คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ผสม จิตรชุ่ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 619 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2540/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินพิพาท: ผลของสัญญาต่อเจ้าของเดิม และขอบเขตการบังคับใช้สัญญาต่อบุคคลภายนอก
จำเลยที่ 1 ทำสัญญากับจำเลยร่วมให้จำเลยร่วมปลูกอาคารพานิชย์ ตลาดสด อาคารแผงลอยในที่พิพาท เมื่อสร้างเสร็จจำเลยร่วมยกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยที่ 1 ทันที และจำเลยที่ 1 ยอมให้จำเลยร่วมเช่าอาคารพานิชย์ 15 ปี อาคารแผงลอย 10 ปี ดังนี้ สัญญาระหว่างจะเลยที่ 1 กับจำเลยร่วมเป็นสัญญาต่างตอบแทนอันก่อให้เกิดบุคคลสิทธิต่อกันเท่านั้น เมื่อศาลฟังว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ ถึงแม้จำเลยร่วมจะได้ทำสัญญาดังกล่าวกับจำเลยที่ 1 โดยสุจริต ก็ไม่มีผลผูกพันโจทก์ผู้เป็นเจ้าของที่พิพาท โจทก์จึงไม่ต้องรับโอนไปทั้งสิทธิและหน้าที่ซึ่งจำเลยที่ 1 มีต่อจำเลยร่วม จำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างตามสัญญาออกไปจากที่พิพาทตามคำขอบังคับของโจทก์ แต่ที่โจทก์ขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหายพร้อมด้วยดอกเบี้ยนั้น เมื่อได้ความว่าจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมทำสัญญาดังกล่าว โดยจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมต่างเข้าใจโดยสุจริตว่าที่พิพาทเป็นของจำเลยที่ 1 การกระทำของจำเลยที่ 1 และจำเลยร่วมจึงไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ โจทก์จะขอให้ชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ไม่ได้
โจทก์ฟ้องว่าเดิมที่พิพาทเป็นของวัดโจทก์ ต่อมาปลัดอำเภอได้แจ้ง ส.ล. 1 ว่าเป็นของทางราชการมาก่อนใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน ทางอำเภอเชื่อ จึงออก ส.ค.1 ให้ ต่อมาเมื่อตั้งสุขาภิบาลขึ้นทางอำเภอได้โอนที่ดินพิพาทให้สุขาภิบาลพังโคนจำเลยครอบครอง จึงขอให้ศาลเพิกถอน ส.ค. 1 และนิติกรรมการรับโอนที่พิพาท โอนที่ดินคืนให้โจทก์ ถ้าไม่ยอมโอนคืนให้ถือคำพิพากษาของศาลแทนการแสดงเจตนาของจำเลยนั้น ที่โจทก์มีคำขอดังกล่าวก็เพื่อประสงค์ขอให้ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์นั่นเอง ศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ได้ และเมื่อศาลพิพากษาว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์แล้วก็ไม่ต้องเพิกถอน ส.ค.1 และไม่ต้องเพิกถอนนิติกรรมรับโอนที่พิพาทกับโอนที่พิพาทคืนให้โจทก์เพราะการแจ้ง ส.ค.1 ไม่ก่อให้เกิดสิทธิแก่ผู้แจ้งแต่อย่างใด ทั้งที่พิพาทรายนี้เป็นที่ดินมือเปล่าไม่อาจบังคับให้โอนกันทางทะเบียนได้ ที่พิพาทจึงย่อมกลับเป็นของโจทก์ตามเดิมตามคำพิพากษาดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2501-2504/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างทำของเพื่อเจรจาค่าเวนคืนที่ดิน ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรม
ทางราชการได้ออกกฎหมายเวนคืนที่ดินให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จำเลยเป็นเจ้าขอที่ดินที่ถูกเวนคืนเห็นว่าคณะกรรมการเวนคืนที่ดินกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนต่ำไปไม่เป็นธรรม จึงแต่งตั้งโจทก์ซึ่งเป็นทนายความไปตกลงเจรจากับคณะกรรมการเวนคืนที่ดิน เพื่อให้ได้ค่าทดแทนสูงขึ้นตามที่จำเลยต้องการ โดยตกลงกันว่าถ้าจำเลยได้ค่าทดแทนที่ดินเกินจำนวนราคาที่จำเลยต้องการ ส่วนที่ได้เกินยอมยกให้โจทก์ดังนี้ เป็นการที่จำเลยตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้นแก่โจทก์ เข้าลักษณะเป็นการจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 การที่ผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างแก่ผู้รับจ้างซึ่งตกลงจะไปเจรจากับคณะกรรมการเวนคืนที่ดิน เพื่อให้ได้ค่าทดแทนที่ดินสูงขึ้นตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ โดยกำหนดสินจ้างกันไว้ตามลักษณะดังกล่าว หาเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความแต่อย่างใดไม่ เมื่อโจทก์ได้ดำเนินการจนสำเร็จให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมต้องชำระสินจ้างตามข้อตกลงนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2501-2504/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจ้างทำของเพื่อเจรจาค่าเวนคืนที่ดิน ไม่ขัดต่อกฎหมายหรือศีลธรรม
ทางราชการได้ออกกฎหมายเวนคืนที่ดินให้แก่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จำเลยเป็นเจ้าของที่ดินที่ถูกเวนคืนเห็นว่าคณะกรรมการเวนคืนที่ดินกำหนดค่าทดแทนที่ดินที่ถูกเวนคืนต่ำไปไม่เป็นธรรม จึงแต่งตั้งโจทก์ซึ่งเป็นทนายความไปตกลงเจรจากับคณะกรรมการเวนคืนที่ดิน เพื่อให้ได้ค่าทดแทนสูงขึ้นตามที่จำเลยต้องการ โดยตกลงกันว่าถ้าจำเลยได้ค่าทดแทนที่ดินเกินจำนวนราคาที่จำเลยต้องการ ส่วนที่ได้เกินยอมยกให้โจทก์ ดังนี้ เป็นการที่จำเลยตกลงจะให้สินจ้างเพื่อผลสำเร็จแห่งการที่ทำนั้นแก่โจทก์ เข้าลักษณะเป็นการจ้างทำของตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 587 การที่ผู้ว่าจ้างตกลงจะให้สินจ้างแก่ผู้รับจ้างซึ่งตกลงจะไปเจรจากับคณะกรรมการเวนคืนที่ดิน เพื่อให้ได้ค่าทดแทนที่ดินสูงขึ้นตามที่ผู้ว่าจ้างต้องการ โดยกำหนดสินจ้างกันไว้ตามลักษณะดังกล่าว หาเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อยและศีลธรรมอันดีของประชาชน หรือขัดต่อพระราชบัญญัติทนายความแต่อย่างใดไม่ เมื่อโจทก์ได้ดำเนินการจนสำเร็จให้แก่จำเลยแล้ว จำเลยย่อมต้องชำระสินจ้างตามข้อตกลงนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2458/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การฟ้องนายอำเภอในฐานะตำแหน่งหน้าที่ แม้ผู้ดำรงตำแหน่งเปลี่ยนไปแล้ว ก็ยังฟ้องได้ตามกฎหมาย
การฟ้องนายอำเภอบ้านค่ายอันมีตำแหน่งหน้าที่การงานในอำเภอแน่นอนเพียงคนเดียวในอำเภอนั้น ถึงแม้นายอำเภอบ้านค่ายจะไม่ใช่นิติบุคคล หรือบุคคลที่ดำรงตำแหน่งนายอำเภออยู่เดิมได้ตายไปแล้วก็ตาม แต่ตำแหน่งนายอำเภออันเป็นตำแหน่งหน้าที่การงานยังคงอยู่ โจทก์จึงฟ้องนายอำเภอบ้านค่ายในทางตำแหน่งหน้าที่ราชการเป็นจำเลยได้ (อ้างฎีกา 824/2504)
โจทก์ฟ้องนายอำเภอบ้านค่ายโดย ข. ในฐานะผู้รักษาราชการแทนเป็นจำเลยที่ 3 โดยบรรยายฟ้องว่า นายอำเภอบ้านค่ายขณะ ข. ดำรงตำแหน่งอยู่ได้ร่วมกับจำเลยที่ 1 ที่ 2 และ ที่ 4 นำเอาที่ดินของสามีจำเลยที่ 1 ซึ่งขายให้โจทก์แล้ว กับที่ดินของโจทก์ซึ่งอยู่ติดต่อกันอีกหนึ่งแปลงไปออกใบแทน ส.ค.1 และรังวัดออก น.ส.3 และทำนิติกรรมขายให้แก่จำเลยที่ 2 ไป ดังนี้ แม้คำฟ้องและคำขอให้จำเลยที่ 3 ร่วมกับจำเลยอื่นใช้ค่าเสียหายในมูลละเมิด 20,000 บาทให้โจทก์ นายอำเภอบ้านค่ายหรือผู้รักษาราชการแทนต่อมาจะไม่ต้องรับผิดชอบด้วย เพราะนายอำเภอไม่ใช่เทศภิบาลปกครองท้องที่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 72 ไม่ใช่นิติบุคคลก็ตาม แต่ฟ้องและคำขอให้ทำลายใบแทน ส.ค.1 น.ส.3 และนิติกรรมซื้อขายที่นายอำเภอบ้านค่ายโดยฐ. เป็นผู้ดำรงตำแหน่งได้ทำการจดทะเบียนไว้ก็หาใช่เป็นการมุ่งฟ้อง ฐ. เป็นส่วนตัวไม่ แต่เป็นการฟ้องนายอำเภอบ้านค่ายในทางตำแหน่งหน้าที่ราชการ การฟ้องเช่นนี้ ข. ในฐานะผู้รักษาราชการแทนนายอำเภอบ้านค่ายไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัว โจทก์จึงฟ้องจำเลยที่ 3 ได้ (แม้ ข. จะย้ายไปดำรงตำแหน่งอื่นก็จะพิพากษายกฟ้องเกี่ยวกับจำเลยที่ 3 ไม่ได้)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2267/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับโอนทรัพย์สินโดยไม่สุจริต, สัญญาประนีประนอมยอมความ, การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง, และความรับผิดทางละเมิด
เดิมที่พิพาทเป็นของ ผ. ซึ่งเป็นมารดาของโจทก์และ ก. หลังจาก ผ.ถึงแก่กรรมแล้วโจทก์ฟ้องก.ขอแบ่งมรดกของผ. แล้วโจทก์กับ ก. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยก.ยอมแบ่งที่พิพาทให้โจทก์ครึ่งหนึ่ง แต่ก. กลับโอนที่พิพาทให้จำเลยที่ 1 เสียแล้วจำเลยที่ 1 ให้จำเลยที่ 2 เช่าที่พิพาทปลูกสร้างอาคารสำหรับค้าไม้โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในที่สุดจำเลยที่ 1 ทำสัญญาประนีประนอมยอมความยอมโอนที่พิพาทให้โจทก์ และยอมรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทภายใน 3 เดือน ศาลพิพากษาตามยอมคดีถึงที่สุดแล้วดังนี้ เมื่อจำเลยที่ 1 รับโอนที่พิพาทโดยรู้อยู่แล้วว่า ก. ทำสัญญาประนีประนอมยอมความแบ่งที่ดินให้โจทก์ จึงเป็นการรับโอนโดยไม่สุจริตและทำให้โจทก์เสียเปรียบ เมื่อรับโอนมาแล้วจำเลยที่ 1 เอาที่พิพาทให้จำเลยที่ 2 เช่าเอาผลประโยชน์เป็นของตนแต่ผู้เดียว ทำให้โจทก์เสียหาย แม้สิ่งปลูกสร้างจะเป็นของจำเลยที่ 2 แต่จำเลยที่1 รู้อยู่แล้วว่าเป็นของจำเลยที่ 2 ตั้งแต่ก่อนที่จำเลยที่ 1 จะทำสัญญาประนีประนอมยอมความ จำเลยที่ 1 จึงมีหน้าที่ต้องจัดการให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป การที่จำเลยที่ 1 เพียงแต่มีหนังสือแจ้งให้จำเลยที่ 2 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกไป แต่เมื่อจำเลยที่ 2 ไม่รื้อถอนจำเลยที่ 1 ก็ไม่จัดการอย่างใดจนพ้นกำหนดเวลาที่โจทก์ผ่อนผัน จึงถือว่าจำเลยที่ 1 ไม่ปฏิบัติตามสัญญาประนีประนอมยอมความ และเมื่อจำเลยที่ 1 ยังคงปล่อยให้สิ่งปลูกสร้างอยู่ในที่ดินของโจทก์โดยไม่มีสิทธิจะอยู่ต่อไปได้ จึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์ด้วย
เมื่อคดีก่อนศาลพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างต่างๆ ออกไปจากที่พิพาทแล้ว ก็ไม่จำต้องพิพากษาให้จำเลยที่ 1 รื้อถอนขนย้ายสิ่งปลูกสร้างออกไปจากที่พิพาทของโจทก์อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2221/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ แม้พิพากษายกฟ้อง แต่ของกลางผิดกฎหมาย ศาลยังสามารถริบได้
เฮโรอีนเป็นของที่มีไว้เป็นความผิด แม้ศาลพิพากษายกฟ้องเพราะจำเลยมิใช่ผู้มีเฮโรอีนนั้น ศาลก็ริบเฮโรอีนของกลาง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2044/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย รอการลงโทษ จำเลยฎีกาคัดค้านดุลพินิจศาลอุทธรณ์ เกินเหตุ
ศาลชั้นต้นจำคุกจำเลยเมื่อรับสารภาพแล้วมีกำหนด 6 เดือนศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ไม่รอการลงโทษจำคุก จำเลยฎีกาขอให้รอการลงโทษจำคุกจำเลย เป็นการฎีกาคัดค้านดุลพินิจของศาลอุทธรณ์อันเป็นปัญหาข้อเท็จจริง ต้องห้ามฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 219 ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา (ฉบับที่ 8) พ.ศ.2517 มาตรา 6 เว้นแต่ผู้พิพากษาซึ่งพิจารณาในศาลชั้นต้นหรือศาลอุทธรณ์ พิเคราะห์เห็นว่าข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุดและอนุญาตให้ฎีกา หรืออธิบดีกรมอัยการลงลายมือชื่อรับรองในฎีกาว่ามีเหตุอันควรสู่ศาลสูงสุดจะได้รับวินิจฉัย จึงให้รับฎีกานั้นไว้พิจารณาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 221 และข้อความที่ว่า "ข้อความที่ตัดสินนั้นเป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด" นั้น หมายถึงข้อความที่ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ตัดสินว่า พยานหลักฐานของโจทก์และจำเลยฟังได้ว่าจำเลยได้กระทำผิดตามฟ้องหรือไม่ เป็นปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด หรือมิฉะนั้นก็จะต้องเป็นข้อความซึ่งมีปัญหาสำคัญอันจำเป็นที่ควรจะได้รับการวินิจฉัยกลั่นกรองจากศาลสูงสุดเป็นพิเศษอีกชั้นหนึ่ง เมื่อจำเลยฎีกาเพียงขอให้รอการลงโทษจำเลยอย่างเดียวเท่านั้น โดยยกเหตุผลต่างๆ ขึ้นอ้าง ซึ่งไม่ปรากฏมีในศาลชั้นต้น จึงมิใช่เป็นการฎีกาในปัญหาสำคัญอันควรสู่ศาลสูงสุด แม้ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นจะอนุญาตให้ฎีกาได้ ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย เจตนาและบทบาทในการกระทำผิดเป็นสำคัญ
ก่อนเกิดเหตุมีคนทุบคอกม้าแข่งของ ช. จนม้าตื่นและคอกม้าพัง เมื่อมีข่าวว่าผู้ตายเป็นคนทุบคอกม้า ล.กับพวกประมาณ 20-30 คนมีปืน มีด ไม้ เป็นอาวุธตามหาผู้ตาย เมื่อพบกัน ล. ได้สอบถามเรื่องทุบคอกม้าแต่ผู้ตายปฏิเสธ ล. กับพวกซึ่งรวมทั้ง ป., ศ. และจำเลยทั้งสองได้เข้าล้อมผู้ตายไว้ และเกิดโต้เถียงกันขึ้นในในที่สุดก็เกิดชุลมุนทำร้ายกัน โดย ศ.ใช้ไม้กลมเท่าแขนยาวราวศอกเศษตีศรีษะผู้ตาย ป. ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 1 ถือไม้คุมเชิงอยู่ในที่เกิดเหตุและจำเลยที่ 2 ได้ชกผู้ตาย 2 ที แม้ผู้ตายจะตายเพราะแผลที่ถูกแทงและถูกตีศรีษะ ก็ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายด้วย เพราะจำเลยทั้งสองเป็นพวกของ ล. ไปตามหาเอาเรื่องกับฝ่ายผู้ตายส่อเจตนาว่าร่วมกันมาตั้งแต่ต้น และจำเลยทั้งสองต่างก็ได้ร่วมลงมือในการกระทำผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2041/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ร่วมกันทำร้ายร่างกายจนถึงแก่ความตาย มีเจตนาฆ่าหรือไม่ การพิสูจน์เจตนาของผู้ร่วมกระทำผิด
ก่อนเกิดเหตุมีคนทุบคอกม้าแข่งของ ช. จนม้าตื่นและคอกม้าพัง เมื่อมีข่าวว่าผู้ตายเป็นคนทุบคอกม้า ล.กับพวกประมาณ 20 - 30 คนมีปืน มีด ไม้ เป็นอาวุธตามหาผู้ตาย เมื่อพบกัน ล.ได้สอบถามเรื่องทุบคอกม้าแต่ผู้ตายปฏิเสธ ล.กับพวกซึ่งรวมทั้งป., ศ. และจำเลยทั้งสองได้เข้าล้อมผู้ตายไว้และเกิดโต้เถียงกันขึ้นในที่สุดก็เกิดชุลมุนทำร้ายกัน โดย ศ.ใช้ไม้กลมเท่าแขนยาวราวศอกเศษตีศรีษะผู้ตาย ป.ใช้มีดปลายแหลมแทงผู้ตาย ส่วนจำเลยที่ 1 ถือไม้คุมเชิงอยู่ในที่เกิดเหตุ และจำเลยที่ 2 ได้ชกผู้ตาย 2 ที แม้ผู้ตายจะตายเพราะแผลที่ถูกแทงและถูกตีศีรษะก็ต้องถือว่าจำเลยทั้งสองได้ร่วมกับพวกฆ่าผู้ตายด้วย เพราะจำเลยทั้งสองเป็นพวกของ ล.ไปตามหาเอาเรื่องกับฝ่ายผู้ตายส่อเจตนาว่าร่วมกันมาตั้งแต่ต้นและจำเลยทั้งสองต่างก็ได้ร่วมลงมือในการกระทำผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2022/2521

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดต่อเนื่อง: การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธและพยายามฆ่า แม้เป็นหลายกรรม แต่ถือเป็นกรรมเดียว
จำเลยใช้ไม้ระแนงตีผู้เสียหาย ผู้เสียหายวิ่งหนี จำเลยวิ่งไล่ตามและใช้ปืนยิงผู้เสียหาย 1 นัด ดังนี้ เห็นได้ว่าการกระทำของจำเลยเป็นความผิดที่สืบเนื่องติดพันกันจึงเป็นกรรมเดียวผิดต่อกฎหมายหลายบท
of 62