พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1491/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาล: คดีละเมิดอสังหาริมทรัพย์ฟ้องได้ที่ศาลทรัพย์สินตามที่ตั้ง แม้มีข้อตกลงฟ้องที่ศาลแพ่งในสัญญาเช่า
กรรมการบริษัทให้เช่าอาคารของบริษัทโดยไม่มีอำนาจ บริษัทใช้อาคารไม่ได้ บริษัทฟ้องขับไล่ผู้เช่า เป็นคดีละเมิดเกี่ยวกับอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งต้องฟ้องต่อศาลในเขตที่ทรัพย์ตั้งอยู่ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 4(1) ไม่ใช่กรณีพิพาทเกี่ยวกับสัญญาเช่าซึ่งจะต้องฟ้อง ต่อศาลแพ่งตามข้อตกลงในสัญญาเช่า
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยจากอาคารของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโจทก์ฎีกาข้อให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
ศาลชั้นต้นพิพากษาขับไล่จำเลยจากอาคารของโจทก์ ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้ยกฟ้อง เพราะศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจพิจารณาพิพากษาโจทก์ฎีกาข้อให้ย้อนสำนวนให้ศาลอุทธรณ์พิจารณาพิพากษาใหม่ เป็นคดีไม่มีทุนทรัพย์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1469/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการขอพิจารณาคดีใหม่ กรณีโจทก์ขาดนัดพิจารณา และศาลพิพากษาให้แพ้คดีตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง
โจทก์ซึ่งมีหน้าที่นำสืบก่อนไม่มาศาลในวันนัดสืบพยานโจทก์จนศาลชั้นต้นมีคำสั่งว่า โจทก์ขาดนัดพิจารณาและพิพากษาให้โจทก์แพ้คดีไปแล้ว โจทก์ย่อมมีสิทธิขอให้มีการพิจารณาใหม่ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 207 ได้ กรณีไม่ต้องด้วยมาตรา 205(3) ซึ่งเป็นเรื่องคู่ความที่ขาดนัดมาศาลภายหลังที่ได้เริ่มต้นสืบพยานไปบ้างแล้วในระหว่างพิจารณาคดีฝ่ายเดียว และศาลเห็นว่าการขาดนัดเป็นไปโดยจงใจหรือไม่มีเหตุอันควร
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1348/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยการลงข้อความในหนังสือพิมพ์ ศาลฎีกาวินิจฉัยว่าข้อความดังกล่าวทำให้เสียชื่อเสียง จึงเป็นความผิดฐานหมิ่นประมาท
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่ความ ลงข้อความในหนังสือพิมพ์รายวันว่า "ชาวบ้านที่ติดต่อแผนกที่ดิน จ.นครสวรรค์ ร้องกันอู้ จู่ ๆ ถูกสาวก้นแฉะ ทรงศรี ใช้วจีไม่ค่อยรื่นหู เจตน์ สุวรรณ ที่ดินจังหวัดคนตงฉินได้ยินแล้วอบรมซะบ้าง" เป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้นางสาวทรงศรีโจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ว่าเป็นคนประพฤติไม่ดี ชอบร่วมประเวณีกับชายทั่ว ๆ ไปเป็นประจำไม่เลือกหน้า และได้จำหน่ายจ่ายแจกหนังสือพิมพ์ดังกล่าวไปทั่วทุกจังหวัด ดังนี้เห็นได้ว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายและอธิบายความหมายของข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นการใส่ความในประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้น ได้แพร่หลายไปยังบุคคลที่สามอีก เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ถือได้ว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้นเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จึงไม่จำต้องแปลข้อความให้เห็นเป็นอย่างอื่นนอกเหนือที่จำเลยรับสารภาพ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1348/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาททางหนังสือพิมพ์: การตีความข้อความและขอบเขตความเสียหายต่อชื่อเสียง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยทั้งสองร่วมกันใส่ความ ลงข้อความในหนังสือพิมพ์รายวันว่า 'ชาวบ้านที่ไปติดต่อแผนกที่ดิน จังหวัดนครสวรรค์ ร้องกันอู้จู่ๆถูกสาวก้นแฉะทรงศรีใช้วจีไม่ค่อยรื่นหูเจตน์ สุวรรณ ที่ดินจังหวัดคนตงฉินได้ยินแล้วอบรมซะบ้าง' เป็นการใส่ความโดยประการที่น่าจะทำให้นางสาวทรงศรีโจทก์ร่วมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น และถูกเกลียดชัง ว่าเป็นคนประพฤติไม่ดี ชอบร่วมประเวณีกับชายทั่วๆ ไปเป็นประจำไม่เลือกหน้า และได้จำหน่ายจ่ายแจกหนังสือพิมพ์ดังกล่าวไปทั่วทุกจังหวัดดังนี้เห็นได้ว่า ฟ้องโจทก์ได้บรรยายและอธิบายความหมายของข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ในหนังสือพิมพ์เป็นการใส่ความในประการที่น่าจะทำให้โจทก์ร่วมเสียหายต่อชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น หรือถูกเกลียดชัง ทั้งได้บรรยายให้เห็นว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้น ได้แพร่หลายไปยังบุคคลที่สามอีกเมื่อจำเลยให้การรับสารภาพผิดตามฟ้อง ถือได้ว่าข้อความที่จำเลยลงพิมพ์ไปนั้นเป็นข้อความหมิ่นประมาทโจทก์ร่วม จึงไม่จำต้องแปลข้อความให้เห็นเป็นอย่างอื่นนอกเหนือที่จำเลยรับสารภาพ จำเลยจึงมีความผิดฐานหมิ่นประมาท
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินพิพาทติดกัน เจ้าของร่วมตามสันนิษฐานกฎหมาย หากต่างฝ่ายไม่พิสูจน์การครอบครอง
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ปรากฏว่าที่พิพาทตามแผนที่วิวาทเป็นรูปสามเหลี่ยม อยู่บนคันนาด้านเหนือหมายอักษร ก. มีหลักไม้แก่นปักอยู่เป็นจุดรวม ในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้าดื่มน้ำสาบานกันว่าแต่ละฝ่ายปั้นคันนาพิพาทขึ้นก่อน เมื่อดื่มน้ำสาบานกันตามคำท้าแล้ว จึงขอให้ศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใด ประเด็นเดียว โดยต่างไม่สืบพยานกันและแถลงรับกันว่าที่พิพาทอยู่บนคันนาซึ่งเป็นเขตที่ดินของที่ดินโจทก์จำเลยที่อยู่ติดต่อกัน และต่างฝ่ายต่างถือว่าเป็นเขตของตน ดังนี้ เมื่อที่พิพาทเป็นคันนากั้นเขตที่ดินของโจทก์จำเลยติดต่อกัน และต่างไม่นำสืบพยานว่าใครเป็นฝ่ายครอบครองก็ต้องถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันตามข้อสันนิษฐานของ ป.พ.พ.มาตรา 1344 และศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทคนละครึ่งโดยลากเส้นจากหมายอักษร ก.มายังจุดแบ่งครึ่งด้านทิศใต้และให้ด้านที่ติดต่อกับที่ดินของฝ่ายใดเป็นของฝ่ายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1323/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินพิพาทติดกัน เจ้าของไม่ชัดเจน ศาลถือเป็นเจ้าของร่วมและแบ่งตามแนวคันนา
โจทก์ฟ้องขอให้ศาลแสดงว่าที่พิพาทเป็นของโจทก์ห้ามจำเลยเกี่ยวข้อง ปรากฏว่าที่พิพาทตามแผนที่วิวาทเป็นรูปสามเหลี่ยมอยู่บนคันนาด้านเหนือหมายอักษร ก. มีหลักไม้แก่นปักอยู่เป็นจุดรวมในชั้นพิจารณาโจทก์จำเลยท้าดื่มน้ำสาบานกันว่าแต่ละฝ่ายเป็นฝ่ายปั้นคันนาพิพาทขึ้นก่อน เมื่อดื่มน้ำสาบานกันตามคำท้าแล้วจึงขอให้ศาลชี้ขาดว่าที่พิพาทเป็นของฝ่ายใดประเด็นเดียวโดยต่างไม่สืบพยานกันและแถลงรับกันว่าที่พิพาทอยู่บนคันนาซึ่งเป็นเขตที่ดินของที่ดินโจทก์จำเลยที่อยู่ติดต่อกัน และต่างฝ่ายต่างถือว่าเป็นเขตของตน ดังนี้เมื่อที่พิพาทเป็นคันนากั้นเขตที่ดินของโจทก์จำเลยติดต่อกัน และต่างไม่นำสืบพยานว่าใครเป็นฝ่ายครอบครองก็ต้องถือว่าเป็นเจ้าของร่วมกันตามข้อสันนิษฐานของ ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1344 และศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งที่พิพาทคนละครึ่งโดยลากเส้นจากหมายอักษร ก. มายังจุดแบ่งครึ่งด้านทิศใต้และให้ด้านที่ติดต่อกับที่ดินของฝ่ายใดเป็นของฝ่ายนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การประพฤติตนไม่เรียบร้อยในศาล และการกล่าวถึงผู้พิพากษา ไม่ถึงขั้นละเมิดอำนาจศาล
คำร้องของจำเลยร่วม ขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณา พิพากษาคดีนั้น แม้จะมีข้อความกล่าวถึงเรื่องส่วนตัว เป็นเชิงตำหนิติเตียนผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี และข้อความบางตอนอาจทำให้เข้าใจไปทางไม่ดีงาม แต่เห็นได้ว่าเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวไว้เพื่อให้มูลข้ออ้างเพื่อคำร้องขอจำเลยร่วมมีน้ำหนักพอรับฟังได้เช่นนั้น เมื่อยังไม่พฤติการณ์อื่นประกอบพอให้เห็นว่า จำเลยร่วมมีเจตนาก้าวร้าวเสียดสีศาลหรือผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี เพียงเท่านี้ยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1316/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ละเมิดอำนาจศาล: การโต้เถียงและอาการกิริยาที่ไม่เหมาะสมในศาล ไม่ถึงขั้นละเมิดอำนาจศาล
คำร้องของจำเลยร่วมขอให้เปลี่ยนองค์คณะผู้พิพากษาซึ่งทำการพิจารณาพิพากษา แม้จะมีข้อความกล่าวถึงเรื่องส่วนตัวเป็นเชิงตำหนิติเตียนผู้พิพากษาซึ่งนั่งพิจารณาคดี และข้อความบางตอนอาจทำให้เข้าใจไปในทางไม่ดีงาม แต่เป็นเรื่องที่จำเป็นต้องกล่าวเพื่อให้มูลข้ออ้างมีน้ำหนักพอรับฟัง เมื่อยังไม่มีพฤติการณ์อื่นประกอบพอให้เห็นเจตนาก้าวร้าวเสียดสี เพียงเท่านี้ยังไม่พอรับฟังว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาล อันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาลได้
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุกจำเลยร่วมฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อัยการฎีกาได้
การที่จำเลยร่วมพูดโต้ตอบกับผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนด้วยอาการเชิดหน้าอย่างท้าทายขณะที่พบกันบนศาลนั้น เป็นเพียงอาการกิริยาของจำเลยร่วมที่แสดงออกโดยไม่สมควรเท่านั้น ถือไม่ได้ว่าจำเลยร่วมประพฤติตนไม่เรียบร้อยในบริเวณศาลอันจะเป็นผิดฐานละเมิดอำนาจศาล
ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับคำสั่งศาลชั้นต้นที่ลงโทษจำคุกจำเลยร่วมฐานละเมิดอำนาจศาลตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง อัยการฎีกาได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความสมบูรณ์ของฟ้องอาญาคดีทำร้ายร่างกาย: การกระทำโดยเจตนาที่สันนิษฐานได้จากพฤติการณ์
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันใช้ขวานเป็นอาวุธ ฟันทำร้าย อ. ถูกตามบริเวณร่างกายหลายที จนเป็นเหตุให้ อ.ได้รับอันตรายแก่กาย ดังนี้ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ดีแล้วว่าจำเลยทำร้ายผู้อื่น เป็นการกระทำโดยเจตนา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1311/2519
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การบรรยายฟ้องความผิดอาญา การทำร้ายร่างกายด้วยอาวุธ การกระทำโดยเจตนา
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยได้ร่วมกันใช้ขวานเป็นอาวุธฟันทำร้าย อ. ถูกตามบริเวณร่างกายหลายทีจนเป็นเหตุให้ อ. ได้รับอันตรายแก่กายดังนี้ ย่อมเป็นที่เข้าใจได้ดีแล้วว่าจำเลยทำร้ายผู้อื่น เป็นการกระทำโดยเจตนา ดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 59 ฟ้องของโจทก์จึงเป็นฟ้องที่สมบูรณ์แล้ว