ช่างตรีเจ้าพนักงานกรมที่ดินโจทก์รายงานไม่ตรงตามความจริงฝ่าฝืนระเบียบ ทำให้เจ้าพนักงานที่ดินสั่งแก้รูปโฉนดที่ดินเจ้าของโฉนดเสียหาย กรมที่ดินต้องรับผิดใช้ค่าเสียหายแก่เจ้าของโฉนดกรมที่ดินไล่เบี้ยเอาแก่ช่างตรีผู้เป็นต้นเหตุแห่งความเสียหายได้ อายุความการไล่เบี้ยมี 10 ปี ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164 ไม่ใช่ช่างตรีทำละเมิดต่อกรมที่ดิน