พบผลลัพธ์ทั้งหมด 503 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายรถยนต์โดยสุจริตของผู้ซื้อจากพ่อค้า รถยนต์คันพิพาทไม่ต้องคืนเจ้าของเดิม
การที่จำเลยที่ 2 เอารถมาแลกเปลี่ยนกับรถคันที่พิพาท โดยตีราคารถและเพิ่มเงินให้เท่ากับราคาของรถคันที่พิพาท และได้ส่งมอบรถพร้อมกับเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านบริการขายรถเก่าไปแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ได้ซื้อรถยนต์คันที่พิพาทซึ่งเป็นรถยนต์เก่ามาจากในร้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อค้าขายรถยนต์เก่า เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่สุจริตแต่ประการใด จำเลยที่ 2 ก็หาจำต้องคืนรถยนต์คันที่พิพาทให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2645/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การซื้อขายรถยนต์โดยสุจริต ผู้ซื้อไม่ต้องคืนรถให้เจ้าของเดิม
การที่จำเลยที่ 2 เอารถมาแลกเปลี่ยนกับรถคันที่พิพาทโดยตีราคารถและเพิ่มเงินให้เท่ากับราคาของรถคันที่พิพาทและได้ส่งมอบรถพร้อมกับเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นเจ้าของร้านบริการขายรถเก่าไปแล้ว ก็ย่อมถือได้ว่าจำเลยที่ 2ได้ซื้อรถยนต์คันที่พิพาทซึ่งเป็นรถยนต์เก่ามาจากในร้านของจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นพ่อค้าขายรถยนต์เก่า เมื่อไม่ปรากฏพฤติการณ์อันจะถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ไม่สุจริตแต่ประการใด จำเลยที่ 2ก็หาจำต้องคืนรถยนต์คันที่พิพาทให้แก่โจทก์ผู้เป็นเจ้าของแท้จริงไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิในที่ดินพิพาท: การถอนอุทธรณ์ทำให้ข้อต่อสู้ยุติ การฎีกาต้องประเด็นที่เคยต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์อีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของสามีโจทก์ซึ่งตกทอดไปยังทายาทซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 คน คือ ตัวโจทก์เองและบุตรโจทก์อีก 6 คน(รวมทั้งสามีจำเลยด้วย) การที่สามีจำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝากก. ได้นั้น ก็เพราะสามีจำเลยขอยืมที่พิพาทไปจากโจทก์โจทก์มิได้ยกที่พิพาทให้แก่สามีจำเลยจริงๆ กรณีเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่า ที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามีจำเลยหาได้ร่วมกันมาดังที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์เสียแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงฎีกาแต่เพียงข้อเดียวว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฎีกาในประเด็นที่คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2370/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การถอนอุทธรณ์ทำให้ข้อต่อสู้ยุติ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นใหม่ที่ไม่เคยต่อสู้ในชั้นอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า สิทธิในที่ดินพิพาทครึ่งหนึ่งเป็นของโจทก์ อีกครึ่งหนึ่งเป็นทรัพย์มรดกของสามีโจทก์ซึ่งตกทอดไปยังทายาทซึ่งมีอยู่ทั้งหมด 7 คน คือ ตัวโจทก์เองและบุตรโจทก์อีก 6 คน (รวมทั้งสามีจำเลยด้วย) การที่สามีจำเลยเอาที่พิพาทไปขายฝาก ก. ได้นั้น ก็เพราะสามีจำเลยขอยืมที่พิพาทไปจากโจทก์ โจทก์มิได้ยกที่พิพาทให้แก่สามีจำเลยจริงๆ กรณีเป็นดังนี้ จึงเท่ากับว่าศาลชั้นต้นได้วินิจฉัยชี้ขาดแล้วว่า ที่พิพาทไม่ใช่ทรัพย์สินที่สามีจำเลยหาได้ร่วมกันมาดังที่จำเลยให้การต่อสู้คดีไว้ ฉะนั้น เมื่อจำเลยถอนอุทธรณ์เสียแล้ว ข้อต่อสู้ของจำเลยจึงเป็นอันยุติไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น จำเลยไม่ได้ฎีกาโต้แย้งในประเด็นที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ศาลชั้นต้น คงฎีกาแต่เพียงข้อเดียวว่า ที่พิพาทเป็นของจำเลย ศาลฎีกาจึงรับวินิจฉัยให้ไม่ได้ เพราะไม่ใช่เป็นฎีกาในประเด็นที่คู่ความได้ว่ากล่าวกันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1933/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินป่าช้าสาธารณะ แม้เลิกใช้แล้วก็ยังเป็นสมบัติของแผ่นดิน ไม่ออกโฉนดให้เอกชนได้
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งสาธารณชนใช้เผาและฝังศพมานานหลายสิบปีแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาทางการจะไม่ให้เผาและฝังศพอีก ได้มีการล้างป่าช้าและสร้างสำนักงานราชการขึ้นแต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพที่ดินจากป่าช้าสาธารณะสำหรับสาธารณชนใช้ร่วมกันตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น แม้สาธารณชนจะเลิกใช้บริเวณที่พิพาทเป็นป่าช้าที่พิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ทางราชการจะออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1933/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ที่ดินป่าช้าสาธารณะ แม้เลิกใช้แล้ว ก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดิน จนกว่าจะมีกฎหมายถอนสภาพ
ที่พิพาทเป็นส่วนหนึ่งของป่าช้าซึ่งสาธารณชนใช้เผาและฝังศพมานานหลายสิบปีแล้ว จึงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินที่ราษฎรใช้ประโยชน์ร่วมกัน แม้ต่อมาทางการจะไม่ให้เผาและฝังศพอีก ได้มีการล้างป่าช้าและสร้างสำนักงานราชการขึ้น แต่ก็ไม่ปรากฏว่าได้มีการออกพระราชกฤษฎีกาให้ถอนสภาพที่ดินจากป่าช้าสาธารณะสำหรับสาธารณชนใช้ร่วมกันตามมาตรา 8 วรรคสอง แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน ดังนั้น แม้สาธารณชนจะเลิกใช้บริเวณที่พิพาทเป็นป่าช้า ที่พิพาทก็ยังคงเป็นสาธารณสมบัติของแผ่นดินตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1304 ทางราชการจะออกโฉนดหรือหนังสือรับรองการทำประโยชน์สำหรับที่พิพาทให้แก่โจทก์ซึ่งเป็นเอกชนหาได้ไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2517 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษา การไม่โต้แย้งในชั้นศาลทำให้สละสิทธิในชั้นฎีกา
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะและจำเลยมีโอกาสบริบูรณ์ที่จะคัดค้านได้ตั้งแต่ในขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่นั้น แต่จำเลยละเลยเสีย มิได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธินั้นแล้วจะยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 938/2472, 535/2480)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การสละสิทธิคัดค้านองค์คณะผู้พิพากษา: จำเลยต้องโต้แย้งตั้งแต่ศาลชั้นต้น
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะและจำเลยมีโอกาสบริบูรณ์ที่จะคัดค้านได้ตั้งแต่ในขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่นั้น แต่จำเลยละเลยเสีย มิได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธินั้นแล้ว จะยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 938/2472,535/2480)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1903/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การไม่คัดค้านองค์คณะไม่ครบถ้วนในชั้นศาลชั้นต้น ถือเป็นการสละสิทธิ โต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้
การที่ผู้พิพากษาศาลชั้นต้นนั่งพิจารณาคดีไม่ครบองค์คณะ.และจำเลยมีโอกาสบริบูรณ์ที่จะคัดค้านได้ตั้งแต่ในขณะที่ศาลชั้นต้นกำลังดำเนินกระบวนพิจารณาอยู่นั้น แต่จำเลยละเลยเสีย. มิได้โต้แย้งคัดค้านในเวลาอันสมควร. ถือได้ว่าจำเลยสละสิทธินั้นแล้ว. จะยกขึ้นโต้แย้งในชั้นฎีกาไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 938/2472,535/2480).
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1821/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เอกสารสัญญากู้ที่มิได้ปิดอากรแสตมป์ใช้เป็นหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ แม้จำเลยไม่ได้ให้การรับ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยชำระหนี้ตามสัญญากู้จำนวนเงิน 2,000 บาท จำเลยให้การต่อสู้ว่า เงินจำนวนที่ฟ้องเป็นเงินมัดจำที่โจทก์จะต้องชำระให้แก่จำเลยตามสัญญาซื้อขาย เพื่อเป็นการตอบแทนในการที่จำเลยยอมถอนการจับจองที่ดินแล้วให้โจทก์เข้าจับจองแทนเงินมัดจำดังกล่าวได้ทำเป็นสัญญากู้กันไว้ ดังนี้ จะถือว่าจำเลยได้ให้การรับแล้วว่าได้กู้เงินโจทก์ดังที่กล่าวอ้างไม่ได้ โจทก์จึงยังมีหน้าที่นำสืบตามข้ออ้างของโจทก์อยู่
เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งศาลปรากฏว่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีเอกสารสัญญากู้หรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยว่าเป็นผู้ยืมเงินโจทก์มาแสดง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังพยานเอกสารเป็นการวางกฎเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากหลักทั่วไปที่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานผิดแผกไปจากตัวบทกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยย่อมไม่อาจจะรู้ได้ล่วงหน้าจนกว่าจะได้รับทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนับได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจบังคับได้
เอกสารสัญญากู้ที่โจทก์อ้างส่งศาลปรากฏว่ามิได้ปิดอากรแสตมป์ไว้ย่อมใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งไม่ได้ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 คดีจึงไม่อาจรับฟังได้ว่าโจทก์มีเอกสารสัญญากู้หรือมีหลักฐานเป็นหนังสืออย่างหนึ่งอย่างใดซึ่งมีลายมือชื่อจำเลยว่าเป็นผู้ยืมเงินโจทก์มาแสดง โจทก์ย่อมไม่อาจขอให้ศาลบังคับคดีตามคำขอของโจทก์ได้
ประมวลรัษฎากรมาตรา 118 เป็นบทบัญญัติเกี่ยวกับการรับฟังพยานเอกสารเป็นการวางกฎเกณฑ์เพิ่มเติมขึ้นจากหลักทั่วไปที่มีบัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งศาลจึงมีหน้าที่ที่จะต้องวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานต่าง ๆ ให้เป็นไปตามตัวบทกฎหมาย เมื่อศาลชั้นต้นวินิจฉัยและรับฟังพยานหลักฐานผิดแผกไปจากตัวบทกฎหมาย จำเลยก็ชอบที่จะยกปัญหานี้ขึ้นอ้างอิงในชั้นอุทธรณ์ได้ เพราะจำเลยย่อมไม่อาจจะรู้ได้ล่วงหน้าจนกว่าจะได้รับทราบคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนับได้ว่าเป็นพฤติการณ์นอกเหนือที่จำเลยไม่อาจบังคับได้