คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
ไพโรจน์ ไวกาสี

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 149/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกำหนดผู้รับมรดกในพินัยกรรมโดยใช้คำว่า 'หลาน' และการแสดงเจตนาทำพินัยกรรม
เจ้ามรดกทำใบมอบพินัยกรรมมีข้อความว่า "ข้าพเจ้านาย ผ... ได้ยอมทำพินัยกรรมของข้าพเจ้าทั้งหมด คือ 1. นา 1 แปลง ...... 2. สวน 1 แปลง...... 3. เรือน 1 หลัง..... 4. วัว 2 ตัว..... ข้าพเจ้าขอมอบให้นายเซ่ม แทนน้อย ไว้รักษาเพื่อให้บุตรหลานต่อไป...." เช่นนี้ เมื่อ ผ.เจ้ามรดกไม่มีบุตร คำว่าหลาน จึงหมายถึงลูกของโจทก์จำเลยที่มีชีวิตอยู่ทุกคน อันเป็นการกำหนดบุคคลซึ่งอาจทราบตัวแน่นอนได้ ข้อกำหนดในใบมอบพินัยกรรมดังกล่าวจึงไม่เป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1706(2) (อ้างฎีกา 941/2516)
เมื่อศาลชั้นต้นยังไม่ได้วินิจฉัยประเด็นที่ว่าเจ้ามรดกได้แสดงเจตนาทำพินัยกรรมหรือไม่จึงยังชี้ขาดไม่ได้ว่าผู้ใด จะมีสิทธิได้รับมรดกของเจ้ามรดกหรือไม่ ศาลฎีกาย้อนสำนวนให้ศาลชั้นต้นวินิจฉัยประเด็นดังกล่าวและพิพากษาคดีใหม่ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131-146/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำของตัวแทนที่เกินอำนาจ และการให้สัตยาบันของตัวการทำให้เกิดผลผูกพันตามสัญญา
กรรมการบริษัทโจทก์สองนายได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ย. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจกระทำการในนามบริษัทโจทก์ และลงนามในหนังสือสัญญาขายสินค้าแทนบริษัทโจทก์ได้ฉะนั้น ที่ ย. ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อในนามบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อ ย. คนเดียวและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์ จึงเป็นการกระทำแทนบริษัทโจทก์โดยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทโจทก์โดยชอบ
บริษัทจำเลยที่ 1 เคยให้ ท. แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทมิตซูบิชิและบริษัทโตโยต้า แล้วนำรถนั้นมาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 แม้ ท. จะได้กระทำไปโดยผิดระเบียบ บริษัทจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับและในขณะที่ ท.ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ในนามบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อ ได้ลงลายมือชื่อประทับตราดุน ซึ่งเป็นตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 แทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็แสดงให้เห็นว่า ท. ได้เช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์มาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นเช่าซื้อรถเป็นส่วนตัวของ ท. กับจำเลยที่ 2 เมื่อได้ส่งมอบรถกันแล้วมีหลักฐานทะเบียนรถว่าบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถทั้ง 16 คัน และมีการต่อตัวถังทำเป็นรถยนต์รับส่งคนโดยสาร ทาสีรถเป็นสีเขียวเหลือง และตราของบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตต่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่ง แล้วนำรถทั้งหมดไปใช้แล่นรับส่งคนโดยสารหาประโยชน์ในเส้นทางสัมปทานของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่า ท. กับ ช. ได้ใช้รถแล่นหาผลประโยชน์เป็นส่วนตัวเห็นได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้เข้าถือเอาประโยชน์ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถที่บริษัทโจทก์ได้นำมาฟ้อง แม้ ท. จะได้กระทำผิดข้อระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ถือว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการได้ให้สัตยาบันต่อการกระทำของ ท. ซึ่งเป็นตัวแทนในการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 823 บริษัทจำเลยที่1 จึงมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตอบแทนแก่บริษัทโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 บริษัทโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญาจากบริษัทจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 131-146/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การมอบอำนาจทำสัญญาเช่าซื้อและการให้สัตยาบันของตัวการต่อการกระทำของตัวแทน แม้จะผิดระเบียบ
กรรมการบริษัทโจทก์สองนายได้ทำหนังสือมอบอำนาจให้ ย. ซึ่งเป็นกรรมการผู้จัดการของบริษัทโจทก์เป็นตัวแทน มีอำนาจกระทำการในนามบริษัทโจทก์และลงนามในหนังสือสัญญาขายสินค้าแทนบริษัทโจทก์ได้ ฉะนั้นที่ ย.ได้ทำสัญญาให้เช่าซื้อในนามบริษัทโจทก์ลงลายมือชื่อ ย.คนเดียวและประทับตราสำคัญของบริษัทโจทก์จึงเป็นการกระทำแทนบริษัทโจทก์โดยได้รับมอบอำนาจจากบริษัทโจทก์โดยชอบ
บริษัทจำเลยที่ 1 เคยให้ ท.แต่ผู้เดียวลงลายมือชื่อประทับตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 ในหนังสือสัญญาเช่าซื้อจากบริษัทมิตซูบิซิและบริษัทโตโยต้า แล้วนำรถนั้นมาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 แม้ ท.จะได้กระทำไปโดยผิดระเบียบ บริษัทจำเลยที่ 1 ก็ยอมรับ และในขณะที่ ท.ทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ในนามบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นผู้เช่าซื้อ ได้ลงลายมือชื่อประทับตราดุน ซึ่งเป็นตราสำคัญของบริษัทจำเลยที่ 1 แทนบริษัทจำเลยที่ 1 ก็แสดงให้เห็นว่า ท.ได้เช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์มาใช้ในกิจการของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่าเป็นการเช่าซื้อรถเป็นส่วนตัวของ ท. กับจำเลยที่ 2 เมื่อได้ส่งมอบรถกันแล้วมีหลักฐานทะเบียนรถว่าบริษัทจำเลยที่ 1 เป็นเจ้าของรถทั้ง 16 คัน และมีการต่อตัวถังทำเป็นรถยนต์รับส่งคนโดยสาร ทาสีรถเป็นสีเขียวเหลืองและตราของบริษัทจำเลยที่ 1 บริษัทจำเลยที่ 1 ได้ขออนุญาตต่อคณะกรรมการควบคุมการขนส่ง แล้วนำรถทั้งหมดไปใช้แล่นรับส่งคนโดยสารหาประโยชน์ในเส้นทางสัมปทานของบริษัทจำเลยที่ 1 ถือไม่ได้ว่า ท.กับ ข.ได้ใช้รถแล่นหาผลประโยชน์เป็นส่วนตัว เห็นได้ว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ได้เข้าถือเอาประโยชน์ตามหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถที่บริษัทโจทก์ได้นำมาฟ้อง แม้ ท.จะได้กระทำผิดข้อระเบียบข้อบังคับของบริษัทจำเลยที่ 1 ก็ถือว่าบริษัทจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นตัวการ ได้ให้สัตยาบันต่อการกระทำของ ท.ซึ่งเป็นตัวแทนในการทำหนังสือสัญญาเช่าซื้อรถจากบริษัทโจทก์ ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา 823 บริษัทจำเลยที่ 1 จึงมีความผูกพันที่จะต้องชำระหนี้ตอบแทนแก่บริษัทโจทก์ตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 369 บริษัทโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องเรียกค่าเสียหายเพราะเหตุผิดสัญญาจากบริษัทจำเลยที่ 1 ได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 59/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การละเมิดเครื่องหมายการค้าจากความคล้ายคลึงกัน และการใช้โดยไม่สุจริต
เครื่องหมายการค้าของโจทก์ตราหัวสิงโตหน้าตรง ของจำเลยก็เป็นหัวสิงโตหน้าตรง อันเป็นจุดเด่นคล้ายกันมาก กรอบล้อมต่างกันบ้างเป็นส่วนปลีกย่อย ของโจทก์จดทะเบียนมากว่า 10 ปี โจทก์จำเลยขอจดทะเบียนใช้ในการค้าประเภทอื่นอีกซึ่งเป็นประเภทเดียวกัน มีลูกค้าของโจทก์หลายคนหลงว่าเครื่องหมายการค้าของจำเลยเป็นเครื่องหมายการค้าของโจทก์ดังนี้ เป็นการที่จำเลยละเมิดหาประโยชน์จากเครื่องหมายการค้าของโจทก์โดยไม่สุจริต ต้องระงับการใช้และจดทะเบียนเครื่องหมายการค้าของจำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตแดนติดกัน รุกล้ำที่ดิน ฟ้องแย้งเรื่องกันสาด ศาลให้แก้ไขก่อน หากไม่ได้ผลจึงรื้อได้
โจทก์ฟ้องว่า หลักเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้เคลื่อนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และจำเลยกั้นรั้วครอบครองตามหลักเขตนั้นไม่ยอมย้ายหลักเขตไปไว้ที่เดิม ทำให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ไม่ได้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่า จำเลยมิได้ล้อมรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่โจทก์รุกล้ำขัดขวางไม่ให้จำเลยล้อมรั้วตามเขตที่ดินของจำเลย และโจทก์ได้ปลูกตึกแถวมีกันสาดเข้ามาใกล้ชิดกับที่ดินและรั้วบ้านจำเลยทำให้จำเลยเดือดร้อนเสียหายเพราะน้ำและสิ่งต่างๆ ตกลงมาถูกบ้านและรั้วของจำเลย ขอให้โจทก์รื้อกันสาดด้วย เรื่องน้ำฝนตกถูกกันสาดและกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่ดินแปลงที่โจทก์และจำเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรื่องกันสาดจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ในชั้นพิจารณา คู่ความตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่เพียงใด ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามผลการรังวัด โจทก์จำเลยขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่นๆ ทั้งสิ้น และศาลบันทึกไว้ด้วยว่าโจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใดๆ มิให้น้ำจากกันสาดตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินหรืออาคารของจำเลยภายใน 1 เดือน ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์กลับเป็นฝ่ายรุกล้ำที่ดินของจำเลยส่วนเรื่องน้ำตกจากกันสาดนั้น โจทก์แถลงว่าได้จัดการแก้ไขแล้ว แต่น้ำฝนยังตกกระเด็นจากกันสาดลงมายังที่ดินและบ้านเรือนของจำเลยอยู่อีก คำว่าประเด็นอื่น ๆ ที่คู่ความสละเสียนั้น หมายถึงประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ ส่วนประเด็นเรื่องกันสาดตามที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานมีข้อความดังกล่าวนั้น เท่ากับโจทก์ยอมรับว่าที่โจทก์สร้างกันสาดนั้นเป็นเหตุให้น้ำฝนกระเด็นมาถูกรั้วและบ้านจำเลยเสียหายตามฟ้องแย้งเรื่องกันสาดจึงมิใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกัน และอยู่นอกเหนือจากประเด็นที่คู่ความตกลงสละประเด็นเรื่องกันสาดจึงมิได้ระงับไป ศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยชอบ แต่กันสาดนี้อยู่ภายในแดนกรรมสิทธิ์ที่ดินโจทก์ มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลย และตามพยานหลักฐานในสำนวนกรณียังมีทางแก้ไขมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่พื้นดินบ้านเรือนและรั้วบ้านของจำเลยได้ ศาลพึงพิพากษาให้โจทก์จัดการแก้ไขก่อนหากโจทก์ไม่แก้ไขหรือแก้ไขแล้วไม่เป็นผลจึงจะให้รื้อกันสาดเสีย ไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์รื้อไปทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 57/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เขตแดนติดกัน รุกล้ำที่ดิน และความเสียหายจากกันสาด ศาลให้แก้ไขหรือรื้อถอน
โจทก์ฟ้องว่าหลักเขตระหว่างที่ดินของโจทก์กับจำเลยได้เคลื่อนที่รุกล้ำเข้ามาในที่ดินของโจทก์ และจำเลยกั้นรั้วครอบครองตามหลักเขตนั้นไม่ยอมย้ายหลักเขตไปไว้ที่เดิม ทำให้โจทก์รังวัดแบ่งแยกที่ดินของโจทก์ไม่ได้ จำเลยให้การและฟ้องแย้งว่าจำเลยมิได้ล้อมรั้วรุกล้ำที่ดินของโจทก์ แต่โจทก์รุกล้ำขัดขวางไม่ให้จำเลยล้อมรั้วตามเขตที่ดินของจำเลย และโจทก์ได้ปลูกตึกแถวมีกันสาดเข้ามาใกล้ชิดกับที่ดินและรั้วบ้านจำเลย ทำให้จำเลยเดือดร้อนเสียหายเพราะน้ำและสิ่งต่าง ๆ ตกลงมาถูกบ้านและรั้วของจำเลยขอให้โจทก์รื้อกันสาดด้วย เรื่องน้ำฝนตกถูกกันสาดและกระเซ็นลงสู่ที่ดินและบ้าน เรือนของจำเลยนั้นเป็นปัญหาเกี่ยวพันกับที่ดินแปลงที่โจทก์และจำเลยพิพาทเรื่องเขตแดนตามฟ้องเดิม ฟ้องแย้งของจำเลยเรื่องกันสาดจึงเกี่ยวกับฟ้องเดิม
ในชั้นพิจารณาคู่ความตกลงท้ากันให้ผู้เชี่ยวชาญไปรังวัดที่ดินว่ามีการรุกล้ำกันหรือไม่เพียงใด ให้ศาลพิพากษาคดีไปตามผลการรังวัดโจทก์จำเลยขอสละข้ออ้างและข้อต่อสู้ในประเด็นอื่น ๆ ทั้งสิ้น และศาลบันทึกไว้ด้วยว่าโจทก์ยอมแก้ไขหรือทำด้วยประการใด ๆ มิให้น้ำจากกันสาดตกหรือกระเด็นเข้าไปในที่ดินหรืออาคารของจำเลยภายใน 1 เดือน ผลการรังวัดปรากฏว่าจำเลยมิได้รุกล้ำที่ดินของโจทก์แต่โจทก์กลับเป็นฝ่ายรุกล้ำที่ดินของจำเลย ส่วนเรื่องน้ำตกจากกันสาดนั้นโจทก์แถลงว่าได้จัดการแก้ไขแล้วแต่น้ำฝนยังตกกระเด็นจากกันสาดลงมายังที่ดิน และบ้านเรือนของจำเลยอยู่อีก คำว่าประเด็นอื่น ๆ ที่คู่ความสละเสียนั้นหมายถึงประเด็นที่คู่ความยังโต้เถียงกันอยู่ส่วนประเด็นเรื่องกันสาดตามที่ศาลบันทึกไว้ในรายงานมีข้อความดังกล่าวนั้นเท่ากับโจทก์ยอมรับว่าโจทก์สร้างกันสาดนั้นเป็นเหตุให้น้ำฝนกระเด็นมาถูกรั้วและบ้านจำเลยเสียหายตามฟ้องแย้ง เรื่องกันสาดจึงมิใช่ประเด็นที่โจทก์จำเลยโต้เถียงกันและอยู่นอกเหนือจากประเด็นที่คู่ความตกลงสละ ประเด็นเรื่องกันสาดจึงมิได้ระงับไปศาลจึงยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยชอบแต่กันสาดนี้อยู่ภายในแดนกรรมสิทธิ์ที่ดิน โจทก์มิได้รุกล้ำเข้าไปในที่ของจำเลยและตามพยานหลักฐานในสำนวนกรณียังมีทางแก้ไขมิให้น้ำฝนตกกระเซ็นลงสู่พื้นดินบ้านเรือนและรั้วบ้านของจำเลยได้ ศาลพึงพิพากษาให้โจทก์จัดการแก้ไขก่อน หากโจทก์ไม่แก้ไขหรือแก้ไขแล้วไม่เป็นผลจึงจะให้รื้อกันสาดเสีย ไม่ชอบที่จะพิพากษาให้โจทก์รื้อไปทันที

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 52/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยานปรากฏต่อศาล คำพยานที่ตอบต่อศาลถือเป็นพยานหลักฐานได้
โจทก์อ้าง ส. เป็นพยานปรากฏต่อศาลแล้ว ศาลถามพยานได้คำพยานที่ตอบศาลฟังเป็นพยานได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนย้ายข้าวสารผิดกฎหมาย แม้จำเลยปฏิเสธ แต่มีหลักฐานการเตรียมขนย้ายออกนอกประเทศ ศาลริบข้าวสารได้
ในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าว ฯ ที่ศาลพิพากษายกฟ้องแต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่าข้าวสารของกลางมีคนขนย้ายไปไว้ที่ริมฝั่งทะเลติดต่อกับต่างประเทศ ตระเตรียมขนย้ายออกนอกเขต อันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้ว ริบข้าวสารของกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 48/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การขนย้ายข้าวสารผิดกฎหมาย: ศาลยกฟ้องจำเลย แต่ริบข้าวสารของกลาง
ในคดีความผิดต่อพระราชบัญญัติสำรวจและห้ามกักกันข้าวฯที่ศาลพิพากษายกฟ้อง แต่ข้อเท็จจริงฟังได้ว่า ข้าวสารของกลางมีคนขนย้ายไปไว้ที่ริมฝั่งทะเลติดต่อกับต่างประเทศตระเตรียมขนย้ายออกนอกเขตอันเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 10 แห่งพระราชบัญญัติดังกล่าวแล้วริบข้าวสารของกลางได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 25-27/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยึดทรัพย์ที่ไม่ใช่ของลูกหนี้: ศาลมีอำนาจสั่งวางเงินประกันเพื่อป้องกันความเสียหายจากการประวิงคดี
เมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา และขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 288 วรรคแรกเจ้าพนักงานบังคับคดีต้องงดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทนั้นไว้ระหว่างรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาล แม้ต่อมาศาลจะสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องตามมาตรา 288(1) แต่ผู้ร้องก็ยังคงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นอยู่ โจทก์จึงขอให้ขายทรัพย์พิพาทไม่ได้
เมื่อโจทก์เห็นว่า ผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่พิพาทเข้ามานั้นไม่มีมูล และยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โจทก์ก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ผู้ร้องวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษาสำหรับความเสียหายที่อาจได้รับนั้นได้ และเมื่อศาลพิจารณาเป็นเช่นนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ร้องวางเงินต่อศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน ฯลฯ ตามมาตรา 288(1)(อ้างฎีกาที่ 1293/2514)
of 54