คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพโรจน์ ไวกาสี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2571/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับประกันภัย: จำเลยไม่ต้องรับผิดหากเจ้าของรถยนต์ไม่มีความสัมพันธ์ทางกฎหมายกับผู้ขับขี่ที่ก่อให้เกิดความเสียหาย
โจทก์ฟ้องจำเลยให้รับผิดในฐานะที่เป็นผู้รับประกันภัยรถยนต์ของ ป. คดีได้ความแต่เพียงว่าความเสียหายเกิดเพราะ จ. ขับรถยนต์ของ ป. ซึ่งได้เอาประกันภัยไว้กับจำเลยเท่านั้น โจทก์มิได้บรรยายฟ้องหรือนำสืบให้รับฟังได้ว่า จ. ขับรถยนต์ของ ป. ไปในฐานะอะไร และมีนิติสัมพันธ์อย่างไรกับ ป. อันจะเป็นเหตุให้ ป. ต้องร่วมรับผิดในการกระทำละเมิดของ จ. เมื่อ ป. ไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์แล้ว จำเลยในฐานะผู้รับประกันภัยค้ำจุนจึงไม่ต้องรับผิดด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในเงินอายัดทรัพย์สิน: การรับเงินก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุดทำให้มีหน้าที่คืน
โจทก์กับผู้ร้องพิพาทกันเรื่องเงินที่ธนาคารออมสินส่งมาตามคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ก่อนมีคำพิพากษาในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์มีสิทธิเหนือเงินจำนวนนี้ดีกว่าผู้ร้อง ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ให้ผู้ร้องมีสิทธิในเงินจำนวนนี้การที่โจทก์รับเงินไปจากศาลก่อนศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษา เท่ากับโจทก์รับเงินที่ตนไม่มีสิทธิได้รับตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2570/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การรับเงินก่อนมีคำพิพากษาถึงที่สุด ศาลสั่งคืนเงินเมื่อศาลฎีกาตัดสินกลับ
โจทก์กับผู้ร้องพิพาทกันเรื่องเงินที่ธนาคารออมสินส่งมาตามคำสั่งอายัดทรัพย์สินไว้ก่อนมีคำพิพากษา ในคดีที่โจทก์ฟ้องเรียกเงินจากจำเลย ศาลชั้นต้นสั่งว่าโจทก์มีสิทธิ์เหนือเงินจำนวนนี้ดีกว่าผู้ร้อง ให้ยกคำร้องของผู้ร้อง ศาลอุทธรณ์พิพากษายืน ศาลฎีกาพิพากษากลับคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ ให้ผู้ร้องมีสิทธิ์ในเงินจำนวนนี้ การที่โจทก์รับเงินไปจากศาลก่อนศาลฎีกาจะได้มีคำพิพากษา เท่ากับโจทก์รับเงินที่ตนไม่มีสิทธิ์ได้รับตามคำพิพากษาศาลฎีกา โจทก์จึงมีหน้าที่ต้องคืนเงินจำนวนดังกล่าว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีการค้ากรณีนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า: การพิจารณาผู้ประกอบการค้าและการขายสินค้า
โจทก์จดทะเบียนการค้าประเภทการขายของประเภท 1 ชนิด 1 (ก) ในฐานะผู้ผลิตสินค้าซิเมนต์ เหล็ก อิฐ ได้สั่งกระดาษม้วน ด้าย และเทปกระดาษเข้ามาเพื่อผลิตเป็นถุงกระดาษบรรจุปูนซิเมนต์ ดังนี้ ไม่ว่าโจทก์จะขายถุงปูนซิเมนต์โดยคำนวณต้นทุนผลิตรวมกันไปกับปูนซิเมนต์หรือไม่ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์สั่งสินค้าดังกล่าวเข้ามาใช้ผลิตเพื่อขายซึ่งสินค้าที่โจทก์ได้ประกอบการค้าอยู่ สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัว ซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่โจทก์นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายแล้ว จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าซึ่งได้ขายสินค้านี้ และให้ถือมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ (1) ต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 อัตราร้อยละ 5 ของรายรับ
โจทก์สั่งลวดเหล็กเข้ามาใช้เป็นวัสดุเพื่อผลิตเป็นสินค้าตะปูหรือสินค้าเหล็ก และสั่งโลหะผสมแร่เข้ามาใช้เป็นวัสดุเพื่อผลิตเป็นสินค้าเหล็กของโจทก์เพื่อขายต่อไป ดังนี้ เมื่อโจทก์มิได้สั่งลวดเหล็กและโลหะผสมแร่เข้ามาเพื่อขาย โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้า ตามมาตรา 78 วรรคแรก และไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรค 2 และเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าลวดเหล็กและโลหะผสมแร่ ก็จะถือว่าการนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาสำหรับผลิตสินค้าเท่ากับนำสินค้าไปใช้ เป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3) ไม่ได้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2454/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประเมินภาษีการค้ากรณีนำเข้าวัตถุดิบเพื่อผลิตสินค้า: การตีความ 'ขาย' ตามประมวลรัษฎากร
โจทก์จดทะเบียนการค้าประเภทการขายของประเภท 1 ชนิด 1(ก)ในฐานะผู้ผลิตสินค้าซิเมนต์ เหล็ก อิฐ ได้สั่งกระดาษม้วน ด้าย และเทปกระดาษเข้ามาเพื่อผลิตเป็นถุงกระดาษบรรจุปูนซิเมนต์ ดังนี้ ไม่ว่าโจทก์จะขายถุงปูนซิเมนต์โดยคำนวณต้นทุนผลิตรวมกันไปกับปูนซิเมนต์หรือไม่ก็ตาม ก็ถือไม่ได้ว่าโจทก์สั่งสินค้าดังกล่าวเข้ามาใช้ผลิตเพื่อขายซึ่งสินค้าที่โจทก์ได้ประกอบการค้าอยู่ สินค้าเหล่านี้เป็นสินค้าประเภทการค้า 1 ชนิด 1 แห่งบัญชีอัตราภาษีการค้าที่มิใช่เป็นของใช้ส่วนตัว ซึ่งใช้กันตามปกติและตามสมควร ทั้งมิใช่โจทก์นำมาขายหรือผลิตเพื่อขายแล้ว จึงถือว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าซึ่งได้ขายสินค้านี้ และให้ถือมูลค่าของสินค้าเป็นรายรับตามประมวลรัษฎากร มาตรา 79 ทวิ (1) ต้องเสียภาษีการค้าตามมาตรา 78 อัตราร้อยละ 5 ของรายรับ
โจทก์สั่งลวดเหล็กเข้ามาใช้เป็นวัสดุเพื่อผลิตเป็นสินค้าตะปูหรือสินค้าเหล็กและสั่งโลหะผสมแร่เข้ามาใช้เป็นวัสดุเพื่อผลิตเป็นสินค้าเหล็กของโจทก์เพื่อขายต่อไป ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้สั่งลวดเหล็กและโลหะผสมแร่เข้ามาเพื่อขาย โจทก์ก็ไม่ใช่ผู้ประกอบการค้าตามประมวลรัษฎากร มาตรา 77 ไม่ต้องเสียภาษีการค้าตามที่ระบุในบัญชีอัตราภาษีการค้าและรายการที่ประกอบการค้า ตามมาตรา 78 วรรคแรก และไม่ต้องเสียภาษีการค้าในกรณีให้ถือว่าโจทก์ซึ่งเป็นผู้นำเข้าเป็นผู้ประกอบการค้าตามมาตรา 78 วรรค 2 และเมื่อฟังไม่ได้ว่าโจทก์เป็นผู้ประกอบการค้าลวดเหล็กและโลหะผสมแร่ ก็จะถือว่าการนำสินค้าดังกล่าวเข้ามาสำหรับผลิตสินค้าเท่ากับนำสินค้าไปใช้ เป็นการขายสินค้าตามมาตรา 79 ทวิ (3)ไม่ได้ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2433/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาบัญชีเดินสะพัด: สิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นแม้บัญชีหยุดเดิน
จำเลยขอเปิดบัญชีเงินฝากกระแสรายวันกับโจทก์และโจทก์ยอมให้เบิกเงินเกินบัญชีได้ ซึ่งจำเลยได้นำเงินเข้าฝากในบัญชีและเบิกเงินเกินบัญชีโดยใช้เช็คสั่งจ่ายหลายครั้งเช่นนี้ เข้าลักษณะสัญญาบัญชีเดินสะพัด ฉะนั้นแม้หลังจากจำเลยเบิกเงินครั้งสุดท้ายแล้ว บัญชีจำเลยได้หยุดเดินสะพัดโดยจำเลยมิได้นำเงินเข้าฝากหรือเบิกเงินจากโจทก์อีกเลยก็ตามโจทก์มีสิทธิคิดดอกเบี้ยทบต้นได้ตามสัญญาตลอดมาจนกว่าจะมีการเลิกสัญญาและหักทอนบัญชีกันแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: สิทธิเรียกร้องดอกเบี้ยจำนอง - ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิด
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงเช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ที่โจทก์จำนองไว้ต่อธนาคาร ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิ์เรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาได้ ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีกล่าวถึงเรื่องไถ่ถอนจำนอง ก็ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนองแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิ์เรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยหนี้จำนองทรัพย์สินที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์และโจทก์ต้องเสียให้ธนาคารในระหว่างจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2349/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประนีประนอมยอมความ: การเรียกร้องดอกเบี้ยจำนองเมื่อไม่มีข้อตกลงชัดเจน
โจทก์จำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความว่า จำเลยตกลงเช่าซื้อทรัพย์สินของโจทก์ที่โจทก์จำนองไว้ต่อธนาคาร ถ้าจำเลยผิดสัญญาไม่ชำระเงินให้โจทก์ โจทก์มีสิทธิเรียกร้องค่าเสียหายที่เกิดขึ้นจากการผิดสัญญาได้ ดังนี้ เมื่อสัญญาประนีประนอมยอมความที่มีกล่าวถึงเรื่องไถ่ถอนจำนองก็ไม่มีข้อตกลงให้จำเลยรับผิดในเรื่องดอกเบี้ยของหนี้จำนองแต่อย่างใด โจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยหนี้จำนองทรัพย์สินที่จำเลยเช่าซื้อจากโจทก์ และโจทก์ต้องเสียให้ธนาคารในระหว่างจำเลยผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างแรงงาน ค่าจ้าง และการหักหนี้เบี้ยปรับ: สิทธิของลูกจ้างแม้ของหาย
โจทก์จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกันซึ่งมีข้อกำหนดตามสัญญาว่าผู้จ้างยอมให้ผู้รับจ้างคิดค่าจ้างเฝ้ารักษาไม้ของกลางเป็นจำนวนเงิน 400 บาท นับแต่วันทำสัญญาจนกว่าผู้จ้างจะรับไม้ของกลางคืน หากไม้ของกลางขาดหายหรือเป็นอันตรายไปผู้รับจ้างยอมให้ผู้จ้างปรับไหมเป็นเงินลูกบาศก์เมตรละ200 บาท ดังนี้ ถือได้ว่าผู้จ้างตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยผู้รับจ้างได้เฝ้ารักษาไม้ของกลางให้โจทก์ผู้จ้างแล้วไม้ของกลางหายไปในระหว่างนั้น ซึ่งโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าปรับไหมหรือเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญา และศาลบังคับให้ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับตัวเงินไปแทนไม้ของกลางตามสัญญา ทั้งสัญญาไม่มีข้อกำหนดว่า ผู้จ้างจะไม่จ่ายเงินค่าจ้างในกรณีไม้ของกลางสูญหายไป จำเลยจึงมีสิทธิได้รับค่าจ้างจากโจทก์ตามสัญญา และขอหักหนี้ค่าจ้างจากเบี้ยปรับได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2342/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาจ้างแรงงาน ค่าจ้าง และการหักหนี้เบี้ยปรับ: แม้ของกลางสูญหาย ผู้รับจ้างยังมีสิทธิได้รับค่าจ้าง
โจทก์จำเลยทำสัญญาจ้างแรงงานกันซึ่งมีข้อกำหนดตามสัญญาว่าผู้จ้างยอมให้ผู้รับจ้างคิดค่าจ้างเฝ้ารักษาไม้ ของกลางเป็นจำนวนเงิน 400 บาท นับแต่วันทำสัญญาจนกว่าผู้จ้างจะรับไม้ของกลางคืน หากไม้ของกลางขาดหายหรือเป็นอันตรายไป ผู้รับจ้างยอมให้ผู้จ้างปรับไหมเป็นเงินลูกบาศก์เมตรละ 200 บาท ดังนี้ ถือได้ว่าผู้จ้างตกลงให้ค่าจ้างแก่ผู้รับจ้างตลอดเวลาที่ทำงานให้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยผู้รับจ้างได้เฝ้ารักษาไม้ของกลางให้โจทก์ผู้จ้างแล้วไม้ของกลางหายไปในระหว่างนั้นซึ่งโจทก์ได้ฟ้องเรียกค่าปรับไหมหรือเบี้ยปรับจากจำเลยตามสัญญา และศาลบังคับให้ ย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้รับตัวเงินไปแทนไม้ของกลางตามสัญญา ทั้งสัญญาไม่มีข้อกำหนดว่าผู้จ้างจะไม่จ่ายเงินค่าจ้างในกรณีไม้ของกลางสูญหายไป จำเลยจึงมีสิทธิ์ได้รับค่าจ้างจากโจทก์ตามสัญญา และขอหักหนี้ค่าจ้างจากเบี้ยปรับได้
of 54