พบผลลัพธ์ทั้งหมด 619 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1606/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การควบสหกรณ์และการสืบสิทธิหนี้สิน: สิทธิของสหกรณ์ใหม่ไม่ต้องแจ้งการควบสหกรณ์แก่ลูกหนี้
เมื่อได้ควบสหกรณ์เข้ากันเป็นสหกรณ์ใหม่ตามพระราชบัญญัติสหกรณ์ พ.ศ. 2511 โดยถูกต้องแล้ว สหกรณ์ใหม่ย่อมได้ไปทั้งทรัพย์สิน หนี้สิน สิทธิและความรับผิดชอบของสหกรณ์เดิมที่ได้ควบเข้ากันทั้งสิ้น สหกรณ์ใหม่(โจทก์) ไม่จำต้องบอกกล่าวให้ลูกหนี้สหกรณ์เดิมทราบถึงการควบสหกรณ์เข้าด้วยกัน และย่อมได้ไปซึ่งสิทธิเป็นเจ้าหนี้ กรณีหาใช่เป็นการโอนหนี้ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 306 ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารราชการ-เอกสารสิทธิ รวมถึงฉ้อโกง ธนาคาร พิจารณาโทษจำเลย
การที่จำเลยร่วมกันปลอมบัตรประจำตัวประชาชนและปลอมตั๋วแลกเงินในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2518 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2518 นั้น เป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 265,266,91 แต่จำเลยร่วมกันนำบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วแลกเงินที่ปลอมขึ้นไปใช้ด้วย จึงต้องลงโทษแต่ละกระทงฐานใช้กระทงเดียว ตามมาตรา 268 วรรค 2 และการใช้ในคราวเดียวกันเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกง ตามมาตรา 342 โดยจำเลยร่วมกันหลอกลวงด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จหรือปกปิดความจริงที่ควรบอกให้แจ้ง เพื่อให้ได้ทรัพย์สิน คือเงิน 220,000 บาทจากธนาคาร ย่อมเป็นความผิดกรรมเดียว ผิดต่อกฎหมายหลายบทต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอม อันเป็นบทหนัก ตามมาตรา 268 ประกอบด้วยมาตรา 266,90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1279/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความผิดฐานปลอมและใช้เอกสารสิทธิ, ฉ้อโกง และการลงโทษกรรมเดียว
การที่จำเลยร่วมกันปลอมบัตรประจำตัวประชาชนและปลอมตั๋วแลกเงินในระหว่างวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2518 ถึงวันที่ 4 เมษายน 2518เป็นความผิดหลายกรรมต่างกันตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 265, 266,91 แต่จำเลยร่วมกันนำบัตรประจำตัวประชาชนและตั๋วแลกเงินที่ปลอมขึ้นนั้นไปใช้ด้วยจึงต้องลงโทษแต่ละกระทงฐานใช้กระทงเดียวตามมาตรา 268 วรรค 2 และเป็นกรรมเดียวกับความผิดฐานฉ้อโกงตามมาตรา 342ต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วแลกเงินปลอมอันเป็นบทหนักตามมาตรา 268ประกอบด้วยมาตรา 266,90
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรถยนต์ที่เสียหาย: ผู้ใช้รถไม่ใช่เจ้าของรถไม่มีอำนาจฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์โดยละเมิด แต่ได้ความว่ารถจักรยานยนต์เป็นของน้องชายโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถ และการที่ได้ความว่ารถจักรยานยนต์เป็นของน้องชายโจทก์ โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถ และการที่เกิดเหตุชนกันก็เป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของโจทก์โดยปกติธรรมดา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยใช้ค่าซ่อมรถและค่าเสื่อมราคา ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกี่ยวกับตัวรถโดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1180/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายจากรถที่ตนเองไม่ได้เป็นเจ้าของ: กรณีผู้ใช้รถโดยปกติ
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยขับรถยนต์ชนรถจักรยานยนต์ของโจทก์โดยละเมิด แต่ได้ความว่ารถจักรยานยนต์เป็นของน้องชายโจทก์โจทก์ไม่ใช่เจ้าของรถ และการที่เกิดเหตุชนกันก็เป็นการใช้รถจักรยานยนต์ของโจทก์โดยปกติธรรมดา โจทก์จึงไม่มีอำนาจฟ้องให้จำเลยใช้ค่าซ่อมรถและค่าเสื่อมราคา ซึ่งเป็นค่าเสียหายที่เกี่ยวกับรถโดยตรง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายของรถยนต์ที่จอดไว้ และประเด็นการต่อสู้คดีที่ไม่ชัดเจน
บรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง ประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังรายการเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้องก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 172 วรรคสอง โดยไม่จำต้องกล่าวว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าไร เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลยและนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรมแล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดี มิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมัน แต่ตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างไว้ให้ชัดแจ้งดังที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยที่ไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลยและนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรมแล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดี มิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมัน แต่ตามคำให้การของจำเลยมิได้กล่าวอ้างไว้ให้ชัดแจ้งดังที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยที่ไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความรับผิดของโรงแรมต่อความเสียหายของรถยนต์ที่จอดไว้ และประเด็นการนำสืบพยานที่ไม่ชัดเจน
บรรยายฟ้องว่ารถยนต์คันพิพาทได้เสียหายอะไรบ้าง ประมาณค่าเสียหายรวมกันเป็นเงินจำนวนหนึ่งดังรายการเอกสารท้ายฟ้องซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของฟ้อง ก็ย่อมเป็นฟ้องที่สมบูรณ์ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 172 วรรค 2 โดยไม่จำต้องกล่าวว่าเสียหายรายการใด ราคาเท่าใด เพราะเป็นรายละเอียดซึ่งจะต้องนำสืบในชั้นพิจารณา
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลย และนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรม แล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมันแต่ตามคำให้การจำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยเป็นบริษัทจำกัด ประกอบธุรกิจการโรงแรม โจทก์ที่ 1 ได้มาพักโรงแรมจำเลย และนำรถยนต์คันพิพาทที่ยืมโจทก์ที่ 2 มาจอดไว้ในบริเวณโรงแรม แล้วเกิดเสียหายขึ้น กรณีเป็นเรื่องเกี่ยวกับโรงแรม ต้องนำประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 674 และ 675 มาปรับแก่คดีมิใช่เป็นเรื่องฝากทรัพย์ตามธรรมดาทั่วไป จำเลยต้องรับผิดต่อเจ้าของรถ โดยไม่ต้องคำนึงว่าผู้ทำให้เกิดความเสียหายเป็นลูกจ้างของจำเลยหรือไม่
จำเลยนำสืบว่าโจทก์ที่ 1 ใช้ลูกจ้างจำเลยช่วยขับรถยนต์คันพิพาทไปเติมน้ำมันแต่ตามคำให้การจำเลยมิได้กล่าวไว้ให้ชัดแจ้งที่จำเลยนำสืบ ดังนี้ ต้องถือว่าจำเลยไม่มีข้อต่อสู้และไม่มีประเด็นที่จะนำสืบ แม้ศาลชั้นต้นยอมให้จำเลยสืบพยานมา ก็หาก่อให้เกิดเป็นประเด็นข้อต่อสู้ขึ้นไม่ และไม่อาจนำพยานจำเลยไม่ถูกต้องนี้มาวินิจฉัยได้ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
คำร้องคัดค้านผลเลือกตั้งต้องระบุรายละเอียดการทุจริตและเหตุผลการวินิจฉัยบัตรเสียให้ชัดเจน มิเช่นนั้นศาลจะไม่รับพิจารณา
คำร้องคัดค้านการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบรรยายว่า การนับคะแนนของกรรมการบางหน่วยส่อไปในทางทุจริตไม่ชอบด้วยกฎหมายเลือกตั้งและวินิจฉัยบัตรดีของผู้ร้องให้เป็นบัตรเสียโดยมิได้ระบุให้ชัดแจ้งว่ามีกรรมการหน่วยเลือกตั้งหน่วยใดบางที่ทุจริต นับคะแนนโดยทุจริต อย่างไร และเป็นบัตรเสียประการใด จึงเป็นคำร้องเคลือบคลุม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดกตกทอด การแบ่งทรัพย์สินร่วมกัน และค่าเสียหายจากการกีดกันการทำกิน
ที่พิพาทเป็นมรดกตกทอดแต่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองและพระภิกษุ ส. ผู้เป็นทายาท และนับแต่วันที่เจ้ามรดกตายจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทจากจำเลยยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี ยังอยู่ภายในอายุความที่พระภิกษุ ส.จะสึกจากสมณเพศมาเรียกร้องขอแบ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1622 ดังนี้ ต้องแบ่งที่พิพาทออกเป็น 5 ส่วน โจทก์ได้คนละ 1 ใน 5
เมื่อยังไม่ได้แบ่งที่พิพาทกัน โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง และส.เป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้และเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาตั้งแต่พ.ศ. 2517 ทำให้โจทก์ขาดรายได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ทั้งสองกึ่งหนึ่ง และให้ใช้ค่าเสียหายปีละ 1,500 บาท นับแต่ปี 2516 จนถึงปีที่จำเลยยอมแบ่งนาให้โจทก์ จำเลยมิได้ฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เพราะการที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทที่ตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยนั้น ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คงฎีกาเพียงว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2516 เป็นการพิพากษาเกินคำขอเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
เมื่อยังไม่ได้แบ่งที่พิพาทกัน โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง และส.เป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้และเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาตั้งแต่พ.ศ. 2517 ทำให้โจทก์ขาดรายได้ ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ทั้งสองกึ่งหนึ่ง และให้ใช้ค่าเสียหายปีละ 1,500 บาท นับแต่ปี 2516 จนถึงปีที่จำเลยยอมแบ่งนาให้โจทก์ จำเลยมิได้ฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เพราะการที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทที่ตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยนั้น ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ คงฎีกาเพียงว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2516 เป็นการพิพากษาเกินคำขอเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1026/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
มรดกตกทอด การแบ่งทรัพย์สินร่วม และค่าเสียหายจากการถูกกีดกันการใช้ประโยชน์จากทรัพย์สิน
ที่พิพาทเป็นมรดกตกทอดแก่โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสองและพระภิกษุ ส. ผู้เป็นทายาท และนับแต่วันที่เจ้ามรดกตายจนถึงวันที่โจทก์ฟ้องขอแบ่งที่พิพาทจากจำเลยยังไม่พ้นกำหนด 1 ปี ยังอยู่ภายในอายุความที่พระภิกษุ ส. จะสึกจากสมณเพศมาเรียกร้องขอแบ่งได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1622 ดังนี้ ต้องแบ่งที่พิพาทออกเป็น 5 ส่วน โจทก์ได้คนละ 1 ใน 5
เมื่อยังไม่ได้แบ่งที่พิพาทกัน โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง และ ส. เป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้และเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาตั้งแต่ พ.ศ.2517 ทำให้โจทก์ขาดรายได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ทั้งสองกึ่งหนึ่ง และให้ใช้ค่าเสียหายปีละ 1,500 บาท นับแต่ปี 2516 จนถึงปีที่จำเลยยอมแบ่งนาให้โจทก์ จำเลยมิได้ฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เพราะการที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทที่ตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยนั้น ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์คงฎีกาเพียงว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2516 เป็นการพิพากษาเกินคำขอเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
เมื่อยังไม่ได้แบ่งที่พิพาทกัน โจทก์ทั้งสอง จำเลยทั้งสอง และ ส. เป็นเจ้าของที่พิพาทร่วมกัน โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยแบ่งที่พิพาทให้และเรียกค่าเสียหายเพื่อการที่จำเลยไม่ยอมให้โจทก์เข้าทำนาตั้งแต่ พ.ศ.2517 ทำให้โจทก์ขาดรายได้ศาลอุทธรณ์พิพากษาให้จำเลยทั้งสองแบ่งนาพิพาทให้โจทก์ทั้งสองกึ่งหนึ่ง และให้ใช้ค่าเสียหายปีละ 1,500 บาท นับแต่ปี 2516 จนถึงปีที่จำเลยยอมแบ่งนาให้โจทก์ จำเลยมิได้ฎีกาว่าจำเลยไม่ต้องใช้ค่าเสียหายให้โจทก์ เพราะการที่จำเลยเข้าทำนาในที่พิพาทที่ตนเป็นเจ้าของรวมอยู่ด้วยนั้น ไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์คงฎีกาเพียงว่าที่ศาลอุทธรณ์ให้ใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์ตั้งแต่ปี 2516 เป็นการพิพากษาเกินคำขอเท่านั้น จึงไม่มีประเด็นที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ต้องรับผิดชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์