คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ผสม จิตรชุ่ม

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 619 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมและการจงใจทิ้งฟ้อง ศาลมิถือว่าเป็นการจงใจทิ้งฟ้องหากโจทก์ได้ชำระค่าขึ้นศาลครบถ้วนก่อนการสืบพยาน
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระเพิ่มเติม โจทก์แถลงรับว่าจะนำมาชำระก่อนวันนัดสืบพยานคราวหน้า หากไม่นำมาชำระให้ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ก่อนวันนัดสืบพยาน 1 วัน โจทก์ขอชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมเพียงบางส่วน ส่วนที่ยังขาดขอขยายเวลาไปอีก 30 วันศาลชั้นต้นไม่อนุญาต โจทก์แถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันนัด โจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลส่วนที่เพิ่มมาชำระจนครบถ้วน ก่อนเวลาศาลจะเรียกเข้าห้องพิจารณาเพื่อดำเนินการสืบพยาน ดังนี้ จะถือว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1700/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมและการจงใจทิ้งฟ้อง ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าการชำระค่าขึ้นศาลครบถ้วนก่อนการสืบพยาน ไม่ถือเป็นการจงใจทิ้งฟ้อง
ศาลชั้นต้นสั่งให้โจทก์นำค่าขึ้นศาลมาชำระเพิ่มเติม โจทก์แถลงรับว่าจะนำมาชำระก่อนวันนัดสืบพยานคราวหน้า หากไม่นำมาชำระให้ถือว่าโจทก์ไม่ติดใจดำเนินคดีต่อไป ก่อนวันนัดสืบพยาน 1 วัน โจทก์ขอชำระค่าขึ้นศาลเพิ่มเติมเพียงบางส่วน ส่วนที่ยังขาดขอขยายเวลาไปอีก 30 วัน ศาลชั้นต้นไม่อนุญาต โจทก์แถลงโต้แย้งคำสั่งศาลชั้นต้นไว้ รุ่งขึ้นซึ่งเป็นวันนัด โจทก์ได้นำค่าขึ้นศาลส่วนที่เพิ่มมาชำระจนครบถ้วน ก่อนเวลาศาลจะเรียกเข้าห้องพิจารณาเพื่อดำเนินการสืบพยาน ดังนี้ จะถือว่าโจทก์จงใจทิ้งฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 174 หาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิธีคำนวณภาษีเงินได้ที่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 และการใช้ดุลยพินิจของศาล
แม้โจทก์จะมิใช่ผู้มีเงินได้ แต่โจทก์ก็มีหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 ที่จะต้องหักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ และจะต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างของโจทก์ผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่มิได้หักและนำส่งหรือตามจำนวนที่ขาดไป ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54ฉะนั้น ในกรณีเช่นนี้ โจทก์จึงมีฐานะเช่นเดียวกับผู้มีเงินได้
หนังสือที่ กค.0806/งด.4658 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2513 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้แจ้งให้โจทก์ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 พร้อมกับชำระภาษีที่ขาดจำนวนภายใน 30 วันนั้น ถือเป็นหนังสือแจ้งการประเมิน เพราะได้แจ้งในฐานะเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้และได้มีการประเมินแล้วว่าโจทก์เสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้องส่วนหนังสือที่ กค.0804/15759 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2514นั้น ก็เป็นคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เช่นกันเพราะหนังสือฉบับนี้มีข้อความว่า"คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ฯลฯ " และลงชื่ออธิบดีกรมสรรพากรในฐานะประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ จึงเท่ากับว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์แล้วว่า โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์โจทก์จึงมีอำนาจอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้นโดยยื่นฟ้องต่อศาลได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30(2)
เงินได้ที่นายจ้างออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้ของลูกจ้างผู้ใดนั้น ก่อนที่จะทราบว่าเป็นเงินได้จำนวนเท่าใด ก็จะต้องทราบเสียก่อนว่า ลูกจ้างผู้นั้นจะต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินของตน(หากนายจ้างมิได้ออกค่าภาษีเงินได้ให้)เป็นจำนวนเท่าใด และภาษีเงินได้ซึ่งลูกจ้างจะต้องเสียจำนวนนี้ หากนายจ้างออกให้ก็จะต้องนำมารวมกับรายได้พึงประเมินเดิมของลูกจ้างเพื่อถือเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นของลูกจ้างผู้นั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40(1) แต่จะคำนวณทำนองนี้ต่อไปซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบทศนิยมไม่รู้จบอันเป็นที่มาของสูตรสำเร็จดังที่กรมสรรพากรจำเลยคำนวณหาได้ไม่ เพราะการคำนวณวิธีนั้นจะเป็นการคำนวณภาษีเงินได้ในอัตราที่สูงกว่าอัตราภาษีเงินได้ที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ของประมวลรัษฎากร (ตามวรรคสาม วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 8/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1675/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ วิธีคำนวณภาษีเงินได้ที่ถูกต้องตามประมวลรัษฎากร มาตรา 40 การนำเงินภาษีที่นายจ้างจ่ายแทนลูกจ้างมารวมเป็นเงินได้พึงประเมิน
แม้โจทก์จะมิใช่ผู้มีเงินได้ แต่โจทก์ก็มีหน้าที่ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 50 ที่จะต้องหักภาษีเงินได้ไว้ทุกคราวที่จ่ายเงินได้พึงประเมินให้แก่ลูกจ้างของโจทก์ และจะต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างของโจทก์ผู้มีเงินได้ในการเสียภาษีที่ต้องชำระตามจำนวนเงินภาษีที่มิได้หักและนำส่ง หรือตามจำนวนที่ขาดไป ดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 ฉะนั้น ในกรณีเช่นนี้ โจทก์จึงมีฐานะเช่นเดียวกับผู้มีเงินได้
หนังสือที่ กค.0806/งด.4658 ลงวันที่ 4 พฤศจิกายน 2513 ซึ่งเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้แจ้งให้โจทก์ยื่นแบบ ภ.ง.ด.1 พร้อมกับชำระภาษีที่ขาดจำนวนภายใน 30 วันนั้น ถือเป็นหนังสือแจ้งการประเมิน เพราะได้แจ้งในฐานะเป็นเจ้าพนักงานประเมินภาษีเงินได้และได้มีการประเมินแล้วว่าโจทก์เสียภาษีหัก ณ ที่จ่ายไม่ถูกต้อง ส่วนหนังสือที่ กค.0804/15759 ลงวันที่ 1 ธันวาคม 2514 นั้น ก็เป็นคำวินิจฉัยของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์เช่นกัน เพราะหนังสือฉบับนี้มีข้อความว่า "คณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้พิจารณาแล้วเห็นว่า ฯลฯ" และลงชื่ออธิบดีกรมสรรพากรในฐานะประธานกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ เมื่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์แจ้งให้โจทก์ทราบว่ากรณีไม่เข้าหลักเกณฑ์ตามกฎหมายที่จะยื่นอุทธรณ์ได้ จึงเท่ากับว่าคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ได้วินิจฉัยอุทธรณ์ของโจทก์แล้วว่า โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นอุทธรณ์ โจทก์จึงมีอำนาจอุทธรณ์คำสั่งของคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์นั้นโดยยื่นฟ้องต่อศาลได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 30 (2)
เงินได้ที่นายจ้างออกให้เป็นค่าภาษีเงินได้ของลูกจ้างผู้ใดนั้น ก่อนที่จะทราบว่าเป็นเงินได้จำนวนเท่าใด ก็จะต้องทราบเสียก่อนว่า ลูกจ้างนั้นจะต้องเสียภาษีเงินได้จากเงินได้พึงประเมินของตน (หากนายจ้างมิได้ออกค่าภาษีเงินได้ให้) เป็นจำนวนเท่าใด และภาษีเงินได้ซึ่งลูกจ้างจะต้องเสียจำนวนนี้ หากนายจ้างออกให้ ก็จะต้องนำมารวมกับรายได้พึงประเมินเดิมของลูกจ้างเพื่อถือเป็นเงินได้พึงประเมินทั้งสิ้นของลูกจ้างผู้นั้น ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 40 (1) แต่จะคำนวณทำนองนี้ต่อไปซ้ำแล้วซ้ำอีกแบบทศนิยมไม่รู้จบอันเป็นที่มาของสูตรสำเร็จดังที่กรมสรรพากรจำเลยคำนวณหาได้ไม่ เพราะการคำนวณวิธีนั้น จะเป็นการคำนวณภาษีเงินได้ในอัตราที่สูงกว่าอัตราภาษีเงินได้ที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราภาษีเงินได้ของประมวลรัษฎากร (ตามวรรค 3 วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ครั้งที่ 8/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในความเสียหายจากละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติงาน
ว. ลูกจ้างจำเลยทำการจำหน่ายน้ำมันเบนซินโดยสูบน้ำมันจากถังน้ำมันเอาใส่ถังน้ำมันรถยนต์เก๋งคันหนึ่งในบริเวณปั๊มน้ำมันเพื่อขายให้แก่ลูกค้า ขณะที่กำลังสูบน้ำมันอยู่นั้น ว. เห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านมาและทิ้งก้นบุหรี่ซึ่งติดไฟอยู่ลงที่พื้นข้างทางห่างจากที่ ว.กำลังสูบน้ำมันอยู่ประมาณ 1 ศอก ว. ไม่หยุดสูบน้ำมันเสียก่อนแล้วจัดการดับก้นบุหรี่หรือเก็บก้นบุหรี่นั้นไปทิ้งให้ไกลออกไปเพื่อความปลอดภัย เพลิงได้ลุกไหม้จากก้นบุหรี่แล้วลุกลามอย่างรวดเร็วไหม้ถังน้ำมันที่ ว. สูบอยู่และบริเวณปั๊ม เป็นเหตุให้รถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ถูกไฟไหม้หมดทั้งคัน ดังนี้ เหตุที่เกิดเพลิงไหม้เป็นเพราะ ว. ลูกจ้างจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยจะต้องร่วมรับผิดด้วย
เมื่อรถยนต์คันดังกล่าวโจทก์ได้ซ่อมให้แก่ผู้เอาประกันภัยเป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนและวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกลูกจ้างจำเลย โจทก์ผู้รับประกันภัยย่อมรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยซึ่งมีต่อบุคคลภายนอก จำเลยผู้ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
ปัญหาที่ว่า ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดยังมิได้รับการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพราะศาลล่างทั้งสองเห็นว่าจำเลยไม่ต้องรับผิด เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดและคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้ว ก็เห็นสมควรพิจารณาพิพากษาไปทีเดียวโดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปยังศาลล่างเพื่อให้พิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1660/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ นายจ้างต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างในความเสียหายจากละเมิดที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่
ว.ลูกจ้างจำเลยทำการจำหน่ายน้ำมันเบนซินโดยสูบน้ำมันจากถังน้ำมันเอาใส่ถังน้ำมันรถยนต์เก๋งคันหนึ่งในบริเวณปั๊มน้ำมันเพื่อขายให้แก่ลูกค้า ขณะที่กำลังสูบน้ำมันอยู่นั้น ว.เห็นชายคนหนึ่งเดินผ่านมาและทิ้งก้นบุหรี่ซึ่งติดไปอยู่ลงที่พื้นข้างทางห่างจากที่ ว.กำลังสูบน้ำมันอยู่ประมาณ 1 ศอก ว.ไม่หยุดสูบน้ำมันเสียก่อนแล้วจัดการดับก้นบุหรี่หรือเก็บก้นบุหรี่นั้นไปทิ้งให้ไกลออกไปเพื่อความปลอดภัย เพลิงได้ลุกไหม้จากก้นบุหรี่แล้วลุกลามอย่างรวดเร็วไหม้ถังน้ำมันที่ ว.สูบอยู่และบริเวณปั๊ม เป็นเหตุให้รถยนต์ซึ่งโจทก์รับประกันภัยไว้ถูกไฟไหม้หมดทั้งคัน ดังนี้ เหตุที่เกิดเพลิงไหม้เป็นเพราะ ว.ลูกจ้างจำเลยกระทำโดยประมาทเลินเล่ออันเป็นการละเมิดในทางการที่จ้าง จำเลยจะต้องร่วมรับผิดด้วย
เมื่อรถยนต์คันดังกล่าวโจทก์ได้ซ่อมให้แก่ผู้เอาประกันภัยเป็นการใช้ค่าสินไหมทดแทนและวินาศภัยได้เกิดขึ้นเพราะการกระทำของบุคคลภายนอกลูกจ้างจำเลย โจทก์ผู้รับประกันภัยย่อมรับช่วงสิทธิของผู้เอาประกันภัยซึ่งมีต่อบุคคลภายนอก จำเลยผู้ต้องรับผิดร่วมกับลูกจ้างจึงต้องชดใช้ค่าเสียหายให้โจทก์
ปัญหาที่ว่า ค่าเสียหายของโจทก์มีเพียงใดยังมิได้รับการพิจารณาของศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ เพราะศาลล่างทั้งสองเห็นว่าจำเลยไม่ต้องรับผิด เมื่อศาลฎีกาเห็นว่าจำเลยต้องรับผิดและคู่ความได้นำสืบมาสิ้นกระแสความแล้ว ก็เห็นสมควรพิจารณาพิพากษาไปทีเดียวโดยไม่ต้องส่งสำนวนคืนไปยังศาลล่างเพื่อให้พิพากษาใหม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1629/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การถอนผู้อนุบาลและการเพิกถอนคำสั่งแต่งตั้งเนื่องจากละเลยหน้าที่ รวมถึงประเด็นอำนาจฟ้องของญาติ
โจทก์ซึ่งเป็นผู้สืบสันดานจากพี่ของมารดาของคนไร้ความสามารถฟ้องขอถอนจำเลยจากเป็นผู้อนุบาล ศาลพิพากษายุติไปแล้วว่าโจทก์ฟ้องได้ในฐานเป็นญาติสนิท จำเลยจะฎีกาในประเด็นข้อนี้ขึ้นมาพร้อมกับประเด็นข้ออื่นอีกไม่ได้ ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 148 ศาลฎีกาก็พิจารณาปัญหานี้ไม่ได้ตาม มาตรา 144
ผู้อนุบาลไม่ดูแลคนไร้ความสามารถในเรื่องอาหารการกินและรักษาพยาบาล ศาลเพิกถอนและตั้งผู้อนุบาลใหม่ตามคำฟ้องของญาติสนิทได้
โจทก์ฟ้องอ้างว่าเป็นหญิงหม้าย เมื่อโจทก์เบิกความว่าโจทก์มีสามียังไม่ได้หย่า โจทก์ยื่นใบอนุญาตของสามีให้ฟ้องคดี ศาลอนุญาตได้ตาม มาตรา 56

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1580/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบุกรุกและละเมิดจากการรับจ้างทำของ: ความรับผิดนอกฟ้อง
ฟ้องว่าจำเลยที่ 1 รับจ้างทำของ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ว่าจ้าง จำเลยทั้งสองร่วมกันบุกรุก จำเลยที่ 1 ตัดต้นไม้ในที่ดินของโจทก์ตามคำสั่งจำเลยที่ 2 เรียกค่าเสียหาย พิจารณาได้ความว่าคนงานของจำเลยที่ 1 ทำละเมิด เป็นเรื่องนอกฟ้องต้องยกฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1571/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การบรรยายฟ้องคดีลักทรัพย์โดยไม่ระบุคำว่า 'ลัก' หรือ 'โดยทุจริต' ยังไม่ทำให้ฟ้องเสีย หากเนื้อหาบ่งชี้เจตนาทุจริต
บรรยายฟ้องคดีลักทรัพย์ว่า จำเลยได้บังอาจร่วมกับ ม.ใช้ค้อนงัดเอาคิ้วทองเหลืองของพื้นตึกของผู้เสียหายไป แม้จะมิได้ระบุคำว่า "ลัก" และคำว่า "โดยทุจริต" ก็ไม่ทำให้ฟ้องของโจทก์เสียไป เพราะบรรยายไม่ครบองค์ประกอบความผิด เพราะคำว่า"บังอาจ" กับคำว่า"เอาไป" ประกอบกันก็บ่งอยู่แล้วว่ากระทำโดยทุจริตอยู่ในตัว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1527/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับรองสัญญากู้และการนำสืบหักล้าง หากอ้างถูกหลอกลวง จำเลยมีหน้าที่นำสืบก่อน
จำเลยรับว่าสัญญากู้ที่โจทก์นำมาฟ้องจำเลยได้ลงชื่อเป็นผู้กู้ มิได้ปฏิเสธความถูกแท้จริงแห่งสัญญากู้ว่าเป็นสัญญาปลอม แต่อ้างว่าโจทก์ไม่ได้จ่ายเงินตามสัญญา โดยบอกจำเลยว่าจะถูกปล้นกลางทาง อยากได้ไปใช้เท่าใดให้มาหา จะพาไปเอาที่ธนาคารเท่าที่จำเป็น โจทก์กับ ม.สมคบกันหลอกลวงจำเลย ฯลฯ ฝ่ายจำเลยจึงเป็นฝ่ายกล่าวอ้างว่าหนี้ตามสัญญากู้นั้นไม่จริง ไม่ได้เป็นหนี้ จำเลยจึงเป็นฝ่ายมีหน้าที่นำสืบก่อน ว่าไม่มีหนี้และนำพยานบุคคลมาสืบหักล้างเอกสารสัญญากู้ได้ แม้สัญญากู้จะระบุว่าจำเลยรับเงินกู้ไปครบถ้วนแล้ว ไม่เป็นการสืบเปลี่ยนแปลงแก้ไขเอกสาร เข้าอยู่ในวรรคท้ายของประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94
of 62