พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2794-2795/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
นายจ้างต้องรับผิดในผลละเมิดของลูกจ้างที่ขับรถในทางการที่จ้าง แม้มีระเบียบภายในและผู้ตายมีผู้ดูแล
จำเลยที่ 1 เป็นลูกจ้างขับรถยนต์ประจำทางให้กับบริษัทจำเลยที่ 2 ตอนเกิดเหตุรถชนกันจำเลยที่ 1 ได้ขับรถไปส่งพนักงานของบริษัทจำเลยที่ 2 ตามบ้านแม้มีระเบียบของบริษัทว่าเมื่อพนักงานขับรถนำรถเข้ามาในบริษัทนำลูกกุญแจไปแขวนไว้แล้ว จะนำรถออกไปอีกต้องรับอนุญาตจากผู้จัดการก่อน ระเบียบดังกล่าวเป็นระเบียบปฏิบัติภายใน จะนำมาใช้ยันบุคคลภายนอกไม่ได้ทั้งระเบียบที่ว่านี้ก็มิได้ปฏิบัติเคร่งครัดถือได้ว่าการนำรถออกไปส่งพนักงานของบริษัทฯ อยู่ในระหว่างปฏิบัติงานทางการที่จ้างของจำเลยที่ 2
เรื่องค่าขาดไร้อุปการะ แม้จะมีคนอื่นอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ หรือโจทก์มีฐานะดีไม่ได้รับความเดือดร้อนโจทก์ก็มีสิทธิจะได้รับค่าสินไหมทดแทน
เรื่องค่าขาดไร้อุปการะ แม้จะมีคนอื่นอุปการะเลี้ยงดูโจทก์ หรือโจทก์มีฐานะดีไม่ได้รับความเดือดร้อนโจทก์ก็มีสิทธิจะได้รับค่าสินไหมทดแทน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2772/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเรียกร้องหนี้ร่วมกันระหว่างจำเลยและบุตรชาย แม้ได้รับชำระหนี้บางส่วนจากกองทรัพย์สินล้มละลาย ก็ยังฟ้องเรียกหนี้ส่วนที่เหลือได้
จำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อของเชื่อโจทก์ ม. บุตรชายจำเลยได้ออกเช็คชำระหนี้ดังกล่าวบางส่วนแทนจำเลยให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์ฟ้อง ม. เป็นจำเลยในคดีล้มละลายในมูลหนี้ตามเช็คและได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ขอให้ชำระค่าซื้อของเชื่อนั้นทั้งหมดพร้อมทั้งดอกเบี้ย ปรากฏว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายมาแล้วบางส่วนหลังจากที่ยื่นฟ้องคดีนี้แล้วดังนี้ แม้โจทก์จะได้รับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวมาแล้วก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รับชำระโดยครบถ้วน จึงไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกร้องในส่วนที่ยังไม่ได้รับชำระหนี้จากจำเลยซึ่งต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2772/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกหนี้มูลหนี้เดียวกัน แม้ได้รับชำระหนี้บางส่วนจากลูกหนี้ร่วมแล้ว ก็ยังคงมีสิทธิเรียกร้องส่วนที่เหลือจากจำเลยได้
จำเลยเป็นหนี้ค่าซื้อของเชื่อโจทก์ ม.บุตรชายจำเลยได้ออกเช็คชำรหนี้ดังกล่าวบางส่วนจำเลยให้แก่โจทก์ แต่ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินตามเช็ค โจทก์ฟ้อง ม.เป็นจำเลยในคดีล้มละลายในมูลหนี้ตามเช็คและได้ยื่นคำขอรับชำระหนี้ต่อเจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์ไว้ ต่อมาโจทก์ยื่นฟ้องจำเลยเป็นคดีนี้ ขอให้ชำระค่าซื้อของเชื่อนั้นทั้งหมดพร้อมดอกเบี้ย ปรากฏว่าโจทก์ได้รับชำระหนี้ในคดีล้มละลายมาแล้วบางส่วนหลังจากที่ยื่นฟ้องคดีนี้แล้ว ดังนี้ แม้โจทก์จะได้รับชำระหนี้จำนวนดังกล่าวมาแล้วก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ไม่ได้รับชำระโดยครบถ้วน จึงไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องเรียกร้องในส่วนที่ยังไม่ได้รับขำระหนี้จากจำเลยซึ่งต้องร่วมรับผิดต่อโจทก์อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2713/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การยกข้อต่อสู้ใหม่ในชั้นฎีกาจำกัดเฉพาะประเด็นที่ได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในชั้นศาลล่าง การบอกเลิกสัญญาเช่าเป็นองค์ประกอบสำคัญในการฟ้องขับไล่
จำเลยให้การแต่เพียงว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องเพราะจำเลยไม่ได้ผิดสัญญาเช่า ส่วนข้อที่ว่ามีการบอกเลิกสัญญาเช่าหรือไม่นั้น จำเลยไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จำเลยจึงยกขึ้นอ้างอิงในชั้นฎีกาไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2666/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขอเดินเผชิญสืบและการวินิจฉัยความผิดฐานเบิกความเท็จ/แสดงหลักฐานเท็จ ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลล่าง
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลไปเผชิญสืบที่พิพาท ศาลชั้นต้นสั่งว่าจะสั่งเมื่อสืบพยานบุคคลเสร็จแล้ว โจทก์สืบพยานบุคคลเสร็จแล้วแถลงหมดพยาน ดังนี้ ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานอื่นอีกต่อไปรวมทั้งการที่ให้ศาลไปเผชิญสืบด้วย โดยศาลไม่จำเป็นต้องสั่งงดการเดินเผชิญสืบของโจทก์
การขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบนั้น ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นจะสั่งงด เสียก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งความจริงที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,180 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยที่กินความไปถึงความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา 180ตามที่โจทก์ฟ้องด้วยแล้ว มิใช่วินิจฉัยแต่เฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เท่านั้น
การขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบนั้น ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นจะสั่งงด เสียก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งความจริงที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 177,180 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยที่กินความไปถึงความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา 180ตามที่โจทก์ฟ้องด้วยแล้ว มิใช่วินิจฉัยแต่เฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2666/2522 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเดินเผชิญสืบและการวินิจฉัยความผิดฐานเบิกความเท็จ/แสดงหลักฐานเท็จ ศาลไม่จำเป็นต้องสั่งงดการเผชิญสืบหากโจทก์ไม่ติดใจ
โจทก์ยื่นคำร้องขอให้ศาลไปเผชิยสืบที่พิพาท ศาลชั้นต้นสั่งว่าจะสั่งเมื่อสืบพยานบุคคลเสร็จแล้ว โจทก์สืบพยานบุคคลเสร็จแล้วแถลงหมดพยาน ดังนี้ ย่อมถือว่าโจทก์ไม่ติดใจสืบพยานอื่นอีกต่อไป รวมทั้งการที่ให้ศาลไปเผชิญสืบด้วย โดยศาลไม่จำเป็นต้องสั่งงดการเดินเผชิญสืบของโจทก์
การขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบนั้น ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นจะสั่งงดเสียก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งความจริงที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,180 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยที่กินความไปถึงความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา 180 ตามที่โจทก์ฟ้องด้วยแล้ว มิใช่วินิจฉัยแต่เฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เท่านั้น
การขอให้ศาลไปเดินเผชิญสืบนั้น ถ้าศาลเห็นว่าไม่จำเป็นจะสั่งงดเสียก็ได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 174
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยเบิกความเท็จและแสดงพยานหลักฐานอันเป็นเท็จว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ ซึ่งความจริงที่ดินของจำเลยมีทางออกสู่ทางสาธารณะได้ขอให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177,180 ศาลล่างทั้งสองวินิจฉัยว่าที่ดินของจำเลยไม่มีทางออกสู่ทางสาธารณะ พิพากษายกฟ้อง ดังนี้ เป็นการวินิจฉัยที่กินความไปถึงความผิดฐานนำสืบหรือแสดงหลักฐานอันเป็นเท็จตามมาตรา 180 ตามที่โจทก์ฟ้องด้วยแล้ว มิใช่วินิจฉัยแต่เฉพาะความผิดฐานเบิกความเท็จ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 177 เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2632/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ลำดับก่อนหลังของกฎหมาย: ผลของการใช้กฎหมายใหม่ก่อนวันเกิดเหตุ และความผิดตามกฎหมายเดิมที่ไม่ได้ยกขึ้นว่ากล่าว
ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2520 เรื่องระบุชื่อและจัดแบ่งประเภทวัตถุที่ออกฤทธิ์ ตามความในพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 ลงวันที่ 18 มกราคม 2520 มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่14 มิถุนายน 2520 เป็นต้นไป เมื่อเหตุคดีนี้เกิดในวันที่ 19 เมษายน 2520 ซึ่งเป็นวันก่อนประกาศดังกล่าวมีผลใช้บังคับ จำเลยจึงไม่ต้องรับโทษตามพระราชบัญญัติวัตถุที่ออกฤทธิ์ต่อจิตและประสาท พ.ศ.2518 แต่ในระหว่างที่ ประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 4) พ.ศ.2520 ยังไม่มีผลใช้บังคับ การกระทำของจำเลยก็ยังคงเป็นความผิดอยู่ตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษ พ.ศ.2465 ที่แก้ไขแล้ว มาตรา 20ทวิ แต่ความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติดให้โทษดังกล่าวโจทก์มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์และฎีกาจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2565/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดธุรกิจคนต่างด้าว: ต้องระบุปริมาณการผลิต/จำหน่ายในรอบปีบัญชี 2515 เพื่อเปรียบเทียบกับปริมาณที่ได้รับอนุญาตเพิ่ม
องค์ประกอบความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ข้อ 26,30 จะต้องมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ.2515 เป็นสารสำคัญโจทก์ต้องบรรยายในฟ้องให้ปรากฏว่าในรอบปีบัญชี พ.ศ.2515 จำเลยมีปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจตามหลักฐานทางบัญชีเป็นจำนวนเท่าใดและในการที่จำเลยได้รับอนุญาตจากอธิบดีกรมทะเบียนการค้าให้เพิ่มปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจในรอบปีบัญชี พ.ศ.2518 เป็นจำนวนเงิน255,000,000 บาท นั้น เป็นการเกินกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ.2515 ซึ่งเป็นการแสดงว่าจำเลยได้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนเงื่อนไขตามกฎหมาย เมื่อในฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าว ฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2564/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
องค์ประกอบความผิดประกาศ คปค.ฉบับที่ 281: จำเป็นต้องระบุปริมาณการผลิต/จำหน่ายปี 2515 ในฟ้อง
องค์ประกอบความผิดตามประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 281 ลงวันที่ 24 พฤศจิกายน 2515 ข้อ 26,30 จะต้องมีข้อเท็จจริงเกี่ยวกับปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2515 เป็นสาระสำคัญ โดยโจทก์ต้องบรรยายในฟ้องให้ปรากฏว่าในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2515 จำเลยมีปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจตามหลักฐานทางบัญชีเป็นจำนวนเท่าใด และในการที่จำเลยได้รับอนุญาตจากอธิดีกรมทะเบียนการค้าให้เพิ่มปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายของธุรกิจในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2518 เป็นจำนวนเงิน 255,000,000 บาท นั้น เป็นการเกินกว่าร้อยละ 30 ของปริมาณการผลิตหรือการจำหน่ายตามหลักฐานทางบัญชีในรอบปีบัญชี พ.ศ. 2515 ซึ่งเป็นการแสดงว่าจำเลยได้ประกอบธุรกิจฝ่าฝืนเงื่อนไขตามกฎหมาย เมื่อในฟ้องไม่ปรากฏข้อเท็จจริงดังกล่าวฟ้องของโจทก์จึงขาดข้อเท็จจริงอันเป็นองค์ประกอบความผิดตามที่โจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 158
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2528/2522
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิการแบ่งเงินบำนาญที่เป็นสินสมรสในคดีล้มละลาย: เจ้าของร่วมมีสิทธิเรียกร้องส่วนแบ่งได้ แม้มี พ.ร.บ.ล้มละลาย
ผู้ร้องซึ่งเป็นภริยาและเป็นเจ้าของร่วมในเงินบำนาญอันเป็นสินสมรสระหว่างผู้ร้องกับจำเลย มีสิทธิร้องขอแบ่งแยกส่วนของตนออกได้ พระราชบัญญัติล้มละลาย พ.ศ.2483 มาตรา 121 ให้เจ้าพนักงานพิทักษ์ทรัพย์มีสิทธิรับเงินบำนาญของลูกหนี้จากเจ้าหน้าที่ เพื่อรวบรวมแบ่งให้แก่เจ้าหนี้ แต่ต้องจ่ายค่าเลี้ยงชีพลูกหนี้และครอบครัวตามสมควรแก่ฐานานุรูป มิใช่ห้ามคู่สมรสของลูกหนี้ร้องขอกันส่วนเงินบำนาญอันเป็นสินสมรส ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา1466 ซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้น