พบผลลัพธ์ทั้งหมด 537 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 25-27/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขัดทรัพย์และการวางเงินประกันความเสียหายจากการยื่นคำร้องคัดค้านการบังคับคดี
เมื่อผู้ร้องได้ยื่นคำร้องว่าทรัพย์สินที่เจ้าพนักงานบังคับคดียึดไว้มิใช่ของจำเลยหรือลูกหนี้ตามคำพิพากษา และขอให้ปล่อยทรัพย์ที่ยึดแล้ว ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 288 วรรคแรก เจ้าพนักงานบังคับคดีต้องงดการขายทอดตลาดหรือจำหน่ายทรัพย์สินที่พิพาทนั้นไว้ระหว่างรอคำวินิจฉัยชี้ขาดของศาล แม้ต่อมาศาลจะสั่งจำหน่ายคดีของผู้ร้องตามมาตรา 288(1) แต่ผู้ร้องก็ยังคงอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นอยู่ โจทก์จึงขอให้ขายทรัพย์พิพาทไม่ได้
เมื่อโจทก์เห็นว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่พิพาทเข้ามานั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โจทก์ก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ผู้ร้องวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา สำหรับความเสียหายที่อาจได้รับนั้นได้และเมื่อศาลพิจารณาเป็นเช่นนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ร้องว่างเงินต่อศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน ฯลฯ ตามมาตรา 288 (1) (อ้างฎีกาที่ 1293/2514)
เมื่อโจทก์เห็นว่าผู้ร้องได้ยื่นคำร้องขอให้ปล่อยทรัพย์สินที่พิพาทเข้ามานั้นไม่มีมูลและยื่นเข้ามาเพื่อประวิงคดีให้ชักช้า โจทก์ก็ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้ผู้ร้องวางเงินเพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทนแก่เจ้าหนี้ตามคำพิพากษา สำหรับความเสียหายที่อาจได้รับนั้นได้และเมื่อศาลพิจารณาเป็นเช่นนั้น ศาลย่อมมีอำนาจที่จะสั่งให้ผู้ร้องว่างเงินต่อศาลภายในเวลาที่ศาลกำหนดได้ตามที่เห็นสมควร เพื่อเป็นประกันการชำระค่าสินไหมทดแทน ฯลฯ ตามมาตรา 288 (1) (อ้างฎีกาที่ 1293/2514)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2992/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสัญญาเช่าและการคืนเงินมัดจำ เมื่อมีการโอนสิทธิสัญญาเช่าและผู้รับโอนไม่สามารถเข้าครอบครองได้
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เช่าท่าจอดเรือ โดยโจทก์วางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นประกันตามสัญญา ต่อมาโจทก์ขอโอนสิทธิการเช่านี้ให้ บ. จำเลยอนุมัติและ บ.ได้เข้าทำสัญญาและวางเงินมัดจำเท่ากับที่โจทก์วางไว้ แต่ บ.เข้าครอบครองและดำเนินการตามสัญญาไม่ได้เนื่องจาก ส. ได้ทำสัญญารับช่วงดำเนินการจากโจทก์ไว้ก่อนตามสัญญาระหว่างโจทก์กับ ส. เมื่อโอนสิทธิการเช่าไปแล้วเช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงระงับไปไม่มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยเงินมัดจำที่จำเลยยึดไว้ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสัญญาเช่านี้เป็นเหตุยึดหน่วงเงินมัดจำของโจทก์ไว้ การที่ ส. ยังครอบครองทรัพย์สินที่เช่าอยู่ไม่ยอมส่งมอบให้ บ.นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันเองหาเกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2992/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การระงับสัญญาเช่าและการคืนเงินมัดจำเมื่อมีการโอนสิทธิและผู้รับโอนไม่สามารถเข้าครอบครองได้
จำเลยทำสัญญาให้โจทก์เช่าท่าจอดเรือ โดยโจทก์วางเงินมัดจำจำนวนหนึ่งเพื่อเป็นประกันตามสัญญา ต่อมาโจทก์ขอโอนสิทธิการเช่านี้ให้ บ. จำเลยอนุมัติและ บ.ได้เข้าทำสัญญาและวางเงินมัดจำเท่ากับที่โจทก์วางไว้ แต่ บ.เข้าครอบครองและดำเนินการตามสัญญาไม่ได้เนื่องจาก ส.ได้ทำสัญญารับช่วงดำเนินการจากโจทก์ไว้ก่อนตามสัญญาระหว่างโจทก์กับ ส.. เมื่อโอนสิทธิการเช่าไปแล้วเช่นนี้สัญญาเช่าระหว่างโจทก์กับจำเลยจึงระงับไปไม่มีหนี้อันเป็นคุณประโยชน์แก่จำเลยเกี่ยวด้วยเงินมัดจำที่จำเลยยึดไว้ จำเลยจึงไม่อาจอ้างสัญญาเช่านี้เป็นเหตุยึดหน่วงเงินมัดจำของโจทก์ไว้ การที่ ส.ยังครอบครองทรัพย์สินที่เช่าอยู่ไม่ยอมส่งมอบให้ บ.นั้น เป็นเรื่องที่จะต้องว่ากล่าวกันเอง หาเกี่ยวข้องกับโจทก์ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2814/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจพนักงานเจ้าหน้าที่ในการอนุมัติหนังสือพิมพ์และการใช้ดุลพินิจตามกฎหมาย
พระราชบัญญัติการพิมพ์ พุทธศักราช 2484 มาตรา 27 ใช้บังคับแก่ผู้ยื่นคำขออนุญาตซึ่งมีสัญชาติอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 24(3) หรือยื่นคำขอออกหนังสือพิมพ์เป็นภาษาอื่นนอกจากที่ระบุไว้ในมาตรา 24(4) โจทก์เป็นผู้มีสัญชาติไทย และยื่นคำขออนุญาตออกหนังสือพิมพ์ภาษาไทย จึงต้องบังคับตามมาตรา 24 วรรคแรก ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 17 ลงวันที่ 27 ตุลาคม 2501 ข้อ 1. ซึ่งให้อำนาจเจ้าพนักงานการพิมพ์ใช้ดุลพินิจสั่งอนุญาตหรือไม่อนุญาต หรือสั่งเป็นประการอื่นตามความเหมาะสมแก่กรณีเป็นเรื่องๆ ไป ดังนั้น ที่จำเลยมีคำสั่งคำขอของโจทก์ว่า เห็นสมควรรอไว้ก่อนจนกว่าพระราชบัญญัติการพิมพ์ฉบับใหม่จะประกาศใช้ จึงเป็นคำสั่งที่ชอบด้วยบทกฎหมายดังกล่าวข้างต้นไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์ และไม่เป็นการขัดต่อรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2511 มาตรา 33 ที่ใช้บังคับอยู่ขณะนั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมฉบับหลังโมฆะ พินัยกรรมเดิมยังใช้บังคับได้ แม้มีการแสดงเจตนาจะทำพินัยกรรมใหม่
ต.ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองทั้งต้นฉบับและคู่ฉบับรวมสามฉบับ เก็บต้นฉบับไว้ณที่ว่าการอำเภอหนึ่งฉบับ คู่ฉบับมอบให้บุคคลอื่นเก็บไว้ ต่อมาต. ขอต้นฉบับที่เก็บไว้ณ ที่ว่าการอำเภอคืนมาเก็บไว้เอง โดยมิได้กระทำการใดๆที่เห็นได้ว่าเป็นการทำลายหรือขีดฆ่าพินัยกรรมฉบับนั้นกับคู่ฉบับอีกสองฉบับ และได้ร่างพินัยกรรมขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่ง แต่ ต.และพยานยังมิได้ลงลายมือชื่อ ดังนี้ แม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นการแสดงเจตนาของ ต ว่าจะทำพินัยกรรมฉบับใหม่และจะไม่ใช้พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับเดิมก็ตาม แต่พินัยกรรมฉบับหลังได้ทำขึ้นโดยมีรายการไม่ครบถ้วน เพราะต.และพยานยังมิได้ลงลายมือชื่อไว้ ย่อมเป็นโมฆะ ไม่มีผลเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2797/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พินัยกรรมฉบับหลังไม่สมบูรณ์ ไม่สามารถเพิกถอนพินัยกรรมเดิมได้
ต.ทำพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองทั้งต้นฉบับและคู่ฉบับรวมสามฉบับ เก็บต้นฉบับไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอหนึ่งฉบับคู่ฉบับมอบให้บุคคลอื่นเก็บไว้ ต่อมาต. ขอต้นฉบับที่เก็บไว้ ณ ที่ว่าการอำเภอคืนมาเก็บไว้เอง โดยมิได้กระทำการใดๆที่เห็นได้ว่าเป็นการทำลายหรือขีดฆ่าพินัยกรรมฉบับนั้นกับคู่ฉบับอีกสองฉบับ และได้ร่างพินัยกรรมขึ้นใหม่อีกฉบับหนึ่งแต่ ต.และพยานยังมิได้ลงลายมือชื่อ ดังนี้ แม้การกระทำดังกล่าวจะเป็นการแสดงเจตนาของ ต ว่าจะทำพินัยกรรมฉบับใหม่ และจะไม่ใช้พินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับเดิมก็ตาม แต่พินัยกรรมฉบับหลังได้ทำขึ้นโดยมีรายการไม่ครบถ้วน เพราะต.และพยานยังมิได้ลงลายมือชื่อไว้ ย่อมเป็นโมฆะ ไม่มีผลเพิกถอนพินัยกรรมเอกสารฝ่ายเมืองฉบับเดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานชิงทรัพย์ผิดมาตรา: ศาลฎีกาแก้ไขโทษจำคุกให้เหมาะสมกับพฤติการณ์ความผิด
ความผิดฐานชิงทรัพย์ จะปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแปด ย่อมไม่ถูกต้อง เพราะความในบทบัญญัติมาตรานี้มีเพียง 5 วรรคเท่านั้น และที่ลงโทษจำคุก 12 ปีนั้นอยู่ในระวางโทษของวรรคสี่ แต่เมื่อการชิงทรัพย์รายนี้เพียงแต่กระทำในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ จึงเข้าเกณฑ์ของวรรคสอง ไม่ใช่วรรคสี่ โทษที่ลงแก่จำเลยนั้นจึงเกินอัตราไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2785/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การลงโทษฐานชิงทรัพย์ที่ผิดวรรคตามประมวลกฎหมายอาญา การพิจารณาอัตราโทษที่ถูกต้อง
ความผิดฐานชิงทรัพย์ จะปรับบทลงโทษจำเลยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 339 วรรคแปด ย่อมไม่ถูกต้องเพราะความในบทบัญญัติมาตรานี้มีเพียง 5 วรรคเท่านั้นและที่ลงโทษจำคุก 12 ปีนั้นอยู่ในระวางโทษของวรรคสี่แต่เมื่อการชิงทรัพย์รายนี้เพียงแต่กระทำในเวลากลางคืนโดยมีอาวุธ จึงเข้าเกณฑ์ของวรรคสอง ไม่ใช่วรรคสี่โทษที่ลงแก่จำเลยนั้นจึงเกินอัตราไปด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราหลายกรรมต่างกัน ศาลมีอำนาจลงโทษทุกกรรมเป็นกระทงความผิด
จำเลย 3 คนกับพวกจับตัวนางสาว ส.และเด็กหญิง บ.ลงจากเรือนไปยังทุ่งนาแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองบนคันนาห่างกันราว 2 วา โดยจำเลยที่ 1และที่ 2 กระทำชำเรา ส. อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 277 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติกรรมหนึ่งแล้วร่วมกับจำเลยที่ 3 กับพวกกระทำชำเรา บ. อันเป็นความผิดตามมาตรา 276 ตามที่แก้ไขอีกกรรมหนึ่ง การกระทำของจำเลยที่ 1ที่ 2 ดังนี้ แยกออกได้เป็นความผิด 2 กรรม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2722/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ข่มขืนกระทำชำเราเหยื่อหลายราย ศาลฎีกายืนโทษจำคุกฐานกระทำผิดหลายกรรมต่างกัน
จำเลย 3 คนกับพวกจับตัวนางสาว ส.และเด็กหญิง บ.ลงจากเรือนไปยังทุ่งนาแล้วผลัดเปลี่ยนกันข่มขืนกระทำชำเราผู้เสียหายทั้งสองบนคันนาห่างกันราว 2 วา โดยจำเลยที่ 1 และที่ 2 กระทำชำเรา ส. อันเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 277 ตามที่แก้ไขโดยประกาศของคณะปฏิวัติกรรมหนึ่งแล้วร่วมกับจำเลยที่ 3 กับพวกกระทำชำเรา บ. อันเป็นความผิดตามมาตรา 276 ตามที่แก้ไขอีกกรรมหนึ่ง. การกระทำของจำเลยที่ 1 ที่ 2 ดังนี้ แยกออกได้เป็นความผิด 2 กรรม