พบผลลัพธ์ทั้งหมด 619 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 333/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานกระทำอนาจารโดยใช้กำลัง: ศาลตัดสินว่าการอุ้มกอดเพื่ออนาจารเป็นกรรมเดียว ไม่ต้องปรับบทลงโทษซ้ำ
อุ้มกอดพาหญิงไปเพื่ออนาจารเป็นกรรมเดียวผิดประมวลกฎหมายอาญามาตรา284อันเป็นบทเฉพาะไม่ต้องยกมาตรา 278ขึ้นปรับบทลงโทษอีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 268/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องฉ้อโกงและโกงเจ้าหนี้ต้องมีเจตนาหลอกลวงและทำให้เจ้าหนี้เสียหายจริง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์โดยนำบ้านมาเป็นประกันเงินกู้ และจำเลยที่ 1 รับรองในสัญญากู้ว่าบ้านดังกล่าวเป็นของตน โจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบเงินกู้ให้จำเลยที่ 1 ไป ดังนี้ ฟ้องโจทก์มิได้บรรยาย ว่าความจริงเป็นอย่างไรเพื่อที่จะแสดงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงโจทก์ตรงไหน และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับรองต่อโจทก์ว่าจะไม่โอนบ้านให้ผู้อื่นจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนแต่ต่อมาจำเลยที่ 1 กลับโอนบ้านให้จำเลยที่ 2 ในภายหลังโดยปกปิดไม่ให้โจทก์รู้นั้นก็เป็นเรื่อง อนาคต ซึ่งเป็นเพียงจำเลยที่ 1 ให้คำรับรองไว้ต่อโจทก์เท่านั้น หาเข้าลักษณะความผิดฐานฉ้อโกงไม่
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านที่จำเลยที่ 1 นำมาระบุไว้เป็นประกัน ในการกู้เงินจากโจทก์มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 โอนบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำให้โจทก์เจ้าหนี้ ของจำเลยมิได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (วรรคแรก วินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519)
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านที่จำเลยที่ 1 นำมาระบุไว้เป็นประกัน ในการกู้เงินจากโจทก์มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยที่ 1 โอนบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำให้โจทก์เจ้าหนี้ ของจำเลยมิได้รับชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้ (วรรคแรก วินิจฉัย โดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 268/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องฐานฉ้อโกงและโกงเจ้าหนี้ต้องชัดเจนถึงการหลอกลวงและเจตนาทุจริต การรับรองความเป็นเจ้าของทรัพย์สินที่ไม่เป็นความจริงและโอนทรัพย์สินประกันหนี้เป็นเหตุแห่งความผิด
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยที่ 1 กู้ยืมเงินโจทก์โดยนำบ้านมาเป็นประกันเงินกู้ และจำเลยที่ 1 รับรองในสัญญากู้ว่าบ้านดังกล่าวเป็นของตน โจทก์หลงเชื่อจึงได้มอบเงินกู้ให้จำเลยที่ 1 ไป ดังนี้ ฟ้องโจทก์มิได้บรรยายว่าความจริงเป็นอย่างไร เพื่อที่จะแสดงให้เข้าใจได้ว่าจำเลยร่วมกันหลอกลวงโจทก์ตรงไหน และที่โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับรองต่อโจทก์ว่าจะไม่โอนบ้านให้ผู้อื่นจนกว่าจะชำระหนี้แก่โจทก์ครบถ้วนก็เป็นเรื่องอนาคต ซึ่งเป็นเพียงจำเลยที่ 1 ให้คำรับรองไว้ต่อโจทก์เท่านั้น หาเข้าลักษณะความผิดฐานฉ้อโกงไม่
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านที่จำเลยที่ 1 นำมาระบุไว้เป็นประกันในการกู้เงินจากโจทก์มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 โอนบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยมิได้รับขำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519)
เมื่อข้อเท็จจริงได้ความว่าบ้านที่จำเลยที่ 1 นำมาระบุไว้เป็นประกันในการกู้เงินจากโจทก์มิใช่เป็นของจำเลยที่ 1 ดังนั้นการที่จำเลยที่ 1 โอนบ้านดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 2 จึงถือไม่ได้ว่าเป็นการทำให้โจทก์เจ้าหนี้ของจำเลยมิได้รับขำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วน จำเลยทั้งสองจึงไม่มีความผิดฐานโกงเจ้าหนี้
(วรรคแรก วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 25/2519)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 186/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแข่งขันขนส่งประจำทาง: การละเมิดสิทธิผู้ได้รับอนุญาตและการควบคุมการขนส่งเพื่อความปลอดภัย
โจทก์บรรยายฟ้องและนำสืบว่า โจทก์ได้รับอนุญาตให้ประกอบการขนส่งประจำทางด้วยรถยนต์โดยสารบนเส้นทางสายหนึ่งและจำเลยได้นำรถยนต์มาวิ่งรับส่งผู้โดยสารบนเส้นทางดังกล่าว เป็นกรณีที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยละเมิดสิทธิของโจทก์โจทก์ชอบที่จะเสนอคดีต่อศาลเพื่อขจัดข้อโต้แย้งและแสดงสิทธิของโจทก์ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 55 โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะเข้าทำการขนส่งในเส้นทางใดในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางในเส้นทางสายนั้นมีความมุ่งหมายที่จะควบคุมการขนส่งคนโดยสารโดยรถยนต์โดยสาร เพื่อมิให้เกิดการแก่งแย่งกับรถโดยสารประจำทางแม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะตามมาตรา 11(2) แต่เมื่อจำเลยนำรถยนต์มาวิ่งรับคนโดยสารและเก็บค่าโดยสารเป็นรายตัวเช่นเดียวกับโจทก์เป็นการทับเส้นทางของโจทก์โดยมิใช่ในลักษณะเหมาทั้งคันหรือในลักษณะรถทัศนาจรย่อมถือว่าเป็นลักษณะของการแข่งขันและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 14ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
พระราชบัญญัติการขนส่ง พ.ศ.2497 มาตรา 14 บัญญัติห้ามมิให้ผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะเข้าทำการขนส่งในเส้นทางใดในลักษณะที่เป็นการแข่งขันกับผู้ได้รับใบอนุญาตการขนส่งประจำทางในเส้นทางสายนั้นมีความมุ่งหมายที่จะควบคุมการขนส่งคนโดยสารโดยรถยนต์โดยสาร เพื่อมิให้เกิดการแก่งแย่งกับรถโดยสารประจำทางแม้จำเลยจะได้รับใบอนุญาตการขนส่งสาธารณะตามมาตรา 11(2) แต่เมื่อจำเลยนำรถยนต์มาวิ่งรับคนโดยสารและเก็บค่าโดยสารเป็นรายตัวเช่นเดียวกับโจทก์เป็นการทับเส้นทางของโจทก์โดยมิใช่ในลักษณะเหมาทั้งคันหรือในลักษณะรถทัศนาจรย่อมถือว่าเป็นลักษณะของการแข่งขันและฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติมาตรา 14ดังกล่าวจึงเป็นการละเมิดต่อโจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รายจ่ายลงทุนติดตั้งสถานีวิทยุและเครื่องจักร รวมถึงส่วนลดที่ไม่จ่ายให้ผู้ซื้อ ถือเป็นรายจ่ายทางภาษีได้หรือไม่
รายจ่ายค่าติดตั้งสถานีวิทยุซึ่งตั้งขึ้นแล้วเป็นทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ และรายจ่ายให้ผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งเครื่องจักร และเตาเผาของบริษัทโจทก์ เป็นรายจ่ายที่บริษัทโจทก์จ่ายไปแล้วได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายเกิดเป็นทุนรอน หรือทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ถือว่าเป็นรายจ่าย อันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (5)
โจทก์มีหลักเกณฑ์จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ผู้ซื้อปูนซิเมนต์ของโจทก์ทุกรายการตามอัตราที่กำหนดเป็นรายต้น กรมชลประทานซื้อปูนซิเมนต์จากโจทก์จำนวนหนึ่ง โจทก์จึงจ่ายเงินส่วนลดตามอัตราที่กรมชลประทานจะได้รับให้แก่สวัสดิการของกรมชลประทาน ซึ่งคณะข้าราชการในกรมชลประทานจัดตั้งขึ้น เพื่อช่วยเหลือข้าราชการในกรมนั้น มิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานผู้ซื้อ เพราะถ้าจ่ายแก่กรมชลประทาน เงินนั้นจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานจึงมิใช่เป็นการจ่ายให้แก่ผู้ซื้อตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้ รายจ่ายนี้จึงเป็นรายจ่ายซึ่งมิใช้รายจ่ายเพื่อหากำไร หรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13) จึงไม่อาจถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
โจทก์มีหลักเกณฑ์จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ผู้ซื้อปูนซิเมนต์ของโจทก์ทุกรายการตามอัตราที่กำหนดเป็นรายต้น กรมชลประทานซื้อปูนซิเมนต์จากโจทก์จำนวนหนึ่ง โจทก์จึงจ่ายเงินส่วนลดตามอัตราที่กรมชลประทานจะได้รับให้แก่สวัสดิการของกรมชลประทาน ซึ่งคณะข้าราชการในกรมชลประทานจัดตั้งขึ้น เพื่อช่วยเหลือข้าราชการในกรมนั้น มิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานผู้ซื้อ เพราะถ้าจ่ายแก่กรมชลประทาน เงินนั้นจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานจึงมิใช่เป็นการจ่ายให้แก่ผู้ซื้อตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้ รายจ่ายนี้จึงเป็นรายจ่ายซึ่งมิใช้รายจ่ายเพื่อหากำไร หรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13) จึงไม่อาจถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 168/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
รายจ่ายลงทุนติดตั้งสถานีวิทยุและเครื่องจักร รวมถึงส่วนลดที่ไม่จ่ายให้ผู้ซื้อ ถือเป็นรายจ่ายที่ไม่สามารถหักลดหย่อนได้ตามกฎหมายภาษี
รายจ่ายค่าติดตั้งสถานีวิทยุซึ่งตั้งขึ้นแล้วเป็นทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ และรายจ่ายให้ผู้เชี่ยวชาญในการติดตั้งเครื่องจักรและเตาเผาของบริษัทโจทก์ เป็นรายจ่ายที่บริษัทโจทก์จ่ายไปแล้วได้รับประโยชน์จากการใช้จ่ายเกิดเป็นทุนรอนหรือทรัพย์สินของบริษัทโจทก์ถือว่าเป็นรายจ่ายอันมีลักษณะเป็นการลงทุนตามประมวลรัษฎากร มาตรา65 ตรี (5)
โจทก์มีหลักเกณฑ์จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ผู้ซื้อปูนซิเมนต์ของโจทก์ทุกรายการตามอัตราที่กำหนดเป็นรายตัน กรมชลประทานซื้อปูนซิเมนต์จากโจทก์จำนวนหนึ่ง โจทก์จึงจ่ายเงินส่วนลดตามอัตราที่กรมชลประทานจะได้รับให้แก่สวัสดิการของกรมชลประทานซึ่งคณะข้าราชการในกรมชลประทานจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือข้าราชการในกรมนั้นมิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานผู้ซื้อเพราะถ้าจ่ายแก่กรมชลประทาน เงินนั้นจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานจึงมิใช่เป็นการจ่ายให้แก่ผู้ซื้อตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้รายจ่ายนี้จึงเป็นรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13) จึงไม่อาจถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
โจทก์มีหลักเกณฑ์จ่ายเงินส่วนลดให้แก่ผู้ซื้อปูนซิเมนต์ของโจทก์ทุกรายการตามอัตราที่กำหนดเป็นรายตัน กรมชลประทานซื้อปูนซิเมนต์จากโจทก์จำนวนหนึ่ง โจทก์จึงจ่ายเงินส่วนลดตามอัตราที่กรมชลประทานจะได้รับให้แก่สวัสดิการของกรมชลประทานซึ่งคณะข้าราชการในกรมชลประทานจัดตั้งขึ้นเพื่อช่วยเหลือข้าราชการในกรมนั้นมิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานผู้ซื้อเพราะถ้าจ่ายแก่กรมชลประทาน เงินนั้นจะต้องตกเป็นของแผ่นดิน ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้จ่ายให้แก่กรมชลประทานจึงมิใช่เป็นการจ่ายให้แก่ผู้ซื้อตามหลักเกณฑ์ที่โจทก์วางไว้รายจ่ายนี้จึงเป็นรายจ่ายซึ่งมิใช่รายจ่ายเพื่อหากำไรหรือเพื่อกิจการโดยเฉพาะตามประมวลรัษฎากร มาตรา 65 ตรี (13) จึงไม่อาจถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณกำไรสุทธิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 143-144/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดนายจ้างต่อละเมิดของลูกจ้าง, ค่าเสียหายจากการเสียชีวิต, ค่าขาดไร้อุปการะ, และหนี้ร่วมจากมูลละเมิด
ผู้เสียหายย่อมฟ้องนายจ้างของผู้ทำละเมิดให้ร่วมรับผิดในผลแห่งละเมิดที่ผู้ทำละเมิดกระทำไปในทางการที่จ้างได้ โดยไม่จำต้องบอกกล่าวทวงถามก่อน เพราะถือว่าได้ผิดนัดมาตั้งแต่วันทำละเมิดแล้ว
เมื่อเหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถทั้งสองฝ่าย และพฤติการณ์แห่งละเมิดมีความร้ายแรงพอๆ กันความเสียหายย่อมเป็นพับกันไป
ผู้ตายเนื่องจากการทำละเมิดเป็นบุตรโจทก์ แม้โจทก์ไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ โดยภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออกก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายในการนี้เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ จำเลยจะยกเอาข้อที่ภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายมายกเป็นข้อปัดความรับผิดของจำเลยหาได้ไม่และแม้โจทก์จะยังไม่ได้จ่ายเงินค่าฌาปนกิจศพผู้ตายก็ตามโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องได้
ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น บุตรมีหน้าที่ต้องอุปการะบิดามารดาตามกฎหมายการที่บุตรโจทก์ตาย ถือได้ว่าโจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแล้ว มิต้องคำนึงว่าโจทก์ผู้เป็นบิดามารดาจะเป็นผู้มีทรัพย์สินมากน้อยเพียงใดยังสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ โจทก์จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่ต้องขาดไร้อุปการะนั้น และค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดให้นี้เป็นหนี้ซึ่งเกิดจากมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้เมื่อศาลฎีกากำหนดให้ลดน้อยลงมาอีก ย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาขึ้นมาได้
เมื่อเหตุที่รถชนกันเกิดเพราะความประมาทของคนขับรถทั้งสองฝ่าย และพฤติการณ์แห่งละเมิดมีความร้ายแรงพอๆ กันความเสียหายย่อมเป็นพับกันไป
ผู้ตายเนื่องจากการทำละเมิดเป็นบุตรโจทก์ แม้โจทก์ไม่ได้ออกค่าใช้จ่ายในการจัดการศพ โดยภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออกก็ตาม แต่ค่าใช้จ่ายในการนี้เป็นค่าใช้จ่ายอันจำเป็นที่โจทก์มีสิทธิเรียกร้องได้ จำเลยจะยกเอาข้อที่ภรรยาผู้ตายเป็นผู้ออกค่าใช้จ่ายมายกเป็นข้อปัดความรับผิดของจำเลยหาได้ไม่และแม้โจทก์จะยังไม่ได้จ่ายเงินค่าฌาปนกิจศพผู้ตายก็ตามโจทก์ก็มีสิทธิเรียกร้องได้
ส่วนค่าขาดไร้อุปการะนั้น บุตรมีหน้าที่ต้องอุปการะบิดามารดาตามกฎหมายการที่บุตรโจทก์ตาย ถือได้ว่าโจทก์ต้องขาดไร้อุปการะตามกฎหมายแล้ว มิต้องคำนึงว่าโจทก์ผู้เป็นบิดามารดาจะเป็นผู้มีทรัพย์สินมากน้อยเพียงใดยังสามารถเลี้ยงตนเองได้หรือไม่ โจทก์จึงชอบที่จะได้รับค่าสินไหมทดแทนในการที่ต้องขาดไร้อุปการะนั้น และค่าสินไหมทดแทนเนื่องจากขาดไร้อุปการะที่ศาลกำหนดให้นี้เป็นหนี้ซึ่งเกิดจากมูลละเมิดอันไม่อาจแบ่งแยกได้เมื่อศาลฎีกากำหนดให้ลดน้อยลงมาอีก ย่อมพิพากษาให้มีผลไปถึงจำเลยที่มิได้ฎีกาขึ้นมาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 112/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารหลักฐานการกู้ยืมเงินที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ ยังใช้เป็นหลักฐานได้
เอกสารเป็นจดหมายของจำเลยถึงโจทก์ และบันทึกของจำเลยว่าได้รับเงินกู้จากโจทก์ตามจำนวนที่ระบุไว้เป็นหลักฐานการกู้ยืมเงินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 653 แต่มิใช่ตราสารการกู้ยืมเงินตามประมวลรัษฎากร มาตรา 104 ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์ก็ฟังเป็นพยานหลักฐานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดพรากผู้เยาว์ หน่วงเหนี่ยวเพื่อเรียกค่าไถ่ และความผิดหลายบท
จำเลยกับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุ 4 ปี ไปจากมารดาผู้ปกครอง และ หน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เยาว์ไว้เพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่เป็นความผิดหลายบท คือตามมาตรา 313 ประกอบด้วยมาตรา 316 บทหนึ่งและตามมาตรา 317 อีกบทหนึ่ง มิใช่เป็นความผิดหลายกรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 34/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พรากผู้เยาว์เพื่อเรียกค่าไถ่ ความผิดตามมาตรา 313, 316, และ 317 ไม่เป็นความผิดหลายกรรม
จำเลยกับพวกร่วมกันพรากผู้เยาว์อายุ 4 ปี ไปจากมารดาผู้ปกครอง และหน่วงเหนี่ยวกักขังผู้เยาว์ไว้เพื่อได้มาซึ่งค่าไถ่เป็นความผิดหลายบท คือตามมาตรา 313 ประกอบด้วยมาตรา 316 บทหนึ่ง และตามมาตรา 317 อีกบทหนึ่ง มิใช่เป็นความผิดหลายกรรม