คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุดม จาละ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 530 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2661/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย แม้เกิดจากบันดาลโทสะ แต่การลงมือโดยเจตนาและใช้อาวุธอันตราย ถือเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่น
กรณีเกิดจากเป็นปากเสียงแล้วบันดาลโทสะสมัครใจวิวาทจะเข้าทำร้ายกันและจำเลยเป็นฝ่ายลงมือแทงผู้ตายแล้ววิ่งหนีถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัว
การที่จำเลยใช้มีดพับสปริงปลายแหลมยาว 1 คืบ เป็นอาวุธแทงตรงๆ ไปที่หน้าอกของผู้ตาย บาดแผลรอยแทงยาว 2.51 เซนติเมตร ลึก 8 เซนติเมตร ทะลุปอดและเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หัวใจ แสดงว่าจำเลยแทงไปโดยแรงตรงส่วนสำคัญของร่างกายโดยสำนึกและย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยได้ว่าเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2661/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา: การแทงด้วยอาวุธอันตรายโดยเล็งเห็นผลถึงชีวิต ไม่ถือเป็นการป้องกันตัว
กรณีเกิดจากเป็นปากเสียงแล้วบันดาลโทสะสมัครใจวิวาทจะเข้าทำร้ายกัน และจำเลยเป็นฝ่ายลงมือแทงผู้ตายแล้ววิ่งหนีไป ถือไม่ได้ว่าจำเลยกระทำไปเพื่อป้องกันตัว
การที่จำเลยใช้มีดพับสปริงปลายแหลมยาว 1 คืบ เป็นอาวุธแทงตรง ๆ ไปที่หน้าอกของผู้ตาย บาดแผลรอยแทงยาว 2.51 เซนติเมตร ลึก 8 เซนติเมตร ทะลุปอดและเส้นเลือดแดงใหญ่ที่หัวใจ แสดงว่าจำเลยแทงไปโดยแรงตรงส่วนสำคัญของร่างกายโดยสำนึกและย่อมเล็งเห็นผลของการกระทำของจำเลยได้ว่าเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ จำเลยจึงต้องมีความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าจากการแทงต่อเนื่องหลังห้ามศึกทะเลาะวิวาท ศาลฎีกาตัดสินผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ผู้ตายถูกต่อยเซไปเพราะเข้าไปห้ามมิให้คนสองฝ่ายทะเลาะกัน แล้วจำเลยวิ่งเข้าไปแทงผู้ตายฝ่ายเดียว พฤติการณ์เช่นนี้หาใช่เป็นการฉุกละหุกจนจำเลยไม่อาจกำหนดแน่ได้ว่าจะแทงให้ถูกผู้ตายตรงไหนไม่ได้ไม่ การที่จำเลยแทงถูกชายโครงด้านซ้ายของผู้ตายเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะแทงให้ถูกผู้ตายตรงอวัยวะสำคัญ ผู้ตายมีบาดแผลเป็นรูปปีกกายาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร ทะลุเข้าปอดและทะลุช่องท้องไปถูกม้าม แสดงว่าจำเลยจ้วงแทงจากเบื้องสูงลงไปโดยแรงด้วยเหล็กขูดชาร์ฟยาว 21 เซนติเมตร แม้จะแทงเพียงทีเดียวก็ย่อมแลเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้ถูกแทงถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2615/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแทงผู้อื่นเสียชีวิตโดยเจตนา: พฤติการณ์สำคัญบ่งชี้เจตนาฆ่า
ผู้ตายถูกต่อยเซไปเพราะเข้าไปห้ามมิให้คนสองฝ่ายทะเลาะกัน แล้วจำเลยวิ่งเข้าไปแทงผู้ตายฝ่ายเดียว พฤติการณ์เช่นนี้หาใช่เป็นการฉุกละหุกจนจำเลยไม่อาจกำหนดแน่ได้ว่าจะแทงให้ถูกผู้ตายตรงไหนไม่ได้ไม่การที่จำเลยแทงถูกชายโครงด้านซ้ายของผู้ตายเห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาจะแทงให้ถูกผู้ตายตรงอวัยวะสำคัญ ผู้ตายมีบาดแผลเป็นรูปปีกกายาวประมาณ 4.5 เซนติเมตร ทะลุเข้าปอดและทะลุช่องท้องไปถูกม้าม แสดงว่าจำเลยจ้วงแทงจากเบื้องสูงลงไปโดยแรงด้วยเหล็กขูดชาร์ฟยาว 21 เซนติเมตรแม้จะแทงเพียงทีเดียวก็ย่อมแลเห็นผลได้ว่าอาจทำให้ผู้ถูกแทงถึงแก่ความตายได้ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2337/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจฟ้องของหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดในคดีจัดการห้างหุ้นส่วน: การโอนทรัพย์สินชำระหนี้เป็นอำนาจจัดการของหุ้นส่วนผู้จัดการ
การที่หุ้นส่วนผู้จัดการของห้างหุ้นส่วนจำกัดโอนขายที่ดินของห้างหุ้นส่วนจำกัดเพื่อชำระหนี้จำนองของห้าง เป็นการจัดกิจการของห้างอย่างหนึ่งซึ่งหุ้นส่วนผู้จัดการมีอำนาจหน้าที่ที่จะทำได้
ผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไม่มีอำนาจฟ้องขอให้เพิกถอนการโอนขายที่ดินดังกล่าว เพราะการฟ้องคดีเป็นการจัดกิจการของห้างอย่างหนึ่งซึ่งเป็นอำนาจของหุ้นส่วนผู้จัดการ ผู้เป็นหุ้นส่วนจำกัดความรับผิดไม่มีอำนาจที่จะฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน, สิทธิครอบครอง, การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต, และค่าเสียหายจากการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เฉพาะภายในเส้นสีแดงประตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ปรากฏว่าตามรูปแผนที่ได้แสดงเขตที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกไว้ 3 ด้าน ด้านเหนือจดถนนสาธารณะ ด้านใต้จดลำน้ำแม่ประจันต์ ด้านตะวันตกจดลำห้วย แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทำให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ในระหว่างการพิจารณาได้มีการทำแผนที่พิพาทใหม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรองความถูกต้อง แต่เป็นผลมาจากการที่จำเลยที่ 2 แถลงว่า จำเลยที่ 2 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแผนที่ใหม่ หากโจทก์จะทำแผนที่ใหม่ก็ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไปเอง ซึ่งเท่ากับจำเลยยินยอมให้โจทก์กระทำไปฝ่ายเดียวได้ แม้แผนที่พิพาทที่ทำมาใหม่ตามที่โจทก์นำชี้จะเหมือนกับแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ ก็เป็นแผนที่พิพาทที่ชอบ และแม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินภายในวงสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ศาลก็มีอำนาจพิพากษาว่า ที่พิพาทในเส้นประสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ หาได้พิพากษาผิดไปจากคำขอท้ายฟ้องแต่ประการใดไม่
เมื่อที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ครอบครอง การที่จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีอำนาจโอนขาย จำเลยร่วมหาได้สิทธิ์ในที่พิพาทไม่ ถึงหากจะซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตก็จะนำมาตรา 1299, 1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับมิได้
จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โดยคำแนะนำของทนายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รู้ดีว่าโจทก์ จำเลยที่ 2 กำลังมีเรื่องพิพาทกันอยู่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ แต่ก็ยังแนะนำให้จำเลยร่วมซื้อจากจำเลยที่ 2 เมื่อเป็นเช่นนี้จะฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทของจำเลยร่วมเป็นไปโดยสุจริตหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิ์ห้ามจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้
เมื่อมีการละเมิดย่อมมีความเสียหาย การที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่พิพาทของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายที่ขาดประโยชน์อันควรจะได้รับในที่พิพาท แม้โจทก์จะยังไม่เข้าทำประโยชน์อย่างใดในที่พิพาท ศาลก็ยังกำหนดว่าค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2302/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกที่ดิน, ความสมบูรณ์ของฟ้อง, แผนที่พิพาท, การซื้อขายที่ดินโดยไม่สุจริต และค่าเสียหายจากการละเมิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 ที่ 2 ได้บุกรุกเข้าไปในที่ดินของโจทก์เฉพาะภายในเส้นสีแดงประตามรูปแผนที่สังเขปท้ายฟ้อง ปรากฏว่าตามรูปแผนที่ได้แสดงเขตที่กล่าวหาว่าจำเลยบุกรุกไว้ 3 ด้าน ด้านเหนือจดถนนสาธารณะ ด้านใต้จดลำน้ำแม่ประจันต์ ด้านตะวันตกจดลำห้วย แผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ฟ้องของโจทก์ดังกล่าวได้บรรยายโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาทำให้จำเลยเข้าใจได้แล้ว จึงไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ในระหว่างการพิจารณาได้มีการทำแผนที่พิพาทใหม่ จำเลยที่ 2 ไม่รับรองความถูกต้อง แต่เป็นผลมาจากการที่จำเลยที่ 2 แถลงว่าจำเลยที่ 2 ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องทำแผนที่ใหม่ หากโจทก์จะทำแผนที่ใหม่ก็ให้โจทก์เสียค่าธรรมเนียมไปเอง ซึ่งเท่ากับจำเลยยินยอมให้โจทก์กระทำไปฝ่ายเดียวได้ แม้แผนที่พิพาทที่ทำมาใหม่ตามที่โจทก์นำชี้จะเหมือนกับแผนที่สังเขปท้ายฟ้องของโจทก์ ก็เป็นแผนที่พิพาทที่ชอบ และแม้คำขอท้ายฟ้องจะขอให้ศาลพิพากษาว่า ที่ดินภายในวงสีแดงตามแผนที่สังเขปท้ายฟ้องเป็นของโจทก์ ศาลก็มีอำนาจพิพากษาว่า ที่พิพาทในเส้นประสีแดงในแผนที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ หาได้พิพากษาผิดไปจากคำขอท้ายฟ้องแต่ประการใดไม่
เมื่อที่พิพาทเป็นของโจทก์ โจทก์เป็นผู้ครอบครอง การที่จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ใช่เจ้าของ ไม่มีอำนาจโอนขาย จำเลยร่วมหาได้สิทธิในที่พิพาทไม่ ถึงหากจะซื้อที่พิพาทไว้โดยสุจริตก็จะนำมาตรา 1299,1300 แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาบังคับมิได้
จำเลยร่วมซื้อที่พิพาทจากจำเลยที่ 2 หลังจากโจทก์ฟ้องคดีนี้แล้ว โดยคำแนะนำของทนายจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้รู้ดีว่าโจทก์ จำเลยที่ 2 กำลังมีเรื่องพิพาทกันอยู่เกี่ยวกับที่ดินพิพาทนี้ แต่ก็ยังแนะนำให้จำเลยร่วมซื้อจากจำเลยที่ 2 เมื่อเป็นเช่นนี้จะฟังว่าการซื้อขายที่ดินพิพาทของจำเลยร่วมเป็นไปโดยสุจริตหาได้ไม่ โจทก์จึงมีสิทธิห้ามจำเลยร่วมเข้าเกี่ยวข้องกับที่พิพาทได้
เมื่อมีการละเมิดย่อมมีความเสียหาย การที่จำเลยที่1 ที่ 2 บุกรุกเข้าไปในที่พิพาทของโจทก์ โจทก์จึงได้รับความเสียหายที่ขาดประโยชน์อันควรจะได้รับในที่พิพาท แม้โจทก์จะยังไม่เข้าทำประโยชน์อย่างใดในที่พิพาท ศาลก็ยังกำหนดค่าเสียหายให้จำเลยชดใช้ให้แก่โจทก์ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองอุทธรณ์ต้องมีบันทึกชัดเจน หากไม่บันทึก ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกอุทธรณ์ได้
การรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นจะต้องบันทึกไว้ให้ชัดแจ้งว่ารับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 มิใช่เพียงแต่สั่งรับอุทธรณ์เท่านั้น มิฉะนั้นศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกอุทธรณ์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2261/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองให้อุทธรณ์ต้องบันทึกชัดแจ้ง หากไม่บันทึก ศาลอุทธรณ์มีอำนาจยกอุทธรณ์ได้
การรับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงนั้น ผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดีนั้นในศาลชั้นต้นจะต้องบันทึกไว้ให้ชัดแจ้งว่ารับรองให้อุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 230 มิใช่เพียงแต่สั่งรับอุทธรณ์เท่านั้น มิฉะนั้นศาลอุทธรณ์ย่อมมีอำนาจยกอุทธรณ์โดยไม่จำต้องวินิจฉัยประเด็นแห่งอุทธรณ์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 242(1)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2237/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเงินกู้จากการสู่ขอและเงินสินสอด แม้ไม่จดทะเบียนสมรสก็ใช้บังคับได้
ให้สินสอดโดยทำสัญญากู้ให้ แม้เงินที่ลงไว้ในสัญญากู้จะไม่ใช่สินสอดตามความหมายของประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 1436 เพราะเป็นการแต่งงานกันตามประเพณีโดยคู่กรณีไม่ถือเอาการจดทะเบียนสมรสเป็นสำคัญก็ตาม แต่เมื่อจำเลยตกลงจะให้เงินตอบแทนแก่โจทก์ในการที่บุตรสาวของโจทก์จะแต่งงานอยู่กินกับบุตรชายของจำเลยโดยทำสัญญากู้ให้ไว้ดังกล่าว เมื่อได้มีการแต่งงานอยู่กินเป็นสามีภรรยากันแล้วจำเลยก็ต้องชำระเงินดังกล่าวแก่โจทก์ โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามสัญญากู้ได้
of 53