คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
อุดม จาละ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 530 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้จากการซื้อขายและการรับสภาพหนี้: การสะดุดหยุดและเริ่มนับอายุความใหม่
โจทก์จำเลยติดต่อซื้อขายเศษยางกัน โดยจำเลยรับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์จำนวนหนึ่ง เมื่อจำเลยนำยางและเศษยางมาขายให้โจทก์ก็คิดราคายางหักจากเงินที่จำเลยรับไปแล้ว ต่อมามีการคิดบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับว่ายังมีเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้าเหลืออยู่จำนวนหนึ่ง โจทก์ฟ้องเรียกเงินที่เหลือนั้นคือ ดังนี้ หาใช่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา 165 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ จะนำอายุความ 2 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164 (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1326/2511)
จำเลยทำหนังสือรับสารภาพหนี้ให้โจทก์ มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้ที่จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172, 181 ตามหนังสือรับสภาพหนี้นี้จำเลยรับว่าจะผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2508 ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสุดสิ้นลงเมื่อครบกำหนด 2 ปี ในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2510 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้นซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความหนี้จากการซื้อขายและการรับสภาพหนี้: การสะดุดหยุดและเริ่มต้นนับอายุความใหม่
โจทก์จำเลยติดต่อซื้อขายเศษยางกัน โดยจำเลยรับเงินล่วงหน้าไปจากโจทก์จำนวนหนึ่งเมื่อจำเลยนำยางและเศษยางมาขายให้โจทก์ก็คิดราคายางหักจากเงินที่จำเลยรับไปแล้ว ต่อมามีการคิดบัญชีกันแล้วจำเลยได้ทำหนังสือรับว่ายังมีเงินค่าเศษยางที่จำเลยรับไปล่วงหน้าเหลืออยู่จำนวนหนึ่งโจทก์ฟ้องเรียกเงินที่เหลือนั้นคืน ดังนี้ หาใช่โจทก์ฟ้องเรียกหนี้ค่าที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองไปตามมาตรา 165(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ไม่ จะนำอายุความ 2 ปี มาใช้บังคับไม่ได้ ต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามมาตรา 164(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 1326/2511)
จำเลยทำหนังสือรับสภาพหนี้ให้โจทก์ มีผลทำให้อายุความสะดุดหยุดลง และเริ่มนับอายุความขึ้นใหม่ตามอายุความแห่งมูลหนี้ที่จำเลยรับสภาพต่อโจทก์ตั้งแต่เวลาเมื่อเหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงนั้นสิ้นสุดไปตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 172,181 ตามหนังสือรับสภาพหนี้นี้จำเลยรับว่าจะผ่อนชำระหนี้โจทก์ให้เสร็จสิ้นภายในเวลา 2 ปี เริ่มตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2508 ฉะนั้น เหตุที่ทำให้อายุความสะดุดหยุดลงจึงสุดสิ้นลงเมื่อครบกำหนด 2 ปี ในวันสุดท้ายของเดือนกุมภาพันธ์ 2510 และเริ่มนับอายุความใหม่ตั้งแต่วันนั้นซึ่งเป็นวันที่อาจบังคับสิทธิเรียกร้องได้เป็นต้นไป

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำ: ที่ดินต่างโฉนด แม้มีที่มาจากการแบ่งแยกเดิม ศาลรับฟังได้หากประเด็นกรรมสิทธิ์ยังไม่เคยถูกวินิจฉัย
คดีก่อนโจทก์ฟ้องขอให้บังคับจำเลยกับพวกจดทะเบียนโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินบางส่วนในโฉนดเลขที่ 453 ซึ่งโจทก์ได้กรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ตามคำสั่งศาลครั้นช่างแผนที่ไปทำแผนที่พิพาทในคดีดังกล่าว กลับปรากฏว่าโจทก์นำชี้ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 1908 มิใช่อยู่ในเขตโฉนดเลขที่ 453 ดังโจทก์ฟ้อง ศาลชั้นต้นจึงสั่งงดสืบพยานทั้ง สองฝ่ายแล้วพิพากษายกฟ้อง โดยวินิจฉัยว่าโจทก์ไม่ได้ครอบครองที่ดินโฉนดเลขที่ 453 ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน คดีถึงที่สุดแล้ว โจทก์มาฟ้องคดีนี้อ้างว่าโจทก์มีกรรมสิทธิ์โดยการครอบครองปรปักษ์ในที่ดินโฉนดเลขที่1908 ซึ่งจำเลยแบ่งแยกออกจากโฉนดเลขที่ 453 เดิม ดังนี้ ที่พิพาทในคดีก่อนกับคดีนี้จึงเป็นที่ดินคนละโฉนดกันและประเด็นคดีนี้ที่ว่าโจทก์ได้กรรมสิทธิ์ที่พิพาทในโฉนดเลขที่ 1908 โดยการครอบครองปรปักษ์หรือไม่ คดีก่อนยังไม่ได้วินิจฉัย จึงไม่เป็นฟ้องซ้ำ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การต่อสู้ว่าสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินคืน จำเลยทั้งสองให้การใจความว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้จริงโดยโจทก์ตกลงซื้อไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 และได้วางมัดจำไว้ 50,000 บาท แต่โจทก์ขอให้จำเลยเขียนเป็นสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานการวางมัดจำ ครั้นเมื่อจำเลยส่งมอบไม้ให้โจทก์ตามสัญญาโจทก์กลับไม่ยอมตรวจรับไม้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามคำให้การของจำเลยเท่ากับต่อสู้ว่าสัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องไม่สมบูรณ์ซึ่งจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญากู้ที่ไม่สมบูรณ์: จำเลยมีสิทธิสืบพยานเพื่อต่อสู้ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินคืน จำเลยทั้งสองให้การใจความว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้จริง โดยโจทก์ตกลงซื้อไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 และได้วางมัดจำไว้ 50,000 บาท แต่โจทก์ขอให้จำเลยเขียนเป็นสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานการวางมัดจำ ครั้นเมื่อจำเลยส่งมอบไม่ให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์กลับไม่ยอมตรวจรับไม้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ตามคำให้การของจำเลยเท่ากับต่อสู้ว่าสัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องไม่สมบูรณ์ ซึ่งจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินเพื่อหากำไร ถือเป็นผู้ประกอบการค้า ต้องเสียภาษี
คำว่าผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มีความหมายกว้างกว่าคำว่าพ่อค้าในมาตรา 165 (1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ เพราะคำว่าการค้าในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 หมายความรวมถึงการประกอบธุรกิจและอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ดินหรือไม่ จึงมิใช่จะอาศัยแต่เพียงโจทก์ไปซื้อที่ดิน แล้วขายไปเป็นปกติธุระหรือไม่ แต่ต้องอาศัยพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไปของโจทก์ประกอบกัน
โจทก์ซื้อที่ดินไว้เป็นจำนวนถึงร้อยกว่าโฉนด โดยไม่ปรากฏว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน และได้ขายไปเป็นจำนวนถึง 20 กว่าโฉนดในระยะเวลา 3 ปี มีกำไรทุกแปลงบางแปลงกำไรหลายเท่าตัว ส่วนมากขายให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมซึ่งโจทก์ซื้อที่ดินเหล่านั้นไว้ในระยะเวลาที่ทางการมีนโยบายจะให้ท้องที่นั้นเป็นย่านอุตสาหกรรม ดังนี้ ย่อมแสดงว่าโจทก์มีจุดมุ่งหมายในการซื้อที่ดินจำนวนมากเหล่านั้นไว้ เพื่อขายหากำไรเป็นสำคัญ การที่โจทก์ซื้อที่ดินไว้โดยมุ่งในทางการค้า หรือหากำไรมาแต่เดิม และได้ขายที่ดินดังกล่าวไปเป็นทางการค้าหรือหากำไร ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 11 และต้องเสียภาษีเงินได้จากรายรับ เพราะเงินที่โจทก์ได้รับจากการขายที่ดินเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 (8) ทั้งไม่เข้าข่ายที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ตามความในมาตรา 42 (9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อขายที่ดินเพื่อหากำไรและการเป็นผู้ประกอบการค้าภายใต้ประมวลรัษฎากร
คำว่าผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มีความหมายกว้างกว่าคำว่า พ่อค้าในมาตรา 165(1) แห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์เพราะคำว่าการค้าในประมวลรัษฎากร มาตรา 77 หมายความรวมถึงการประกอบธุรกิจและอื่น ๆ อีกด้วย ดังนั้นปัญหาว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าที่ดินหรือไม่ จึงมิใช่จะอาศัยแต่เพียงโจทก์ไปซื้อที่ดิน แล้วขายไปเป็นปกติธุระหรือไม่ แต่ต้องอาศัยพฤติการณ์ทั่ว ๆ ไปของโจทก์ประกอบกัน
โจทก์ซื้อที่ดินไว้เป็นจำนวนถึงร้อยกว่าโฉนด โดยไม่ปรากฎว่าได้เข้าทำประโยชน์ในที่ดิน และได้ขายไปเป็นจำนวนถึง 20 กว่าโฉนดในระยะเวลา 3 ปี มีกำไรทุกแปลงบางแปลงกำไรหลายเท่าตัว ส่วนมากขายให้แก่โรงงานอุตสาหกรรมซึ่งโจทก์ซื้อที่ดินเหล่านั้นไว้ในระยะเวลาที่ทางการมีนโยบายจะให้ท้องที่นั้นเป็นย่านอุตสาหกรรม ดังนี้ ย่อมแสดงว่าโจทก์มีจุดมุ่งหมายในการซื้อที่ดินจำนวนมากเหล่านั้นไว้ เพื่อขายหากำไรเป็นสำคัญ การที่โจทก์ซื้อที่ดินไว้โดยมุ่งในทางการค้า หรือหากำไรมาแต่เดิม และได้ขายที่ดินดังกล่าวไปเป็นทางการค้าหรือหากำไร ถือได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้า มีหน้าที่ต้องเสียภาษีการค้าในประเภทการค้า 11 และต้องเสียภาษีเงินได้จากรายรับ เพราะเงินที่โจทก์ได้รับจากการขายที่ดินเข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมิน ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40(8) ทั้งไม่เข้าข่ายที่จะได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีเงินได้ ตามความในมาตรา 42(9)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากจำเลยเป็นบุคคลที่สามจากการยอมรับเช็คใหม่ ย่อมตัดภาระหนี้เดิม
จำเลยออกเช็คพิพาทชำระราคาสินค้าที่ตกลงซื้อจากโจทก์ เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้น ต่อมาฝ่ายจำเลยติดต่อขายสินค้านั้นต่อให้กับ พ. และโจทก์ยอมรับเช็คจาก พ. ไว้เป็นการชำระราคาสินค้าที่ส่งขายให้แก่จำเลยไว้เดิม เช่นนี้แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอา พ. เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่จำเลยลูกหนี้เดิมแล้ว ย่อมเป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์อีก เพราะไม่มีลูกหนี้ที่จะเรียกร้องกันได้ต่อไปแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 355/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากการยอมรับเช็คจากบุคคลที่สาม ทำให้หนี้เดิมระงับ
จำเลยออกเช็คพิพาทชำระราคาสินค้าที่ตกลงซื้อจากโจทก์เมื่อเช็คถึงกำหนดธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็คนั้นต่อมาฝ่ายจำเลยติดต่อขายสินค้านั้นต่อให้กับ พ. และโจทก์ยอมรับเช็คจาก พ. ไว้เป็นการชำระราคาสินค้าที่ส่งขายให้แก่จำเลยไว้เดิมเช่นนี้แสดงว่าโจทก์ยอมรับเอา พ. เข้าเป็นลูกหนี้แทนที่จำเลยลูกหนี้เดิมแล้ว ย่อมเป็นการแปลงหนี้โดยเปลี่ยนตัวลูกหนี้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 350 จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดใช้เงินตามเช็คพิพาทแก่โจทก์อีก เพราะไม่มีมูลหนี้ที่จะเรียกร้องกันได้ต่อไปแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 311/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การผิดสัญญาซื้อขายโควต้าสลากกินแบ่ง และความรับผิดของผู้โอนสิทธิและผู้รับโอน
จำเลยทำสัญญาขายโควต้าสลากกินแบ่งแก่โจทก์แล้วกลับไปโอนโควต้าแก่สามีจำเลย โดยรู้อยู่แล้วว่าจำเลยขายโควต้าแก่โจทก์จำเลยต้องรับผิดโอนโควต้าแก่โจทก์ ถ้าโอนไม่ได้ต้องใช้ค่าเสียหาย
of 53