พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1105/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำของผู้จัดการมรดกที่ไม่จ่ายมรดกเนื่องจากข้อสงสัยความถูกต้องของทายาท ไม่ถือเป็นการละเมิด
การที่จำเลยทั้งสามซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกไม่จ่ายเงินมรดกให้แก่โจทก์ทั้งสองซึ่งเป็นทายาทเพราะยังไม่แน่ใจว่าโจทก์ที่ 1 เป็นบุตรเจ้ามรดกหรือไม่ และเพราะมีเหตุทำให้เข้าใจว่าโจทก์ที่ 2 ปิดบังยักย้ายมรดกนั้น ไม่เป็นการทำละเมิดต่อโจทก์ทั้งสองอันจะเป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองมีสิทธิเรียกค่าเสียหายเป็นดอกเบี้ยจากจำเลย ในจำนวนเงินมรดกที่โจทก์ทั้งสองควรได้รับ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ส่วนได้เสียของรัฐในการระหว่างประเทศเป็นสาระสำคัญก่อนพิพากษาคดีปลอมแปลงเอกสาร
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมหนังสือเดินทางของรัฐบาลโปรตุเกสอันเป็นเอกสารเกี่ยวกับส่วนได้เสียของรัฐในการระหว่างประเทศ โจทก์สืบพยานได้ 2 ปาก ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยกระทำต่อเอกสารของรัฐบาลโปรตุเกส ไม่ใช่ของรัฐบาลไทย ไม่เกี่ยวกับส่วนได้เสียของรัฐบาลไทยโดยตรง พิพากษายกฟ้องโจทก์ เอกสารตามฟ้องรัฐบาลไทยจะมีส่วนได้เสียในการระหว่างประเทศหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ยังมิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวให้เสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นสั่งงดเสียก่อน จึงมิชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1093/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การพิสูจน์ส่วนได้เสียของรัฐในการกระทำความผิดต่อเอกสารต่างประเทศเป็นข้อเท็จจริงที่ต้องสืบก่อนวินิจฉัย
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยปลอมหนังสือเดินทางของรัฐบาลโปรตุเกสอันเป็น เอกสารเกี่ยวกับส่วนได้เสียของรัฐในการระหว่างประเทศโจทก์สืบพยานได้ 2 ปาก ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานโจทก์จำเลยแล้ววินิจฉัยว่าจำเลยกระทำต่อเอกสารของรัฐบาลโปรตุเกสไม่ใช่ของรัฐบาลไทย ไม่เกี่ยวกับส่วนได้เสียของรัฐบาลไทยโดยตรงพิพากษายกฟ้องโจทก์เอกสารตามฟ้องรัฐบาลไทยจะมีส่วนได้เสียในการระหว่างประเทศหรือไม่ เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องนำสืบ เมื่อโจทก์ยังมิได้นำสืบข้อเท็จจริงดังกล่าวให้เสร็จสิ้น ศาลชั้นต้นสั่งงดเสียก่อน จึงมิชอบด้วยกระบวนวิธีพิจารณาความ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงชื่อโจทก์หลังยื่นฟ้อง ศาลรับทราบการเปลี่ยนแปลงชื่อจากคำแถลงและการระบุชื่อในบัญชีระบุพยานได้ แม้ไม่มีคำร้องขอแก้ไขฟ้อง
โจทก์ยื่นฟ้องแล้วระหว่างพิจารณาได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ให้ใช้ชื่อของบริษัทโจทก์ใหม่ แต่ไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ เพียงแต่ยื่นคำแถลงว่าโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว โดยระบุในนามบริษัทโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ใหม่โจทก์ขอดำเนินคดีในนามใหม่ตลอดไปส่วนหนังสือที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อใหม่จะนำเสนอศาลในวันนัดพิจารณาศาลสั่งรวมคำแถลงนี้ไว้ในสำนวน ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขชื่อของบริษัทโจทก์ ก็ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้รับรู้แล้วว่าชื่อบริษัทโจทก์ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้ว การที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานมาโดยกล่าวเลขคดีเดิมได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์เก่าใหม่มาด้วยจึงถือได้ว่าเป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ในคดีนั้นเองการที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานของโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 974/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การเปลี่ยนแปลงชื่อโจทก์หลังยื่นฟ้อง ศาลต้องรับบัญชีระบุพยานที่ใช้ชื่อใหม่ได้ หากโจทก์ได้แจ้งการเปลี่ยนแปลงชื่อให้ศาลทราบแล้ว
โจทก์ยื่นฟ้องแล้ว ระหว่างพิจารณาได้รับอนุญาตจากกระทรวงพาณิชย์ให้ใช้ชื่อของบริษัทโจทก์ใหม่ แต่ไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขฟ้องเกี่ยวกับชื่อโจทก์ เพียงแต่ยื่นคำแถลงว่าโจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานไว้แล้ว โดยระบุในนามบริษัทโจทก์ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ใหม่ โจทก์ขอดำเนินคดีในนามใหม่ตลอดไป ส่วนหนังสือที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ชื่อใหม่จะนำเสนอศาลในวันนัดพิจารณา ศาลสั่งรวมคำแถลงนี้ไว้ในสำนวน ดังนี้ แม้โจทก์จะไม่ได้ยื่นคำร้องขอแก้ไขชื่อของ บริษัทโจทก์ ก็ต้องถือว่าศาลชั้นต้นได้รับรู้แล้วว่าชื่อบริษัทโจทก์ได้มีการเปลี่ยนแปลงใหม่แล้วการที่โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานมาโดยกล่าวเลขคดีเดิม ได้ระบุชื่อบริษัทโจทก์เก่าใหม่มาด้วยจึงถือได้ว่าเป็นบัญชีระบุพยานของโจทก์ในคดีนั้นเอง การที่ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับบัญชีระบุพยานโจทก์ไว้จึงเป็นการไม่ชอบ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เจตนาทุจริตในการหลอกลวงเอาทรัพย์สินไปจากผู้อื่น การกระทำเข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกงมากกว่าลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องว่าขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อของผู้เสียหายซึ่งฝากไว้กับนายจันทร์อ้างว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหายนายจันทร์เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันและมาฝากรถด้วยกันจึงมอบให้ไปแล้วจำเลยนำไปเป็นประโยชน์ของตน หาได้นำไปคืนให้ผู้เสียหายไม้ เห็นได้ว่าจเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้วหลอกลวงให้นายจันทร์หลงเชื่อด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนได้รถคันนั่นไปจากนายจันทร์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การกระทำที่แสดงเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ตน เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ใช่ลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อ ของผู้เสียหายซึ่งฝากไว้กับนายจันทร์ อ้างว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหาย นายจันทร์เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันและมาฝากรถด้วยกันจึงมอบให้ไป แล้วจำเลยนำไปเป็นประโยชน์ของตน หาได้นำไปคืนให้ผู้เสียหายไม่ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้วหลอกลวงให้นายจันทร์หลงเชื่อด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนได้รถคันนั้นไปจากนายจันทร์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น: ศาลพิพากษาให้เปิดทางได้หากที่ดินถูกล้อมรอบและไม่มีทางออกอื่น แม้คำขอท้ายฟ้องขอเพียงรื้อถอนสิ่งกีดขวาง
ตามฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองใช้ไม้กระดานและสังกะสีปิดกั้นทาง ขุดถนนเป็นหลุมและปลูกต้นกล้วย โจทก์ทั้งสองกับบริวารไม่สามารถใช้ทางผ่านเข้าออกและไม่มีทางอื่นที่จะให้โจทก์ผ่านออกไปได้อีกด้วย โดยที่ดินของโจทก์ถูกล้อมไว้รอบ โจทก์จะเป็นต้องตัดรั้วลวดหนามใช้บันไดปีนรั้วสังกะสีด้านหลัง ขออนุญาตชั่วคราวผ่านบ้านของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกได้เฉพาะเวลากลางวัน จากถ้อยคำในฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า บ้านและที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นๆ ล้อมไว้รอบไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ คงมีทางออกอยู่ทางเดียวที่จำเลยปิดกั้นเสีย ทางพิพาทจึงเข้าลักษณะทางจำเป็น ศาลชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ทางจำเป็น: การรื้อถอนสิ่งกีดขวางทางออกของที่ดินที่ถูกล้อมรอบ และการพิพากษาชอบด้วยฟ้อง
ตามฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองใช้ไม้กระดานและสังกะสีปิดกั้นทาง ขุดถนนเป็นหลุมและปลูกต้นกล้วยโจทก์ทั้งสองกับบริวารไม่สามารถใช้ทางผ่านเข้าออกและไม่มีทางอื่นที่จะให้โจทก์ผ่านออกไปได้อีกด้วย โดยที่ดินของโจทก์ถูกล้อมไว้รอบ โจทก์จำเป็นต้องตัดรั้วลวดหนามใช้บันไดปีนรั้วสังกะสีด้านหลัง ขออนุญาตชั่วคราวผ่านบ้านของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกได้เฉพาะเวลากลางวันจากถ้อยคำในฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า บ้านและที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่น ๆ ล้อมไว้รอบไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ คงมีทางออกอยู่ทางเดียวที่จำเลยปิดกั้นเสีย ทางพิพาทจึงเข้าลักษณะทางจำเป็น ศาลชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เกินคำขอ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างของรายละเอียดการทำร้ายในฟ้อง กับข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา ไม่ทำให้ศาลยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มือชกทำร้ายผู้เสียหายถูกที่ขอบตาขวาถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยชกต้นคอผู้เสียหายไม่ถึงบาดเจ็บ และใช้สันขวานตีถูกที่ขอบตาของผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้ เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดที่โจทก์ต้องกล่าวบรรยายในฟ้อง อันเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสารสำคัญ และจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้