คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
สมชัย ทรัพยวณิช

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 856 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 442/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปล้นทรัพย์โดยใช้อาวุธปืน จำเลยไม่มีอาวุธ ศาลฎีกาแก้โทษ
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้งสองกับพวกที่ยังไม่ได้ตัวมาฟ้องอีก 4 คนร่วมกันมีปืนเป็นอาวุธทำการปล้นทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยที่ 2 มิได้มีอาวุธอะไรเลย และจำเลยที่ 1 มีเพียงมีดปลายแหลมอย่างเดียวเท่านั้น คนร้ายที่มีปืนคือพวกที่ยังจับตัวไม่ได้ ดังนี้ การกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรีแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 15
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340,340 ตรี,83 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 11 ข้อ 14,15 ส่วนจำเลยที่ 2 ให้ยกฟ้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นว่าให้ลงโทษจำเลยที่ 2 ตามบทมาตราดังกล่าวด้วยจำเลยที่ 2 ฎีกา ดังนี้ แม้จำเลยที่ 1 จะมิได้อุทธรณ์ฎีกา ถ้าศาลฎีกาเห็นว่าการกระทำของจำเลยทั้งสองไม่ต้องด้วยประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 340 ตรี ประกาศของคณะปฏิวัติฉบับที่ 11 ข้อ 15 ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิพากษาตลอดไปถึงจำเลยที่ 1 ได้ เพราะเป็นเหตุในลักษณะคดี.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณสมบัติ – สิทธิครอบครอง – การจัดสรรนิคม – การครอบครองก่อนกฎหมายหวงห้าม
ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในแนวเขตของการจัดสรรนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ ที่พิพาทเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้อง ตำบลวงฆ้อง ตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ. 2487 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญํติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ. 2478 ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 ที่พิพาทคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตลอดมาจนบัดนี้ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ. 2497 นั้น ที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 14 - 15 ปี แต่ก็เป็นระยะเวลาภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย จำเลยทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำกินในที่พิพาทโดยเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้จัดให้เช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 433/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ที่ดินสาธารณสมบัติ: สิทธิครอบครองของผู้ได้รับอนุญาตจากนิคมฯ เหนือกว่าการครอบครองโดยมิชอบ
ที่พิพาทเป็นที่ดินอยู่ภายในแนวเขตของการจัดสรรนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์ ตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 246 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2515 ดังนี้ ที่พิพาทเป็นที่หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดเขตหวงห้ามที่ดินในท้องที่ตำบลพรหมพิราม ตำบลหนองแขม ตำบลมะต้องตำบลวงฆ้องตำบลหอกลอง ตำบลวัดโบสถ์ และตำบลท่างาม อำเภอพรหมพิราม จังหวัดพิษณุโลก พ.ศ.2487 ซึ่งออกตามความในพระราชบัญญัติว่าด้วยการหวงห้ามที่ดินรกร้างว่างเปล่าอันเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน พ.ศ.2478 ถึงแม้ว่าพระราชบัญญัติดังกล่าวถูกยกเลิกโดยพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 ที่พิพาทคงเป็นที่หวงห้ามต่อไปตลอดมาจนบัดนี้ ตามมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมายที่ดิน พ.ศ.2497 นั้นที่พิพาทย่อมเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 โจทก์ครอบครองที่พิพาทมาประมาณ 14-15 ปี แต่ก็เป็นระยะเวลาภายหลังที่ที่พิพาทตกเป็นที่หวงห้ามตามกฎหมายแล้ว และไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้รับอนุญาตจากเจ้าหน้าที่ การครอบครองที่พิพาทของโจทก์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายจำเลยทั้งสี่ได้รับอนุญาตให้เข้าทำกินในที่พิพาทโดยเจ้าหน้าที่ของนิคมสร้างตนเองของกรมประชาสงเคราะห์เป็นผู้จัดให้เช่นนี้ จำเลยทั้งสี่ย่อมมีสิทธิครอบครองที่พิพาท การกระทำของจำเลยไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ โจทก์ไม่มีสิทธิครอบครองที่พิพาท และไม่มีอำนาจฟ้องจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนคดีอาญาข้ามเขต และข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาจำเลยที่ว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวาง พนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 2 จึงไม่มีอำนาจสอบสวนนั้น แม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาวินิจฉัยให้
จำเลยพรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดาผู้ปกครอง เหตุเกิดในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 2 และได้ข่มขืนกระทำชำเรากับทำให้เสียทรัพย์ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางดังนี้จำเลยกระทำผิดหลายกรรม กระทำในท้องที่ต่าง ๆ กัน พนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ตามมาตรา 19 (4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 408/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจสอบสวนคดีอาญาที่เกิดในหลายท้องที่ และข้อจำกัดการฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำคุกจำเลยแต่ละกระทงไม่เกิน 5 ปี ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนต้องห้ามฎีกาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218
ฎีกาจำเลยที่ว่าความผิดฐานข่มขืนกระทำชำเราเกิดขึ้นในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 2 จึงไม่มีอำนาจสอบสวนนั้น แม้ไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้นแต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาวินิจฉัยให้
จำเลยพรากผู้เยาว์ไปจากบิดามารดาผู้ปกครอง เหตุเกิดในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลลุมพินี 2 และได้ข่มขืนกระทำชำเรากับทำให้เสียทรัพย์ในท้องที่สถานีตำรวจนครบาลห้วยขวางดังนี้จำเลยกระทำผิดหลายกรรมกระทำลงในท้องที่ต่างๆ กันพนักงานสอบสวนในท้องที่หนึ่งท้องที่ใดที่เกี่ยวข้องย่อมมีอำนาจสอบสวนได้ตามมาตรา 19(4) แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิบัติตามคำสั่งเจ้าพนักงาน: การส่งเอกสารที่อยู่ในความครอบครองของผู้อื่น และเจตนาในการฝ่าฝืน
เจ้าพนักงานได้ออกคำสั่งเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้เมื่อตอนไปกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2ซึ่งเป็นเวลาก่อนที่จะได้รับคำสั่งเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงาน เอกสารดังกล่าวมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จะคืนเอกสารนั้นให้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว ขณะได้รับหมายเรียก จำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็ได้ไปพบเจ้าพนักงานชี้แจงให้ทราบถึงเหตุที่ไม่ส่งเอกสารว่า หากส่งให้แก่เจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญากู้ก็จะไม่มีเอกสารคืนให้แก่จำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน การที่จำเลยทั้งสองไม่ส่งเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ตามคำสั่งเรียก จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การไม่ส่งเอกสารตามคำสั่งเจ้าพนักงานเนื่องจากเป็นประกันหนี้ ไม่ถือเป็นการฝ่าฝืนคำสั่ง
เจ้าพนักงานได้ออกคำสั่งเรียกให้จำเลยทั้งสองร่วมกันส่งเอกสารหนังสือรับรองการทำประโยชน์ (น.ส.3) ปรากฏว่าจำเลยที่ 1 นำหนังสือรับรองการทำประโยชน์นั้นไปมอบให้แก่จำเลยที่ 2 ยึดถือไว้เมื่อตอนไปกู้ยืมเงินจากจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเวลาก่อนจะได้รับคำสั่งเรียกเอกสารจากเจ้าพนักงาน เอกสารดังกล่าวมิได้อยู่ในความครอบครองของจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 2 จะคืนเอกสารนั้นให้ก็ต่อเมื่อจำเลยที่ 1 ชำระหนี้แล้ว ขณะได้รับหมายเรียก จำเลยที่ 1 ยังมิได้ชำระหนี้แก่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 2 ก็ได้ไปพบเจ้าพนักงานชี้แจงให้ทราบถึงเหตุที่ไม่ส่งเอกสารว่า หากส่งให้แก่เจ้าพนักงานแล้ว เมื่อจำเลยที่ 1 นำเงินมาชำระหนี้ตามสัญญากู้ก็จะไม่มีเอกสารคืนให้แก่จำเลยที่ 1 แสดงว่าจำเลยทั้งสองไม่มีเจตนาฝ่าฝืนคำสั่งของเจ้าพนักงาน การที่จำเลยทั้งสองไม่ส่งเอกสารหนังสือรับรอบการทำประโยชน์ตามคำสั่งเรียก จึงไม่มีความผิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 264/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การซื้อรถยนต์ที่ถูกขโมย ผู้ซื้อเรียกค่าเสียหายจากผู้ขายได้
รถยนต์ถูกลักไปขาย กรณีไม่เข้ามาตราที่ยกเว้นผู้ซื้อต้องคืนเจ้าของเดิมผู้ซื้อเรียกค่าเสียหายจากผู้ที่ขายรถแก่ตนได้กรมตำรวจคืนรถแก่เจ้าของตามหน้าที่ไม่เป็นละเมิด

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 174/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อพิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินแยกส่วน ศาลอุทธรณ์ยืนตามคำพิพากษาเดิม
โจทก์พิพาทกรรมสิทธิ์ที่ดินกับจำเลย 2 คน เป็นที่ดินคนละส่วนไม่เกี่ยวข้องกัน ที่ดินแต่ละแปลงราคา 4,500 บาท ศาลอุทธรณ์พิพากษายืนให้โจทก์ชนะ จำเลยทั้ง 2 คนฎีกาข้อเท็จจริงไม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 27/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ขาดนัดพิจารณา - คำขอพิจารณาใหม่ - อ้างเหตุนอกเหนือชั้นฎีกา
ศาลพิพากษาในคดีที่จำเลยขาดนัดพิจารณา คำขอให้พิจารณาใหม่ต้องยื่นภายใน 15 วัน นับจากวันส่งคำบังคับให้จำเลยพฤติการณ์นอกเหนืออ้างขึ้นในชั้นฎีกาศาลไม่รับวินิจฉัย
of 86