พบผลลัพธ์ทั้งหมด 224 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างบทกฎหมายผิดพลาดในความผิดฐานมีไม้หวงห้าม ศาลต้องลงโทษตามบทที่ถูกต้อง
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้แดง 2 ท่อน ไม้เต็ง 1450 ท่อน และไม้สมอ 3 ท่อน รวม 1455 ท่อน ปริมาตร 58.20 ลูกบาศก์เมตรอันเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 ไว้ในความครอบครอง ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 มาตรา 48, 73, 74 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503 มาตรา 17 ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ข้อ 1พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2504 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 4 ซึ่งเป็นบทมาตราขอให้ลงโทษเฉพาะเรื่องมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง ดังนี้ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ประกอบกับบทมาตราที่ขอให้ลงโทษจำเลย เห็นได้ว่า โจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้อง คือ ฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครอง หากแต่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นฐานมีไม้ท่อนหวงห้ามไว้ในครอบครอง ไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง หาใช่อ้างบทกฎหมายผิดไม่ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1281/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอ้างบทกฎหมายผิดพลาดในความผิดฐานมีไม้หวงห้าม ศาลไม่สามารถลงโทษตามบทมาตราที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริงได้
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยมีไม้แดง 2 ท่อน ไม้เต็ง 1450 ท่อนและไม้สมอ 3 ท่อน รวม 1455 ท่อน ปริมาตร 58.20 ลูกบาศก์เมตร อันเป็นไม้หวงห้ามตามพระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2505 ไว้ในความครอบครอง ภายในเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตามประกาศของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรโดยไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมายและโจทก์ขอให้ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484มาตรา 48, 73, 74 พระราชบัญญัติป่าไม้ (ฉบับที่ 4) พ.ศ. 2503มาตรา 17 ประกาศกระทรวงเกษตร เรื่อง กำหนดเขตควบคุมการแปรรูปไม้ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. 2484 ลงวันที่ 3 พฤศจิกายน 2499 ข้อ 1 พระราชกฤษฎีกากำหนดไม้หวงห้าม พ.ศ. 2504 มาตรา 4 ประกาศของคณะปฏิวัติ ฉบับที่ 116 ลงวันที่ 10 เมษายน 2515 ข้อ 4 ซึ่งเป็นบทมาตราขอให้ลงโทษเฉพาะเรื่องมีไม้แปรรูปไว้ในความครอบครอง ดังนี้ ตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ประกอบกับบทมาตราที่ขอให้ลงโทษจำเลยเห็นได้ว่าโจทก์ประสงค์ให้ลงโทษจำเลยตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้างมาท้ายฟ้อง คือ ฐานมีไม้หวงห้ามแปรรูปไว้ในครอบครองหากแต่ข้อเท็จจริงตามที่โจทก์กล่าวหาว่าจำเลยกระทำผิดดังที่โจทก์กล่าวในฟ้อง เป็นฐานมีไม้ท่อนหวงห้ามไว้ในครอบครองไม่เป็นความผิดตามบทกฎหมายที่โจทก์อ้าง หาใช่อ้างบทกฎหมายผิดไม่ จึงลงโทษจำเลยไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน: โจทก์ต้องเป็นผู้เสียหายโดยตรงจึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป โดยมอบใบทะเบียนเรือของตนให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบทะเบียนเรือนั้นหายไป เป็นหลักฐานซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ขอให้กรมเจ้าท่าออกใบทะเบียนเรือให้จำเลยที่ 1 ได้ใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะสามารถขายเรือให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้ใบทะเบียนเดิมฉบับที่อยู่ที่โจทก์แต่เมื่อการแจ้งความเท็จนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความนั้น จำเลยมิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2517)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่ 7/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1261/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การแจ้งความเท็จต่อเจ้าพนักงาน ผู้เสียหายต้องได้รับความเสียหายโดยตรงจึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยที่ 1 กู้เงินโจทก์ไป โดยมอบใบทะเบียนเรือของตนให้โจทก์ยึดถือไว้เป็นประกัน ต่อมาได้ร่วมกระทำผิดกับจำเลยที่ 2 ให้จำเลยที่ 2 ไปแจ้งความต่อพนักงานสอบสวนว่าใบทะเบียนเรือนั้นหายไป เป็นหลักฐานซึ่งทำให้จำเลยที่ 1 ขอให้กรมเจ้าท่าออกใบทะเบียนเรือให้จำเลยที่ 1 ได้ใหม่ ซึ่งจำเลยที่ 1 จะสามารถขายเรือให้ผู้อื่นได้โดยไม่ต้องใช้ใบทะเบียนเดิมฉบับที่อยู่ที่โจทก์แต่เมื่อการแจ้งความเท็จนั้นเป็นเรื่องที่จำเลยกระทำต่อเจ้าพนักงานและตามคำแจ้งความนั้น จำเลยมิได้แจ้งเจาะจงกล่าวถึงโจทก์อันจะถือได้ว่าโจทก์ได้รับความเสียหายโดยตรง โจทก์จึงไม่ใช่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญามาตรา 2(4) ไม่มีอำนาจฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานแจ้งความเท็จ
(ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2517)
(ประชุมใหญ่ครั้งที่7/2517)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวที่สมควรแก่เหตุ: กรณีหัวหน้ายามถูกลูกน้องทำร้ายและป้องกันตนเอง
จำเลยเป็นหัวหน้ายาม เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ตาย ผู้ตายไม่ได้อยู่ยามตามหน้าที่ จำเลยสอบถามดูแต่โดยดีผู้ตายกลับพูดทำนองไม่ยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้า และตรงเข้าต่อยเตะจำเลยทันที การที่จำเลยชกต่อยตอบโต้ไปบ้างย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้ผู้ตายทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และเมื่อผู้ตายเตะต่อยจำเลยล้มลงไปแล้วยังยืนรอจะทำร้ายจำเลยอีก พอจำเลยลุกขึ้นผู้ตายได้แทงจำเลยอีก 2 ครั้ง ครั้งที่สองถูกหน้าท้องถึงไส้ไหลจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด ในระยะห่าง 1 วา ขณะที่ผู้ตายขยับจะแทงเอาอีก หากจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็อาจเข้าทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การป้องกันตัวโดยชอบธรรม: การตอบโต้เมื่อถูกทำร้าย และการใช้กำลังเพื่อป้องกันอันตรายถึงชีวิต
จำเลยเป็นหัวหน้ายาม เป็นผู้บังคับบัญชาของผู้ตายผู้ตายไม่ได้อยู่ยามตามหน้าที่ จำเลยสอบถามดูแต่โดยดี ผู้ตายกลับพูดทำนองไม่ยำเกรงจำเลยซึ่งเป็นหัวหน้า และตรงเข้าต่อยเตะจำเลยทันที การที่จำเลยชกต่อยตอบโต้ไปบ้างย่อมเป็นสิทธิของจำเลยที่จะป้องกันได้ หาจำต้องให้ผู้ตายทำร้ายแต่ฝ่ายเดียวไม่ ไม่ใช่เป็นเรื่องสมัครใจเข้าวิวาททำร้ายร่างกายซึ่งกันและกัน และเมื่อผู้ตายเตะต่อยจำเลยล้มลงไปแล้วยังยืนรอจะทำร้ายจำเลยอีก พอจำเลยลุกขึ้นผู้ตายได้แทงจำเลยอีก 2 ครั้ง ครั้งที่สองถูกหน้าท้องถึงไส้ไหลจำเลยจึงใช้อาวุธปืนยิงไป 1 นัด ในระยะห่าง 1 วา ขณะที่ผู้ตายขยับจะแทงเอาอีก หากจำเลยไม่ยิงผู้ตายก็อาจเข้าทำร้ายจำเลยถึงตายได้ การกระทำของจำเลยเป็นการป้องกันพอสมควรแก่เหตุ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งสืบพยานที่เคยถูกตัดออกในคดีอาญา และการปรับบทกฎหมาย
ในคดีอาญา ศาลสั่งตัดผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์ไปแล้วต่อมาผู้เสียหายมาศาลโดยโจทก์ยื่นคำร้องขอสืบเป็นพยานเมื่อศาลเห็นสมควรก็ย่อมมีอำนาจสั่งให้สืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1130/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลในการสั่งสืบพยานผู้เสียหายที่ถูกตัดชื่อออกจากบัญชีพยานหลังจากการยื่นคำร้อง
ในคดีอาญา ศาลสั่งตัดผู้เสียหายซึ่งเป็นพยานโจทก์ไปแล้วต่อมาผู้เสียหายมาศาลโดยโจทก์ยื่นคำร้องขอสืบเป็นพยานเมื่อศาลเห็นสมควรก็ย่อมมีอำนาจสั่งให้สืบได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2517
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า: การชักปืนแต่ยังไม่พร้อมยิง ไม่ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
ขณะที่เจ้าพนักงานตำรวจเข้าจับกุมจำเลย จำเลยได้ชักอาวุธปืนสั้นออกจากเอวแล้วกระชากลูกเลื่อนเพื่อให้กระสุนเข้าลำกล้อง แต่เจ้าพนักงานตำรวจวิ่งเข้ามาขัดขวางป้องกันมิให้จำเลยกระชากลูกเลื่อนได้และแย่งปืนจากจำเลยไป ดังนี้จำเลยยังไม่อยู่ในสภาพพร้อมจะยิง จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1120/2517 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยายามฆ่า: การชักปืนแต่กระสุนยังไม่เข้าลำกล้อง ไม่ถือเป็นความผิดฐานพยายามฆ่า
ตำรวจเข้าจับกุมจำเลย จำเลยชักปืนออกจากเอวแล้วกระชากลูกเลื่อน เพื่อให้กระสุนเข้าลำกล้อง ก็ถูกตำรวจเข้าขัดขวางและแย่งปืนไปได้ ดังนี้ ยังถือไม่ได้ว่าจำเลยได้ลงมือกระทำความผิดแล้ว แต่กระทำไปไม่ตลอด เพราะกระสุนเป็นยังไม่เข้าลำกล้อง จำเลยมิได้จ้องปืนเล็งไปทางตำรวจ นิ้วจำเลยยังมิได้แตะอยู่ที่ไกปืน แสดงว่าจำเลยไม่ได้อยู่ในสภาพพร้อมที่จะยิง จึงยังไม่มีความผิดฐานพยายามฆ่า