คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
วิทูร เทพพิทักษ์

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 665 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1201/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำฟ้องไม่ชัดเจนเรื่องวันบุกรุก ทำให้จำเลยไม่สามารถต่อสู้คดีได้ ถือเป็นฟ้องไม่ถูกต้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปล้อมรั้วและปลูกเรือนในที่ดินของโจทก์ ขอให้ศาลพิพากษาให้จำเลยใช้ค่าเสียหายกับให้จำเลยและบริวารรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปให้พ้นที่ดินของโจทก์และห้ามเกี่ยวข้องอีก แต่มิได้ระบุวันที่อ้างว่าจำเลยบุกรุกมาในฟ้อง เช่นนี้จำเลยไม่อาจทราบได้ว่าโจทก์หาว่าจำเลยบุกรุกเข้าไปตั้งแต่เมื่อใด เป็นคำฟ้องที่ไม่แสดงโดยแจ้งชัด ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1137/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เงินสินไถ่ที่ดิน: ภาษีเงินได้ของผู้ซื้อฝากและหน้าที่กระทรวงเจ้าสังกัด
เงินสินไถ่ที่ผู้ขายฝากที่ดินชำระแก่ผู้ซื้อฝากเท่ากับราคาขายฝากนั้นเป็นเงินได้ของผู้ซื้อฝากอันพึงประเมินตาม ประมวลรัษฎากร มาตรา39, 40(8) ถ้าไม่ทำตามระเบียบที่กรมสรรพากรวางไว้ก็ไม่ได้รับยกเว้นการคำนวณภาษีเงินได้ตาม มาตรา 42(9) กระทรวงเจ้าสังกัดเสียภาษีแทนเฉพาะเงินเดือนตามส่วนเท่านั้น หากกระทรวงเสียเกินไป ก็เป็นเรื่องที่ต้องคืนกันเองแต่ผู้เสียภาษียังต้องรับผิดต่อกรมสรรพากรเต็มจำนวน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าที่ทำขึ้นโดยรู้ว่าทรัพย์สินกำลังถูกบังคับคดียึดขายทอดตลาด ถือเป็นการฉ้อฉล สัญญาเป็นโมฆะ
ท.เป็นเจ้าของที่ดินและตึกพิพาทซึ่งจำนองไว้แก่ ช. จำเลยรู้ดีว่า ช. กับ ท. กำลังเป็นความกันอยู่และศาลได้พิพากษาให้ ท.ไถ่ถอนจำนองที่ดินและตึกพิพาท ควรจะรู้แล้วว่าหาก ท.ไม่จัดการไถ่ถอนที่ดินและตึกพิพาทอาจจะต้องถูกยึดขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้จำนองแก่ ช. จำเลยก็ยังทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับ ท. มีกำหนด 8 ปี โดยจดทะเบียนซึ่งควรรู้ไดว่าจะก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ตึกพิพาทในเมื่อ ท.ไม่สามารถชำระหนี้จำนองและอาจมีการขายทอดตลาดซึ่งย่อมทำให้ผู้ซื้อเสียเปรียบ ครั้นเมื่อ ท.ไม่ชำระหนี้จำนอง ศาลจึงบังคับคดียึดที่ดินและตึกพิพาทขายทอดตลาด โจทก์เป็นผู้ซื้อได้โดยไม่รู้ว่าตึกพิพาทมีสัญญาเช่าผูกพันอยู่ พฤติการณ์ของ ท.กับจำเลยถือได้ว่า ท.กับจำเลยสมยอมกันทำสัญญาเช่าตึกพิพาทโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้บุคคลที่อาจประมูลซื้อตึกพิพาทในภายหลังเสียเปรียบ เป็นการฉ้อฉล แม้โจทก์จะประมูลซื้อตึกพิพาทในภายหลัง ก็ถือได้ว่าเป็นเจ้าหนี้ตาม ป.พ.พ.มาตรา 237 สัญญาเช่านั้นจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายได้
จำเลยให้การแต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม ไม่ได้บรรยายว่าเคลือบคลุมอย่างไร เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ.มาตรา 177 จำเลยโต้แย้งขึ้นมาในชั้นแก้ฎีกา จึงไม่เป็นประเด็นต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1101/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าที่สมยอมกันเพื่อทำให้ผู้ประมูลซื้อเสียเปรียบ ถือเป็นการฉ้อฉล สัญญาเช่าจึงไม่มีผลผูกพัน
ท. เป็นเจ้าของที่ดินและตึกพิพาทซึ่งจำนองไว้แก่ ช. จำเลยรู้ดีว่า ช. กับ ท. กำลังเป็นความกันอยู่และศาลได้พิพากษาให้ท. ไถ่ถอนจำนองที่ดินและตึกพิพาทควรจะรู้แล้วว่าหากท. ไม่จัดการไถ่ถอน. ที่ดินและตึกพิพาทอาจจะต้องถูกยึดขายทอดตลาดเพื่อชำระหนี้จำนองแก่ ช.จำเลยก็ยังทำสัญญาเช่าตึกพิพาทกับ ท. มีกำหนด 8 ปี โดยจดทะเบียน ซึ่งควรรู้ได้ว่าจะก่อให้เกิดภาระผูกพันแก่ตึกพิพาทในเมื่อ ท.ไม่สามารถชำระหนี้จำนอง และอาจมีการขายทอดตลาดซึ่งย่อมทำให้ผู้ซื้อเสียเปรียบ ครั้นเมื่อ ท. ไม่ชำระหนี้จำนองศาลจึงบังคับคดียึดที่ดินและตึกพิพาทขายทอดตลาดโจทก์เป็นผู้ซื้อได้โดยไม่รู้ว่าตึกพิพาทมีสัญญาเช่าผูกพันอยู่ พฤติการณ์ของ ท.กับจำเลยถือได้ว่าท. กับจำเลยสมยอมกันทำสัญญาเช่าตึกพิพาทโดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นทางให้บุคคลที่อาจประมูลซื้อตึกพิพาทในภายหลังเสียเปรียบเป็นการฉ้อฉลแม้โจทก์จะประมูลซื้อตึกพิพาทในภายหลัง ก็ถือได้ว่าเป็นเจ้าหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา237 สัญญาเช่านั้นจึงไม่มีผลผูกพันโจทก์ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยและเรียกค่าเสียหายได้
จำเลยให้การแต่เพียงว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่ได้บรรยายว่าเคลือบคลุมอย่างไร เป็นคำให้การที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 177 จำเลยโต้แย้งขึ้นมาในชั้นแก้ฎีกาจึงไม่เป็นประเด็นต้องวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1074/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความมรดก: ศาลไม่รับวินิจฉัยข้ออ้างอายุความเมื่อจำเลยอ้างเหตุครอบครองปรปักษ์
จำเลยให้การต่อสู้อายุความขาดสิทธิฟ้องร้องเพราะสามีและจำเลยครอบครองที่พิพาทมากว่า 10 ปี จำเลยฎีกาอ้างอายุความมรดก 1 ปีตั้งแต่สามีจำเลยตาย ศาลไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ่ายเงินบำเหน็จผู้นำจับ: โจทก์ต้องนำสืบระเบียบรัฐมนตรี มิฉะนั้นศาลสั่งจ่ายไม่ได้
กรณีการจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ. 2490 นั้น ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง โจทก์จะต้องกล่าวอ้างหรือนำสืบให้ศาลรู้ถึงระเบียบนั้นด้วย มิฉะนั้นศาลย่อมสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจขอ และศาลต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนด เมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอ แต่โจทก์มิได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้ ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ยกคำขอนั้นเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1072/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจหน้าที่ศาลในการสั่งจ่ายเงินบำเหน็จผู้นำจับ: จำเป็นต้องมีระเบียบรัฐมนตรีเป็นหลักฐาน
กรณีการจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามมาตรา 71 แห่งพระราชบัญญัติการประมง พ.ศ.2490 นั้น ระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ศาลรู้ได้เอง โจทก์จะต้องกล่าวอ้างหรือนำสืบให้ศาลรู้ถึงระเบียบนั้นด้วย มิฉะนั้นศาลย่อมสั่งจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับไม่ได้
การที่ศาลชั้นต้นยกคำขอให้จ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับเพราะเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจขอ โจทก์อุทธรณ์ว่าโจทก์มีอำนาจขอ และศาลต้องจ่ายเงินบำเหน็จแก่ผู้นำจับตามระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดเมื่อศาลอุทธรณ์เห็นว่าโจทก์มีอำนาจขอแต่โจทก์มิได้นำสืบหรือแนบระเบียบที่รัฐมนตรีกำหนดมาท้ายฟ้องให้ศาลรู้ศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจพิพากษาให้ยกคำขอนั้นเสียได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1034/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายฝากโดยสำคัญผิดในสาระสำคัญของทรัพย์สิน ทำให้สัญญาเป็นโมฆียะและเรียกเงินคืนได้
ที่ดินของจำเลยถูกจำกัดสิทธิการปลูกสร้างเพราะถูกสายไฟฟ้าแรงสูงผ่านตาม พระราชบัญญัติการไฟฟ้ายันฮี พ.ศ.2500 จำเลยขายฝากแก่โจทก์ในราคาสูงโดยโจทก์ไม่ทราบ เป็นความสำคัญผิดในสารสำคัญของคุณสมบัติของทรัพย์การแสดงเจตนาเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 120 โจทก์บอกล้างและเรียกเงินค่าซื้อฝากคืนได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัว: การผิดสัญญาต้องพิจารณาตามเหตุผลประกอบ หากเจ้าพนักงานสอบสวนผ่อนปรนได้ย่อมไม่ถือว่าผิดสัญญา
พฤติการณ์ที่ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยผิดสัญญาประกันส่งตัวผู้ต้องหาตามกำหนดนัด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1019/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันตัว: การผ่อนผันนัดส่งตัวและการพิจารณาเจตนาผิดสัญญา
กำหนดส่งตัวผู้ต้องหาต่อพนักงานสอบสวนตามสัญญาประกันนั้นมิใช่จะถือเคร่งผ่อนผันไม่ได้ ปรากฏว่าในวันก่อนถึงกำหนดนัดส่งตัว ส.1วัน ส. ได้มาพบโจทก์และนำเงินและเช็คมามอบแก่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเพื่อชำระหนี้ตามเช็ค โจทก์ออกใบรับให้ ส. ไว้ วันนัดส่งตัวอยู่ระหว่างผ่อนผันเพื่อให้ประนีประนอมยอมความใช้เงินตามเช็คเท่ากับยังไม่มีวันนัดส่งตัวแน่นอนนั่นเองเมื่อจำเลยไม่ส่งตัวให้โจทก์ในวันนัดโจทก์จะถือว่าจำเลยผิดสัญญาประกันหาได้ไม่ จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องเอาเบี้ยปรับจากจำเลย
of 67