คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมชัย ทรัพยวณิช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 856 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของโรงแรมต่อการสูญหายของรถจักรยานยนต์ที่ไม่ใช่ของมีค่า
คำว่า "ของมีค่า" ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรค 2 นั้น หมายถึงทรัพย์สินที่มีคุณค่าอันมีลักษณะพิเศษทำนองเดียวกันเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ แต่รถจักรยานยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินตามธรรมดาทั่ว ๆ ไป จึงถือไม่ได้ว่าเป็นของมีค่าตามบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ฝากรถจักรยานยนต์ไว้กับพนักงานโรงแรมของจำเลย แล้วรถจักรยานยนต์ดังกล่าวหายไป จำเลยเป็นเจ้าของสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดตามมาตรา 674, 675 วรรคหนึ่ง จะรับผิดเพียง 500 บาท ตามมาตรา 675 วรรค 2 ไม่ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถจักรยานยนต์หายไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์ 12,000 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่า โจทก์นำรถจักรยานยนต์เข้าเก็บในโรงแรมโดยไม่ใส่กุญแจรถเป็นความผิดของโจทก์ ดังนี้เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 824/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของโรงแรมต่อทรัพย์สินของลูกค้า: รถจักรยานยนต์ไม่ใช่ 'ของมีค่า' ตามกฎหมาย
คำว่า 'ของมีค่า' ตามความหมายแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 675 วรรคสอง นั้นหมายถึงทรัพย์สินที่มีคุณค่าอันมีลักษณะพิเศษทำนองเดียวกับเงินทองตรา ธนบัตร ตั๋วเงิน ฯลฯ แต่รถจักรยานยนต์เป็นเพียงทรัพย์สินตามธรรมดาทั่วๆ ไป จึงถือไม่ได้ว่าเป็นของมีค่าตามบทบัญญัติดังกล่าว ดังนั้น เมื่อโจทก์ได้ฝากรถจักรยานยนต์ไว้กับพนักงานโรงแรมของจำเลย แล้วรถจักรยานยนต์ดังกล่าวหายไป จำเลยเป็นเจ้าสำนักโรงแรมจึงต้องรับผิดตามมาตรา 674,675 วรรคหนึ่ง จะรับผิดเพียง 500 บาทตามมาตรา 675 วรรคสองไม่ได้
ศาลชั้นต้นฟังว่า รถจักรยานยนต์หายไปโดยมิใช่ความผิดของโจทก์ พิพากษาให้จำเลยใช้ราคารถจักรยานยนต์ 12,000 บาทศาลอุทธรณ์พิพากษายืน จำเลยฎีกาว่าโจทก์นำรถจักรยานยนต์เข้าเก็บในโรงแรมโดยไม่ใส่กุญแจรถเป็นความผิดของโจทก์ดังนี้เป็นฎีกาโต้เถียงในปัญหาข้อเท็จจริงซึ่งต้องห้ามมิให้ฎีกา ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 804/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องซ้ำในประเด็นการเป็นทายาทและสิทธิในที่ดินหลังศาลตัดสินถึงที่สุดแล้ว
คดีก่อน โจทก์ฟ้องอ้างว่า โจทก์เป็นบุตรและทายาทโดยธรรมของ ฟ. ขอให้ศาลแสดงว่าโจทก์เป็นเจ้าของที่ดินโดยทางรับมรดก ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดแล้ว ว่าโจทก์มิใช่บุตรของ ฟ. ไม่มีสิทธิรับมรดก โจทก์ฟ้องคดีนี้โดยอ้างเหตุว่าโจทก์เป็นบุตรและทายาทโดยธรรมของ ฟ. และเป็นเจ้าของที่ดินแปลงนี้โดยทางรับมรดกอีก เป็นประเด็นเดียวกับคดีก่อน จึงเป็นฟ้องซ้ำ
(วินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 7-8 /2519)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิดพ.ร.บ.ป่าไม้: ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้เครื่องจักรกลโดยไม่ได้รับอนุญาต, ครอบครองไม้แปรรูปโดยไม่ได้รับอนุญาต, และใช้จ้างผู้อื่นแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต
พระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48 แก้ไขโดยประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่116 ข้อ 4 วันที่ 10 เมษายน 2515 ผู้ได้รับอนุญาตแปรรูปไม้โดยใช้แรงงาน ทำผิดใบอนุญาตโดยใช้เลื่อยวงเดือนและเครื่องไสกบไฟฟ้าอันเป็นเครื่องจักรกล เป็นความผิดมีโทษตาม มาตรา32
จำเลยที่ 2 มีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่รับอนุญาตเป็นความผิดตาม มาตรา 48,72 จำเลยที่ 1 ผู้ได้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงงาน มีไม้นั้นไว้ในโรงงานมีความผิดตาม มาตรา 51, 72 ทวิ ไม่ใช่ มาตรา48 โจทก์อ้าง มาตรา 48,72 ศาลลงโทษตามบทมาตราที่ถูกต้องได้
จำเลยที่ 4, ที่ 6 แปรรูปไม้โดยไม่มีคู่มือแสดงฐานะคนงานรับจ้างจำเลยที่ 1 เป็นผู้รับอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้ต้องรับผิดชอบเกี่ยวกับแปรรูปไม้ตามที่ได้รับอนุญาต. จำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการ จำเลยที่ 4, ที่ 6 มีความผิดฐานทำการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1,2 เป็นผู้ว่าจ้างใช้ให้จำเลยที่ 4, ที่ 6 กระทำผิดแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 786/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยฝ่าฝืนเงื่อนไขอนุญาต และความผิดเกี่ยวกับการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต
จำเลยที่ 1 ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้โดยใช้แรงงานคน แล้วฝ่าฝืนข้อกำหนดในใบอนุญาตกลับใช้เครื่องเลื่อยวงเดือนและเครื่องไสกลไฟฟ้าซึ่งเป็นเครื่องจักรกล แปรรูปไม้เช่นนี้ ย่อมเป็นความผิดฐานตั้งโรงงานแปรรูปไม้ตามมาตรา 48 แห่งพระราชบัญญัติป่าไม้ ฯ เมื่อโจทก์ไม่ได้ฟ้องและขอให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานนี้ จึงลงโทษจำเลยที่ 2 ฐานร่วมกันตั้งโรงงานแปรรูปไม้ไม่ได้
เมื่อจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการโรงงานแปรรูปไม้ของจำเลยที่ 1 มีไม้สักแปรรูปไว้ในครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต อันเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติป่าไม้ฯ มาตรา 48 ประกอบด้วยมาตรา 73 ส่วนจำเลยที่ 1 ผู้ได้รับอนุญาตให้ตั้งโรงงานแปรรูปไม้และมีไม้ดังกล่าวไว้ในโรงงาน ย่อมเป็นความผิดตามมาตรา 51 ประกอบด้วยมาตรา 72 ทวิ หามีความผิดตามมาตรา 48 อีกไม่ (อ้างฎีกาที่ 1483/2503) แม้โจทก์จะอ้างบทมาตราผิด ศาลฎีกาก็มีอำนาจลงโทษจำเลยที่ 1 ตามฐานความผิดที่ถูกต้องได้
จำเลยที่ 4 และที่ 6 รับจ้างแปรรูปไม้โดยไม่มีใบคู่มือแสดงฐานเป็นคนงานหรือผู้รับจ้างซึ่งเป็นใบอนุญาตที่ออกให้โดยเจ้าพนักงานป่าไม้ ย่อมรู้ดีว่าการทำการแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต มีความผิดฐานแปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาต จำเลยที่ 1 ย่อมต้องรับผิดในการดำเนินกิจการเกี่ยวกับการแปรรูปไม้ตามที่ตนได้รับอนุญาตตามมาตรา 49 ทวิ การกระทำของจำเลยที่ 1 และที่ 2 ซึ่งเป็นผู้จัดการ จึงฟังได้ว่าเป็นผู้ว่าจ้าง มีความผิดฐานเป็นผู้ใช้ให้จำเลยที่ 4 ที่ 6 แปรรูปไม้โดยไม่ได้รับอนุญาตด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาสัญญาเช่าซื้อ และสิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยของเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับคืน
โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลยและได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนให้จำเลยแล้ว ต่อมาโจทก์จำเลยแสดงเจตนาเลิกสัญญากันและเป็นผลให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนี้ จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้ให้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวด้วย โดยคิดตั้งแต่เวลาที่รับเงินนั้นไว้ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ประกอบด้วยมาตรา 391
แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่จำเลยรับเงินไว้แต่เมื่อฎีกาขอดอกเบี้ยมาเพียงนับแต่วันพ้นกำหนดคำบอกกล่าวให้คืนเงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ได้เท่าที่ขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 754/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกสัญญาสัญญาเช่าซื้อและการคืนเงินค่าเช่าพร้อมดอกเบี้ยตามกฎหมาย
โจทก์ทำสัญญาเช่าซื้อที่ดินจากจำเลยและได้ชำระค่าเช่าซื้อบางส่วนให้จำเลยแล้วต่อมาโจทก์จำเลยแสดงเจตนาเลิกสัญญากันและเป็นผลให้โจทก์จำเลยกลับคืนสู่ฐานะเดิม ดังนี้ จำเลยจึงต้องคืนเงินค่าเช่าซื้อที่ได้รับไว้ให้โจทก์รวมทั้งดอกเบี้ยของเงินดังกล่าวด้วยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่รับเงินนั้นไว้ในอัตราร้อยละ 7 ครึ่งต่อปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 7 ประกอบด้วย มาตรา 391
แม้โจทก์จะมีสิทธิได้รับดอกเบี้ยโดยคิดตั้งแต่เวลาที่จำเลบรับเงินไว้แต่เมื่อโจทก์ฎีกาขอดอกเบี้ยมาเพียงนับแต่วันพ้นกำหนดคำบอกกล่าวให้คืนเงินค่าเช่าซื้อเท่านั้น ศาลฎีกาย่อมพิพากษาให้ได้เท่าที่ขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอม: การรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างรุกล้ำทางเดิน รถยนต์บรรทุกสูงไม่เกิน 3 เมตร
ศาลพิพากษาให้จำเลยเปิดทางภารจำยอมให้มีความกว้าง 3 เมตร ตลอดแนวทาง และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางรุกล้ำทางภารจำยอมดังกล่าว และปรับที่ดินให้มีสภาพเป็นทางสัญจรไปมาตามปกติ จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ปลูกติดกับทางภารจำยอมโดยรื้อถอนส่วนล่างทั้งหมด แต่มีกัดสาด คานรับกันสาด กับส่วนบนของอาคารชั้นสองยังรุกล้ำเข้าไปเหนือพื้นดินทางภารจำยอม โดยส่วนของกันสาดรุกล้ำเข้าไป 1.38 เมตร สูงจากพื้นดิน 3.30 เมตร และคานรับกันสาดซึ่งอยู่ติดกับกันสาดรุกล้ำเข้าไปครึ่งหนึ่งของกันสาด ส่วนที่ต่ำที่สุดของคานรับกันสาดอยู่ติดกับตัวอาคารสูง 2.67 เมตร ดังนี้ เมื่อทางภารจำยอมที่พิพาทได้ใช้เป็นทางคนเดินและเป็นทางที่รถยนต์บรรทุกใช้ผ่านเข้าออกได้ สำหรับรถยนต์บรรทุกไม่ได้ความว่าใช้บรรทุกของมีความสูงจากพื้นดินทางภารจำยอมเพียงใด จึงต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายโดยบรรทุกของได้ส่วนสูงวัดจากพื้นดินไม่เกิน 3 เมตร ฉะนั้น จำเลยจึงยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลให้ครบถ้วน และจำเลยต้องรื้อถอนตึกแถวส่วนบนที่ยังกีดขวางรุกล้ำทางภารจำยอมเฉพาะที่มีส่วนสูงจากพื้นดินทางภารจำยอมไม่เกิน 3 เมตรออกไปให้หมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 717/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรุกล้ำทางภารจำยอม: จำเลยต้องรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางการใช้ทาง แม้จะสูงจากพื้นดิน
ศาลพิพากษาให้จำเลยเปิดทางภารจำยอมให้มีความกว้าง 3 เมตรตลอดแนวทาง และให้จำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างที่กีดขวางรุกล้ำทางภารจำยอมดังกล่าว และปรับที่ดินให้มีสภาพเป็นทางสัญจรไปมาตามปกติ จำเลยรื้อถอนตึกแถวที่ปลูกติดกับทางภารจำยอมโดยรื้อถอนส่วนล่างทั้งหมด แต่มีกันสาดคานรับกันสาด กับส่วนบนของอาคารชั้นสองยังรุกล้ำเข้าไปเหนือพื้นดินทางภารจำยอม โดยส่วนของกันสาดรุกล้ำเข้าไป 1.38 เมตร สูงจากพื้นดิน3.30 เมตร และคานรับกันสาดซึ่งอยู่ติดกับกันสาดรุกล้ำเข้าไปครึ่งหนึ่งของกันสาด ส่วนที่ต่ำที่สุดของคานรับกันสาดอยู่ติดกับตัวอาคารสูง 2.67เมตร ดังนี้เมื่อทางภารจำยอมที่พิพาทได้ใช้เป็นทางคนเดินและเป็นทางที่รถยนต์บรรทุกใช้ผ่านเข้าออกได้ สำหรับรถยนต์บรรทุกไม่ได้ความว่าใช้บรรทุกของมีความสูงจากพื้นดินทางภารจำยอมเพียงใด จึงต้องอยู่ในบังคับของกฎหมายโดยบรรทุกของได้ส่วนสูงวัดจากพื้นดินไม่เกิน 3 เมตร ฉะนั้น จำเลยจึงยังมิได้ปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลให้ครบถ้วน และจำเลยต้องรื้อถอนตึกแถวส่วนบนที่ยังกีดขวางรุกล้ำทางภารจำยอมเฉพาะที่มีส่วนสูงจากพื้นดินทางภารจำยอมไม่เกิน 3 เมตรออกไปให้หมด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 653/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การใช้กำลังประทุษร้ายจนผู้ตายถึงแก่ความตาย ศาลลงโทษฐานทำร้ายจนถึงแก่ความตาย แม้ฟ้องฐานปล้นทรัพย์
ตามคำบรรยายฟ้องที่ขอให้ลงโทษจำเลยฐานปล้นทรัพย์นั้นได้กล่าวว่า จำเลยกับพวกใช้อาวุธปืนยิงผู้ตายถึงแก่ความตาย ซึ่งความผิดฐานปล้นทรัพย์นั้นรวมการกระทำ โดยการใช้กำลังประทุษร้ายอยู่ด้วย เมื่อข้อเท็จจริงได้ความตามฟ้องว่าผู้ตายตายเพราะถูกจำเลยยิงทำร้าย ศาลย่อมลงโทษจำเลยในความผิดฐานมิได้มีเจตนาฆ่า แต่ทำร้ายผู้ตายจนเป็นเหตุให้ผู้ตายถึงแก่ความตายได้ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรค 5
of 86