พบผลลัพธ์ทั้งหมด 530 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 963/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวที่พอสมควรแก่เหตุ และความผิดฐานร่วมกันทำร้ายผู้อื่น
จำเลยที่ 1 กับที่ 2 เคยมีเรื่องชกต่อยกันวันเกิดเหตุ จำเลยที่ 2,3 กับพวกไปคอยทีอยู่ พอจำเลยที่ 1 เดินผ่านมา จำเลยที่ 2,3 ยิงจำเลยที่ 1 ราว 4,5 นัด จำเลยที่ 1 วิ่งหนีจำเลยที่ 2, 3 ยังยิงมาทางจำเลยที่ 1 อีก 4-5 นัด จำเลยที่ 1จึงยิงโต้ตอบไป 1 นัดแล้ววิ่งหนีไป การกระทำของจำเลยที่ 1 เป็นการป้องกันตัวพอสมควรแก่เหตุ เพราะไม่ทราบว่าจำเลยที่ 2,3 จะไล่ยิงต่อไปหรือไม่ และกรณีดังนี้ไม่เป็นการเข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้กัน
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 4 เบิกความเป็นพยาน ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้ทนายของจำเลยที่ 3 ซักค้าน แม้จะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 233 แต่เมื่อศาลไม่ได้นำคำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 4 มาวินิจฉัยให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 3 ย่อมไม่มีผลกระทบกระเทือนการรับฟังคำพยานนั้น ๆ ว่าทำให้จำเลยที่ 3 เสียเปรียบ
โจทก์บรรยายฟ้องในตอนต้นว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง จำเลย ที่ 2, 3, 4 และผู้ตายฝ่ายหนึ่ง เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ยิงกัน ในการชุลมุนนี้ผู้ตายถูกกระสุนปืนตาย จำเลยที่ 2 ถูกกระสุนปืนบาดเจ็บ บ. ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุได้รับอันตรายสาหัสและตอนท้ายบรรยายว่า จำเลยที่ 1 ยิงจำเลยที่ 2 และผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจำเลยที่ 2,3,4 ก็ยิงจำเลยที่ 1 โดยเจตนาฆ่าถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องแยกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294, 299 กับความผิดตามมาตรา 288, 80 ออกจากกันให้เห็นได้ชัด ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ได้ความว่า กระสุนปืนที่จำเลยที่ 2,3 ยิงจำเลยที่1 นั้นพลาดไปถูก บ. ได้รับอันตรายสาหัส แต่ฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุมาตรา 60 มาด้วย ศาลก็นำมาตรา 60 มาปรับแก่คดีได้ เพราะมิใช่เป็นบทกำหนดโทษที่จะใช้ลงแก่จำเลย
เมื่อจำเลยที่ 1 และที่ 4 เบิกความเป็นพยาน ศาลชั้นต้นไม่ยอมให้ทนายของจำเลยที่ 3 ซักค้าน แม้จะเป็นการดำเนินกระบวนพิจารณาที่ไม่ชอบด้วย ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 233 แต่เมื่อศาลไม่ได้นำคำเบิกความของจำเลยที่ 1 และที่ 4 มาวินิจฉัยให้เป็นโทษแก่จำเลยที่ 3 ย่อมไม่มีผลกระทบกระเทือนการรับฟังคำพยานนั้น ๆ ว่าทำให้จำเลยที่ 3 เสียเปรียบ
โจทก์บรรยายฟ้องในตอนต้นว่าจำเลยที่ 1 ฝ่ายหนึ่ง จำเลย ที่ 2, 3, 4 และผู้ตายฝ่ายหนึ่ง เข้าร่วมในการชุลมุนต่อสู้ยิงกัน ในการชุลมุนนี้ผู้ตายถูกกระสุนปืนตาย จำเลยที่ 2 ถูกกระสุนปืนบาดเจ็บ บ. ซึ่งอยู่ใกล้ที่เกิดเหตุได้รับอันตรายสาหัสและตอนท้ายบรรยายว่า จำเลยที่ 1 ยิงจำเลยที่ 2 และผู้ตายโดยเจตนาฆ่าจำเลยที่ 2,3,4 ก็ยิงจำเลยที่ 1 โดยเจตนาฆ่าถือว่าโจทก์ได้บรรยายฟ้องแยกความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 294, 299 กับความผิดตามมาตรา 288, 80 ออกจากกันให้เห็นได้ชัด ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
ได้ความว่า กระสุนปืนที่จำเลยที่ 2,3 ยิงจำเลยที่1 นั้นพลาดไปถูก บ. ได้รับอันตรายสาหัส แต่ฟ้องโจทก์ไม่ได้ระบุมาตรา 60 มาด้วย ศาลก็นำมาตรา 60 มาปรับแก่คดีได้ เพราะมิใช่เป็นบทกำหนดโทษที่จะใช้ลงแก่จำเลย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญา จำเลยกระทำผิดต่อเจ้าหน้าที่รัฐ โจทก์ไม่เป็นผู้เสียหายโดยตรง จึงไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันกระทำผิด โดยจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอใบสุทธิโดยไม่มีหลักฐานการสอบไล่ได้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูใหญ่กรอกข้อความอันเป็นเท็จรับรองในแบบสอบสวนขอรับใบสุทธิหรือใบแทนเกิน 10 ปี เสนอขออนุญาตออกให้ตามคำขอ เป็นเหตุให้นายอำเภอและเจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการอำเภอหลงเชื่อ อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ออกใบสุทธิซึ่งเป็นเอกสารปลอมให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 นำไปเป็นหลักฐานสมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้าน ต่อคณะกรรมการรับสมัครคณะกรรมการรับใบสมัครของจำเลยที่ 1 ไว้ และเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ได้รับเลือก โจทก์ในฐานะผู้สมัครรับเลือกด้วยได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ดังนี้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐเป็นผู้เสียหายโดยตรง การที่โจทก์ไม่ได้รับเลือก หาใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยไม่ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะนำคดีมาฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 793/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องคดีอาญา ผู้เสียหายต้องเป็นผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงจากการกระทำของจำเลย
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยที่ 1, 2 ร่วมกันกระทำผิด โดยจำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องขอใบสุทธิโดยไม่มีหลักฐานการสอบไล่ได้ จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นครูใหญ่กรอกข้อความอันเป็นเท็จรับรองในแบบสอบสวนขอรับใบสุทธิหรือใบแทนเกิน 10 ปี เสนอขออนุญาตออกให้ตามคำขอ เป็นเหตุให้นายอำเภอและเจ้าหน้าที่แผนกศึกษาธิการอำเภอหลงเชื่อ อนุญาตให้จำเลยที่ 2 ออกใบสุทธิซึ่งเป็นเอกสารปลอมให้จำเลยที่ 1 แล้วจำเลยที่ 1 นำไปเป็นหลักฐานสมัครรับเลือกเป็นผู้ใหญ่บ้านต่อคณะกรรมการรับสมัครคณะกรรมการรับใบสมัครของจำเลยที่ 1 ไว้และเป็นผลให้จำเลยที่ 1 ได้รับเลือก โจทก์ในฐานะผู้สมัครรับเลือกด้วยได้รับความเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1, 2 ฐานปลอมและใช้เอกสารปลอม ดังนี้ ถือได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นการกระทำต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐ รัฐเป็นผู้เสียหายโดยตรง การที่โจทก์ไม่ได้รับเลือก หาใช่เป็นผลโดยตรงจากการกระทำของจำเลยไม่ โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามกฎหมายที่จะนำคดีมาฟ้องได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 606/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ฎีกาต้องห้ามตามมาตรา 219 เมื่อศาลชั้นต้น-อุทธรณ์ยกฟ้องข้อหาลักทรัพย์แล้ว โจทก์ร่วมฎีกาขอลงโทษในข้อหาเดิมไม่ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยข้อหาลักทรัพย์หรือรับของโจร ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยกระทำผิดฐานรับของโจร จำเลยอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าคดีฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นผู้กระทำผิด พิพากษายกฟ้องโจทก์ เช่นนี้ โจทก์ร่วมจะฎีกาในข้อเท็จจริงขอให้ลงโทษจำเลยในข้อหาลักทรัพย์อีกไม่ได้เพราะความผิดฐานลักทรัพย์นั้น ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยอาศัยข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาของโจทก์ร่วม ศาลฎีกาก็วินิจฉัยให้ไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องเพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว และหลักเกณฑ์ 'คดีมีมูล' ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาคำร้อง และในวันนัดได้สอบข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วเห็นว่าวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนต่อไป วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยเสียนั้น ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้ว
ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยล้มละลายจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 หรือ 10 คำว่าคดีมีมูล ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 17 ซึ่งเป็นบทว่าด้วยการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้ในระหว่างนั้นจึงมีความหมายว่ามีมูลที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้หาได้หมายความเพียงมีมูลเป็นหนี้สินกันอยู่จริงแต่อย่างเดียวไม่
ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยล้มละลายจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 หรือ 10 คำว่าคดีมีมูล ตามที่บัญญัติไว้ใน มาตรา 17 ซึ่งเป็นบทว่าด้วยการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้ในระหว่างนั้นจึงมีความหมายว่ามีมูลที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้หาได้หมายความเพียงมีมูลเป็นหนี้สินกันอยู่จริงแต่อย่างเดียวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไต่สวนคำร้องเพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์ชั่วคราว และหลักเกณฑ์ 'คดีมีมูล' ตาม พ.ร.บ.ล้มละลาย
จำเลยยื่นคำร้องขอให้ศาลชั้นต้นสั่งเพิกถอนคำสั่งพิทักษ์ทรัพย์จำเลยชั่วคราว ศาลชั้นต้นนัดพิจารณาคำร้อง และในวันนัดได้สอบข้อเท็จจริงจากคู่ความแล้วเห็นว่าวินิจฉัยได้โดยไม่ต้องทำการไต่สวนต่อไป วินิจฉัยให้ยกคำร้องของจำเลยเสียนั้น ถือได้ว่าเป็นการไต่สวนคำร้องของจำเลยแล้ว
ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยล้มละลายจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 หรือ 10 คำว่าคดีมีมูล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 ซึ่งเป็นบทว่าด้วยการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้ในระหว่างนั้นจึงมีความหมายว่ามีมูลที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้หาได้หมายความเพียงมีมูลเป็นหนี้สินกันอยู่จริงแต่อย่างเดียวไม่
ตามพระราชบัญญัติล้มละลายฯ ศาลจะพิพากษาให้จำเลยล้มละลายจะต้องพิจารณาให้ได้ความจริงตามหลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ในมาตรา 9 หรือ 10 คำว่าคดีมีมูล ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 17 ซึ่งเป็นบทว่าด้วยการคุ้มครองชั่วคราวในระหว่างพิจารณาเพื่อป้องกันความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของลูกหนี้ในระหว่างนั้นจึงมีความหมายว่ามีมูลที่จะพิพากษาให้ลูกหนี้ล้มละลายได้หาได้หมายความเพียงมีมูลเป็นหนี้สินกันอยู่จริงแต่อย่างเดียวไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับคดีตามคำพิพากษาตามยอมต้องเรียงตามลำดับ หากไม่ปรากฏเหตุโอนทรัพย์ไม่ได้ ศาลมิอาจบังคับยึดทรัพย์เพื่อชำระเงินได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอม ให้จำเลยโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์แต่ถ้ามีเหตุโอนปั๊มน้ำมันไม่ได้ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ห้าล้านบาทเช่นนี้ การบังคับคดี โจทก์จะต้องบังคับให้จำเลยโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเสียก่อน ถ้ามีเหตุโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ไม่ได้ จึงให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อให้ชำระเงินห้าล้านบาทตามที่โจทก์ขอ โดยไม่ปรากฏเหตุที่จำเลยไม่อาจโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ได้นั้น ถือว่ามิได้ดำเนินการตามคำพิพากษาตามยอมเป็นขั้น ๆ ไป ย่อมยกหมายบังคับคดีนั้นเสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 578/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
บังคับคดีตามยอมต้องเรียงลำดับขั้นตอน หากโจทก์ขอให้ชำระเงินก่อนโอนทรัพย์ ศาลต้องยกหมายบังคับคดี
ศาลชั้นต้นพิพากษาตามยอมให้จำเลยโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์แต่ถ้ามีเหตุโอนปั๊มน้ำมันไม่ได้ ให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ห้าล้านบาทเช่นนี้ การบังคับคดี โจทก์จะต้องบังคับให้จำเลยโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ตามคำพิพากษาตามยอมเสียก่อน ถ้ามีเหตุโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ไม่ได้ จึงให้จำเลยใช้เงินแก่โจทก์ ที่ศาลชั้นต้นสั่งออกหมายบังคับคดียึดทรัพย์จำเลยเพื่อให้ชำระเงินห้าล้านบาทตามที่โจทก์ขอโดยไม่ปรากฏเหตุที่จำเลยไม่อาจโอนปั๊มน้ำมันให้โจทก์ได้นั้น ถือว่ามิได้ดำเนินการตามคำพิพากษาตามยอมเป็นขั้น ๆ ไป ย่อมยกหมายบังคับคดีนั้นเสียได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 296
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 577/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การนำสืบไม่สมบูรณ์ตามฟ้อง และสิทธิครอบครองที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ
ที่พิพาทเป็นที่ดินไม่มีหนังสือสำคัญ โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยอ้างว่าจำเลยกับพวกบุกรุกเข้าทำการเพาะปลูกพืชไร่ในที่พิพาทซึ่งโจทก์ครอบครองทำประโยชน์อยู่ อันเป็นเรื่องที่โจทก์อ้างว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยไม่มีสิทธิที่จะอ้างได้ แต่กลับนำสืบว่าจำเลยเข้าไปในที่พิพาทโดยอาศัยสิทธิการเช่าจากโจทก์ กรณีเป็นที่เห็นได้ว่าโจทก์นำสืบไม่สมสภาพข้อหาข้ออ้างในคำฟ้อง และเป็นการนำสืบนอกฟ้องนอกประเด็นคำฟ้อง อันไม่ชอบที่จะนำสืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 572/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจ้าหน้าที่รัฐปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ทำให้ผู้อื่นใช้เอกสารปลอมได้ประโยชน์
จำเลยซึ่งเป็นปลัดอำเภอมีหน้าที่ทำตั๋วรูปพรรณสัตว์พาหนะลงลายมือชื่อประทับตราตำแหน่งลงในตั๋วรูปพรรณที่รู้ว่า ปลอมลายพิมพ์นิ้วมือเจ้าของสัตว์ ทำให้มีผู้ใช้เอกสารนั้นอ้างเมื่อถูกตรวจค้น แม้จะไม่ปรากฏว่าจำเลยได้รับผลประโยชน์แต่ประการใด แต่ก็เป็นการทำให้จำเลยอื่นได้รับประโยชน์ในการใช้เอกสารนั้นไปอ้างเมื่อถูกตรวจค้นหรือถูกจับ ถือว่าเป็นการกระทำโดยทุจริตเช่นกัน จึงมีความผิดตามมาตรา 157,161 และ 162(2)