พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,956 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5209/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การชำระหนี้แทนกัน และอำนาจฟ้องตามสัญญา การแปลงหนี้ การผิดนัดชำระหนี้
บันทึกข้อตกลงซึ่งได้ทำขึ้นระหว่างบริษัทล.โดยน.กรรมการบริษัทกับอ.กรรมการคนหนึ่งของโจทก์และจำเลยโดยอ.ลงชื่อเพียงผู้เดียวและไม่ได้ประทับตราสำคัญของโจทก์ตามข้อบังคับแต่บันทึกข้อตกลงดังกล่าวได้ระบุไว้ชัดแจ้งว่าบริษัทล.เป็นหนี้โจทก์จำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทล.ข้อความเช่นนี้แสดงให้เห็นว่าอ.ทำบันทึกข้อตกลงในนามของโจทก์นั่นเองหาได้กระทำเป็นการส่วนตัวไม่เมื่อโจทก์ยอมรับเอาประโยชน์จากบันทึกข้อตกลงดังกล่าวโดยฟ้องจำเลยให้ชำระหนี้ตามข้อตกลงนั้นย่อมถือได้ว่าโจทก์ได้ให้สัตยาบันแก่การกระทำของอ.กรรมการแล้วตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา823วรรคสองโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง การแปลงหนี้ใหม่ย่อมทำให้หนี้เดิมระงับสิ้นไปตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา349และ350แต่เมื่อโจทก์ยังติดใจเรียกร้องหนี้จากบริษัทล.อยู่ทั้งข้อตกลงตามบันทึกก็ไม่มีข้อความใดๆที่แสดงให้เห็นว่ามูลหนี้เดิมตามบันทึกข้อตกลงดังกล่าวให้เป็นอันระงับสิ้นไปบันทึกข้อตกลงเช่นนี้ยังถือไม่ได้ว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้จากบริษัทล.มาเป็นจำเลยแต่บันทึกข้อตกลงดังกล่าวมีข้อความว่าจำเลยยอมชำระหนี้แทนบริษัทล.ให้แก่โจทก์และบริษัทล.ซึ่งเป็นลูกหนี้ของโจทก์ตกลงยินยอมด้วยแล้วเช่นนี้กรณีต้องด้วยมาตรา314ดังนั้นเมื่อจำเลยแสดงเจตนาจะชำระหนี้แทนบริษัทล.และบริษัทล.ก็ยินยอมด้วยและโจทก์ซึ่งเป็นเจ้าหนี้ตกลงยอมรับชำระหนี้ดังกล่าวแล้วจำเลยจึงมีความผูกพันที่จะต้องปฏิบัติตามข้อตกลงดังกล่าวต่อโจทก์ บันทึกข้อตกลงระบุว่าจำเลยขอชำระหนี้แทนบริษัทล.และจะผ่อนชำระให้เสร็จสิ้นภายในกำหนด4เดือนนับแต่วันทำสัญญาเมื่อจำเลยไม่ชำระหนี้ให้โจทก์ตามข้อตกลงดังกล่าวจำเลยจึงตกเป็นผู้ผิดนัดโจทก์จึงมีอำนาจฟ้องจำเลยได้โดยไม่จำต้องบอกกล่าวก่อนปัญหาที่ว่าการบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยชำระหนี้ของโจทก์ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่จึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่จำต้องวินิจฉัย โจทก์ฟ้องคดีตามบันทึกข้อตกลงมิได้ฟ้องจำเลยตามเช็คกรณีเช่นนี้ไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้โดยเฉพาะจึงต้องถืออายุความ10ปีตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา164เดิม
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 2552/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การขยายเวลาโอนกรรมสิทธิ์และค่าตอบแทน: จำเลยผิดสัญญาเมื่อไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงหลังรับค่าตอบแทนแล้ว
จำเลยได้ตกลงให้โจทก์ขยายระยะเวลาการโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทหลังจากครบกำหนดระยะเวลาโอนตามสัญญาจะซื้อจะขายออกไปได้โดยไม่มีกำหนดระยะเวลาโดยโจทก์จะต้องชำระเงินค่าตอบแทนให้แก่จำเลย เมื่อโจทก์พร้อมจึงได้บอกกล่าวชำระเงินส่วนที่เหลือและเงินค่าตอบแทนให้แก่จำเลยพร้อมกำหนดวันโอนกรรมสิทธิ์ตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่ครบกำหนดแล้วจำเลยเพิกเฉย จำเลยจึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาจะซื้อจะขายโจทก์ย่อมมีสิทธิฟ้องให้จำเลยปฏิบัติตามสัญญาได้
คำฟ้องระบุว่าโจทก์ตกลงจ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยตกลงขยายระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำนวนเงินที่โจทก์เสนอชดใช้ให้ตามฟ้องนั้นไม่เหมาะสมหรือน้อยไปแต่ประการใด จึงถือได้ว่าจำเลยไม่ติดใจโต้เถียงในจำนวนเงินที่โจทก์เสนอชดเชยให้แก่จำเลยตามฟ้อง และจำเลยยอมรับในประเด็นดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ขึ้นมานั้นจึงเป็นฎีกานอกประเด็นเกินไปกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในคำให้การ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
คำฟ้องระบุว่าโจทก์ตกลงจ่ายเงินให้แก่จำเลยเป็นค่าตอบแทนในการที่จำเลยตกลงขยายระยะเวลาโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินและตึกแถวพิพาทให้แก่โจทก์เป็นเงิน 100,000 บาท เมื่อจำเลยมิได้ให้การต่อสู้ว่าจำนวนเงินที่โจทก์เสนอชดใช้ให้ตามฟ้องนั้นไม่เหมาะสมหรือน้อยไปแต่ประการใด จึงถือได้ว่าจำเลยไม่ติดใจโต้เถียงในจำนวนเงินที่โจทก์เสนอชดเชยให้แก่จำเลยตามฟ้อง และจำเลยยอมรับในประเด็นดังกล่าวแล้ว การที่จำเลยฎีกาในปัญหาข้อนี้ขึ้นมานั้นจึงเป็นฎีกานอกประเด็นเกินไปกว่าหรือนอกเหนือไปจากที่ปรากฏในคำให้การ เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนต้องห้ามตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1664/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลของการผิดสัญญาซื้อขายและการบอกเลิกสัญญา: ค่าปรับรายวัน vs. ชดใช้ราคาต่างกัน
โจทก์ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากจำเลยรวม6 รายการ ในราคา 965,000 บาท ซึ่งจำเลยจะต้องส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2532 แต่จำเลยมีหนังสือแจ้งขอเลื่อนเวลาส่งมอบออกไปเป็นวันที่ 30 พฤศจิกายน 2532 โดยยอมรับผิดตามสัญญาข้อ 10 โจทก์ยินยอมและได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบโดยสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับด้วย ครั้นครบกำหนด จำเลยขอเลื่อนการส่งมอบออกไปอีกไม่เกินสิ้นเดือนธันวาคม 2532 โจทก์ยินยอม และได้แจ้งจำเลยว่าหากผิดนัดอีก โจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับและค่าเสียหาย จำเลยมีหนังสือขอส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ในวันที่ 29 ธันวาคม 2532 แต่ในวันดังกล่าวคณะกรรมการตรวจรับตรวจดูแล้วปรากฏว่าจำเลยส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันไม่ถูกต้องตามคุณลักษณะเฉพาะที่กำหนดไว้ในสัญญา โจทก์จึงมีหนังสือส่งคืนอุปกรณ์การเจาะน้ำมันแก่จำเลย จำเลยมีหนังสือขอส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันที่ถูกต้องให้โจทก์ภายในวันที่ 31 มกราคม 2533 โจทก์ไม่ยินยอมและเห็นว่าจำเลยไม่อาจส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้ถูกต้องตามสัญญาได้ จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเมื่อวันที่ 18 มกราคม 2533 ดังนี้ เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2532 และโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแต่ยังให้โอกาสจำเลยเลื่อนเวลาส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันออกไปถึง 2 ครั้ง โดยโจทก์คาดหวังว่าจำเลยจะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้ได้ ทั้งจำเลยก็ยังมีเจตนาส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ตามสัญญาที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาทันทีและยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับไว้ โจทก์จึงมีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายอุปกรณ์การเจาะน้ำมัน ข้อ 10 วรรคแรก และในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวนั้น แม้จำเลยจะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์แต่ก็ไม่ถูกต้องตามสัญญา โจทก์ได้ส่งอุปกรณ์การเจาะน้ำมันคืนโดยถือว่าจำเลยไม่ได้ส่งมอบแก่โจทก์เลย โจทก์ย่อมบอกเลิกสัญญาได้ตามที่ระบุในสัญญาข้อ 10 วรรคสาม ได้
ส่วนกรณีผิดสัญญาตามสัญญาซื้อขายอุปกรณ์การเจาะน้ำมันข้อ 9นั้น หมายความว่า เป็นกรณีที่จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีโดยไม่ให้โอกาสจำเลยในการที่จะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์อีก ซึ่งอาจเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ก็ได้ ดังนี้การเลิกสัญญาในข้อ 9 และข้อ 10 ดังกล่าวจึงมีผลต่างกัน กล่าวคือ การเลิกสัญญาตามข้อ 9 จำเลยไม่ต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันและโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 9 วรรคสอง คือริบหลักประกัน และหากโจทก์ซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม จำเลยต้องใช้ราคาที่เพิ่มขึ้น ส่วนสัญญาข้อ 10 วรรคแรกนั้น โจทก์ให้โอกาสจำเลยที่จะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันได้โดยที่ยังไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและในระหว่างเวลาดังกล่าวจำเลยต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ส่งมอบ หากจำเลยส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันได้ โจทก์ก็ไม่อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีกรณีจำเลยต้องรับผิดในราคาที่โจทก์จะต้องซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นเพิ่มขึ้น ถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา นอกจากจำเลยจะต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันจนถึงวันบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยยังต้องรับผิดชดใช้ราคาที่โจทก์จะต้องซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นแพงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วย
ส่วนกรณีผิดสัญญาตามสัญญาซื้อขายอุปกรณ์การเจาะน้ำมันข้อ 9นั้น หมายความว่า เป็นกรณีที่จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมัน และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีโดยไม่ให้โอกาสจำเลยในการที่จะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์อีก ซึ่งอาจเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ก็ได้ ดังนี้การเลิกสัญญาในข้อ 9 และข้อ 10 ดังกล่าวจึงมีผลต่างกัน กล่าวคือ การเลิกสัญญาตามข้อ 9 จำเลยไม่ต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันและโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ 9 วรรคสอง คือริบหลักประกัน และหากโจทก์ซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิม จำเลยต้องใช้ราคาที่เพิ่มขึ้น ส่วนสัญญาข้อ 10 วรรคแรกนั้น โจทก์ให้โอกาสจำเลยที่จะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันได้โดยที่ยังไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและในระหว่างเวลาดังกล่าวจำเลยต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ 0.2 ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ส่งมอบ หากจำเลยส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันได้ โจทก์ก็ไม่อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีกรณีจำเลยต้องรับผิดในราคาที่โจทก์จะต้องซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นเพิ่มขึ้น ถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญา นอกจากจำเลยจะต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันจนถึงวันบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยยังต้องรับผิดชดใช้ราคาที่โจทก์จะต้องซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นแพงเพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1664/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขาย, ค่าปรับรายวัน, การบอกเลิกสัญญา, ความแตกต่างของข้อสัญญา, การชดใช้ค่าเสียหาย
โจทก์ทำสัญญาซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากจำเลยรวม6รายการในราคา965,000บาทซึ่งจำเลยจะต้องส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ภายในวันที่5พฤศจิกายน2532แต่จำเลยมีหนังสือแจ้งขอเลื่อนเวลาส่งมอบออกไปเป็นวันที่30พฤศจิกายน2532โดยยอมรับผิดตามสัญญาข้อ10โจทก์ยินยอมและได้มีหนังสือแจ้งให้จำเลยทราบโดยสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับด้วยครั้นครบกำหนดจำเลยขอเลื่อนการส่งมอบออกไปอีกไม่เกินสิ้นเดือนธันวาคม2532โจทก์ยินยอมและได้แจ้งจำเลยว่าหากผิดนัดอีกโจทก์จะใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับและค่าเสียหายจำเลยมีหนังสือขอส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ในวันที่29ธันวาคม2532แต่ในวันดังกล่าวคณะกรรมการตรวจรับตรวจดูแล้วปรากฏว่าจำเลยส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันไม่ถูกต้องตามคุณลักษณะเฉพาะที่กำหนดไว้ในสัญญาโจทก์จึงมีหนังสือส่งคืนอุปกรณ์การเจาะน้ำมันแก่จำเลยจำเลยมีหนังสือขอส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันที่ถูกต้องให้โจทก์ภายในวันที่31มกราคม2533โจทก์ไม่ยินยอมและเห็นว่าจำเลยไม่อาจส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้ถูกต้องตามสัญญาได้จึงมีหนังสือบอกเลิกสัญญาแก่จำเลยเมื่อวันที่18มกราคม2533ดังนี้เมื่อจำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ภายในวันที่5พฤศจิกายน2532และโจทก์ไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาแต่ยังให้โอกาสจำเลยเลื่อนเวลาส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันออกไปถึง2ครั้งโดยโจทก์คาดหวังว่าจำเลยจะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้ได้ทั้งจำเลยก็ยังมีเจตนาส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ตามสัญญาที่โจทก์ไม่บอกเลิกสัญญาทันทีและยังคงสงวนสิทธิเรียกร้องค่าปรับไว้โจทก์จึงมีสิทธิปรับจำเลยเป็นรายวันได้ในอัตราร้อยละ0.2ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ได้รับมอบตามที่ระบุในสัญญาซื้อขายอุปกรณ์การเจาะน้ำมันข้อ10วรรคแรกและในระหว่างระยะเวลาดังกล่าวนั้นแม้จำเลยจะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์แต่ก็ไม่ถูกต้องตามสัญญาโจทก์ได้ส่งอุปกรณ์การเจาะน้ำมันคืนโดยถือว่าจำเลยไม่ได้ส่งมอบแก่โจทก์เลยโจทก์ย่อมบอกเลิกสัญญาได้ตามที่ระบุในสัญญาข้อ10วรรคสามได้ ส่วนกรณีผิดสัญญาตามสัญญาซื้อขายอุปกรณ์การเจาะน้ำมันข้อ9นั้นหมายความว่าเป็นกรณีที่จำเลยผิดสัญญาไม่ส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันและโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาทันทีโดยไม่ให้โอกาสจำเลยในการที่จะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์อีกซึ่งอาจเป็นเพราะโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่สามารถส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันให้โจทก์ก็ได้ดังนี้การเลิกสัญญาในข้อ9และข้อ10ดังกล่าวจึงมีผลต่างกันกล่าวคือการเลิกสัญญาตามข้อ9จำเลยไม่ต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันและโจทก์ใช้สิทธิตามสัญญาข้อ9วรรคสองคือริบหลักประกันและหากโจทก์ซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นในราคาที่สูงขึ้นกว่าเดิมจำเลยต้องใช้ราคาที่เพิ่มขึ้นส่วนสัญญาข้อ10วรรคแรกนั้นโจทก์ให้โอกาสจำเลยที่จะส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันได้โดยที่ยังไม่ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและในระหว่างเวลาดังกล่าวจำเลยต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันในอัตราร้อยละ0.2ของราคาสิ่งของที่ยังไม่ส่งมอบหากจำเลยส่งมอบอุปกรณ์การเจาะน้ำมันได้โจทก์ก็ไม่อาจใช้สิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่มีกรณีจำเลยต้องรับผิดในราคาที่โจทก์จะต้องซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นเพิ่มขึ้นถ้าโจทก์เห็นว่าจำเลยไม่อาจปฏิบัติตามสัญญาต่อไปได้และโจทก์ใช้สิทธิบอกเลิกสัญญานอกจากจำเลยจะต้องเสียค่าปรับเป็นรายวันจนถึงวันบอกเลิกสัญญาแล้วจำเลยยังต้องรับผิดชดใช้ราคาที่โจทก์จะต้องซื้ออุปกรณ์การเจาะน้ำมันจากบุคคลอื่นแพ่งเพิ่มขึ้นกว่าเดิมด้วย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผิดนัดชำระหนี้สัญญาซื้อขาย และสิทธิเลิกสัญญา
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดิน ซึ่งได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน และเป็นสัญญาต่างตอบแทนโดยจำเลยที่ 1 พร้อมชำระหนี้และรับชำระหนี้ แต่โจทก์มิได้ชำระหนี้และรับชำระหนี้ตามกำหนด โจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนตาม ป.พ.พ.มาตรา 204 วรรคสอง แม้สัญญาจะซื้อจะขายมีข้อสัญญาให้จำเลยบอกเลิกสัญญาได้ แต่จำเลยก็ให้โอกาสโจทก์ชำระหนี้และรับชำระหนี้ถึงสองครั้งโดยให้โจทก์เป็นผู้กำหนดวันนัดภายใน 7 วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วครั้งแรกโจทก์อ้างเหตุขัดข้องเรื่องเนื้อที่น้อยกว่าเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินและหมุดหลักเขตไม่แน่นอน ครั้งหลังโจทก์รับทราบและพ้นเวลาที่จำเลยกำหนดแล้วโจทก์ยังเพิกเฉยกรณีเช่นนี้จำเลยย่อมหลุดพ้นจากข้อผูกพันที่ให้โอกาสโจทก์ชำระหนี้และรับชำระหนี้ และสิทธิในการเลิกสัญญาโดยข้อสัญญายังคงมีอยู่หาได้ระงับสิ้นไปไม่ เมื่อจำเลยได้บอกเลิกสัญญาต่อโจทก์โดยชอบแล้ว จำเลยย่อมสิ้นความผูกพันที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและมีสิทธิไม่คืนเงินมัดจำที่โจทก์ชำระแล้วทั้งหมด ดังนั้น การที่จำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้องย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญา และเมื่อโจทก์ยังไม่อยู่ในฐานะที่จะรับชำระหนี้หรือชำระหนี้ตอบแทนฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ ย่อมถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1405/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาซื้อขายที่ดิน: ผู้ซื้อผิดนัดชำระหนี้ จำเลยมีสิทธิบอกเลิกสัญญาและไม่คืนเงินมัดจำ
โจทก์กับจำเลยทำสัญญาจะซื้อขายที่ดินซึ่งได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทินและเป็นสัญญาต่างตอบแทนโดยจำเลยที่1พร้อมชำระหนี้และรับชำระหนี้แต่โจทก์มิได้ชำระหนี้และรับชำระหนี้ตามกำหนดโจทก์ย่อมตกเป็นผู้ผิดนัดโดยมิพักต้องเตือนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา204วรรคสองแม้สัญญาจะซื้อจะขายมีข้อสัญญาให้จำเลยบอกเลิกสัญญาได้แต่จำเลยก็ให้โอกาสชำระหนี้และรับชำระหนี้ถึงสองครั้งโดยให้โจทก์เป็นผู้กำหนดวันนัดภายใน7วันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือบอกกล่าวแล้วครั้งแรกโจทก์อ้างเหตุขัดข้องเรื่องเนื้อที่น้อยกว่าเนื้อที่ตามโฉนดที่ดินและหมุดหลักเขตไม่แน่นอนครั้งหลังโจทก์รับทราบและพ้นเวลาที่จำเลยกำหนดแล้วโจทก์ยังเพิกเฉยกรณีเช่นนี้จำเลยย่อมหลุดพ้นจากข้อผูกพันที่ให้โอกาสโจทก์ชำระหนี้และรับชำระหนี้และสิทธิในการเลิกสัญญาโดยข้อสัญญายังคงมีอยู่หาได้ระงับสิ้นไปไม่เมื่อจำเลยได้บอกเลิกสัญญาต่อโจทก์โดยชอบแล้วจำเลยย่อมสิ้นความผูกพันที่จะต้องโอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทและมีสิทธิไม่คืนเงินมัดจำที่โจทก์ชำระแล้วทั้งหมดดังนั้นการที่จำเลยไม่โอนกรรมสิทธิ์ที่ดินพิพาทให้แก่โจทก์ตามฟ้องย่อมถือไม่ได้ว่าจำเลยทั้งสามเป็นฝ่ายผิดสัญญาและเมื่อโจทก์ยังไม่อยู่ในฐานะที่จะรับชำระหนี้หรือชำระหนี้ตอบแทนฝ่ายจำเลยทั้งสามได้ย่อมถือว่าโจทก์เป็นฝ่ายผิดสัญญา
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2539 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัด ผลกระทบต่อการเรียกร้องค่าเสียหาย และดอกเบี้ยจากสัญญาประกันภัย
โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า จะจัดซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุ แต่จำเลยซ่อมไม่เสร็จ โจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการซ่อม และให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหาย จำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ทำการซ่อมรถยนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยใช้การได้ดีเหมือนเดิม เป็นการปฏิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วน ไม่ได้ผิดสัญญา ซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เฉพาะว่า จำเลยได้ปฏิบัติผิดเงื่อนไขในกรมธรรม์ประกันภัย โดยไม่จัดซ่อมรถคันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เท่านั้น มิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ซ่อมรถให้เสร็จภายใน 20 วัน นับแต่วันเกิดเหตุตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา โจทก์มิได้โต้แย้งไว้ ประเด็นข้อพิพาทจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นกำหนด โจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่า จำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ฟ้องเรียกโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถ
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัย มิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิด โจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุ เมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัย และเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้ แม้ตามป.พ.พ. มาตรา 203 วรรคหนึ่ง โจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตาม แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้
โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้า ทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้น เป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนด เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่ จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 345/2539
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประเด็นข้อพิพาทจำกัด ประเด็นสัญญาซ่อมรถไม่ถูกยกขึ้นพิจารณา ศาลฎีกายืนตามคำพิพากษา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยตกลงกับโจทก์ว่าจะจัดซ่อมรถให้เสร็จภายใน20วันนับแต่วันเกิดเหตุแต่จำเลยซ่อมไม่เสร็จโจทก์จึงบอกเลิกสัญญาการซ่อมและให้จำเลยชดใช้ค่าเสียหายจำเลยให้การต่อสู้ว่าได้ทำการซ่อมรถยนต์ให้เป็นที่เรียบร้อยใช้การได้ดีเหมือนเดิมเป็นการปฎิบัติตามเงื่อนไขในสัญญากรมธรรม์ประกันภัยครบถ้วนไม่ได้ผิดสัญญาซึ่งศาลชั้นต้นกำหนดประเด็นข้อพิพาทไว้เฉพาะว่าจำเลยได้ปฎิบัติผิดเงื่อนไขกรมธรรม์ประกันภัยโดยไม่จัดซ่อมรถคันพิพาทให้แก่โจทก์หรือไม่เท่ากันมิได้กำหนดประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาไม่ซ่อมรถให้เสร็จภายใน20วันนับแต่วันเกิดเหตุตามที่ตกลงกับโจทก์ไว้ด้วยคำสั่งของศาลชั้นต้นในการชี้สองสถานกำหนดประเด็นข้อพิพาทดังกล่าวเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณาโจทก์มิได้โต้แย้งไว้ประเด็นข้อพิพาทจึงยุติตามที่ศาลชั้นต้นกำหนดโจทก์จึงไม่มีสิทธิอุทธรณ์ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา226เมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยก็ไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนที่เกี่ยวกับค่ารถแท็กซี่ที่โจทก์ฟ้องเรียกโดยอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถ โจทก์ฟ้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญาประกันภัยมิใช่เป็นการฟ้องในมูลละเมิดโจทก์จึงไม่มีสิทธิคิดดอกเบี้ยนับแต่วันเกิดเหตุเมื่อจำเลยผิดสัญญาประกันภัยและเป็นกรณีที่เวลาอันจะพึงชำระหนี้มิได้กำหนดลงไว้แม้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์มาตรา203วรรคหนึ่งโจทก์จะมีสิทธิเรียกให้จำเลยชำระหนี้ได้โดยพลันก็ตามแต่เมื่อไม่ปรากฎว่าโจทก์ได้ซ่อมรถและเรียกให้จำเลยชำระหนี้เมื่อใดศาลก็ชอบที่จะกำหนดให้จำเลยรับผิดชำระดอกเบี้ยแก่โจทก์นับแต่วันฟ้องได้ โจทก์เรียกค่าเสียหายในส่วนที่จำเลยซ่อมรถล่าช้าทำให้ราคารถยนต์ต่ำลงเนื่องจากรัฐบาลประกาศลดการเก็บภาษีรถยนต์นั้นเป็นการอ้างว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถไม่เสร็จภายในกำหนดเมื่อไม่มีประเด็นข้อพิพาทว่าจำเลยผิดสัญญาซ่อมรถกับโจทก์หรือไม่จำเลยจึงไม่ต้องรับผิดค่าเสียหายในส่วนนี้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9255/2538 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กำหนดเวลาชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความและการผิดนัด
การที่สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2ผ่อนชำระเงินเดือนละ 100,000 บาท โดยวิธีนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อมิได้วางเงินตามกำหนดถือว่าผิดนัด
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 9255/2538
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผิดนัดชำระหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ถือเป็นการผิดนัดทั้งหมด ศาลอนุญาตบังคับคดีได้
การที่สัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้จำเลยที่ 1 ที่ 2 ผ่อนชำระเงินเดือนละ 100,000 บาทโดยวิธีนำมาวางศาลเพื่อให้โจทก์รับไปภายในวันสิ้นเดือนของทุกเดือน หากผิดนัดงวดหนึ่งงวดใดให้ถือว่าผิดนัดทั้งหมดเป็นการกำหนดเวลาที่จำเลยที่ 1 ที่ 2 จะต้องชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เมื่อมิได้วางเงินตามกำหนดถือว่าผิดนัด