พบผลลัพธ์ทั้งหมด 1,956 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1841/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผู้เช่าเพียรชำระค่าเช่าแต่ผู้ให้เช่าไม่รับ การฟ้องเรียกค่าเช่าที่ค้างจึงไม่ชอบ และการละเมิดเริ่มเมื่อทราบมติควบคุมค่าเช่า
ผู้เช่าเพียรชำระค่าเช่าแก่ผู้ให้เช่าผู้ให้เช่าไม่รับและบอกว่ายังไม่ให้ชำระดังนี้ ยังเรียกไม่ได้ว่าผู้เช่าผิดนัด จู่ๆ ผู้ให้เช่าจะมาขอให้ศาลบังคับให้ไม่ได้
ในเรื่องค่าเช่าฟ้องบรรยายว่าได้เลิกสัญญาเช่าแล้วผู้เช่าไม่ยอมออกขอเรียกค่าเสียหาย 2,000 บาท และค่าเช่ารวม 180 บาท ดังนี้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
กรณีที่มีมติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าฯ ให้ผู้เช่าออกจากห้องเช่า ผู้เช่าจะละเมิดก็ต่อเมื่อได้ทราบมตินั้น
ในเรื่องค่าเช่าฟ้องบรรยายว่าได้เลิกสัญญาเช่าแล้วผู้เช่าไม่ยอมออกขอเรียกค่าเสียหาย 2,000 บาท และค่าเช่ารวม 180 บาท ดังนี้ ไม่เป็นฟ้องเคลือบคลุม
กรณีที่มีมติของคณะกรรมการควบคุมค่าเช่าฯ ให้ผู้เช่าออกจากห้องเช่า ผู้เช่าจะละเมิดก็ต่อเมื่อได้ทราบมตินั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588-593/2497
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์ & การวางทรัพย์ชำระหนี้: ไม่ผูกมัดคำสั่งศาลชั้นต้น และแยกประเด็นผิดนัดชำระหนี้
ศาลอุทธรณ์หาจำต้องผูกมัดตามคำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นไม่
การวางทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331,333 นั้นเป็นเรื่องการปลดเปลื้องให้พ้นความรับผิดในการชำระหนี้ส่วนเรื่องลูกหนี้ได้ผิดนัดชำระหนี้แล้วหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การวางทรัพย์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 331,333 นั้นเป็นเรื่องการปลดเปลื้องให้พ้นความรับผิดในการชำระหนี้ส่วนเรื่องลูกหนี้ได้ผิดนัดชำระหนี้แล้วหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 588-593/2497 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจศาลอุทธรณ์กับการผูกพันตามคำสั่งรับอุทธรณ์ และการวางทรัพย์กับฐานะผิดนัดชำระหนี้
ศาลอุทธรณ์หาจำต้องผูกมัดตามคำสั่งรับอุทธรณ์ของศาลชั้นต้นไม่
การวางทรัพย์ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 330,333, นั้นเป็นเรื่องการปลดเปลี้องให้พ้นความรับผิดในการชำระหนี้ ส่วนเรื่องลูกหนี้ได้ผิดนัดขำระหนี้แล้วหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
การวางทรัพย์ตาม ป.ม.แพ่งฯมาตรา 330,333, นั้นเป็นเรื่องการปลดเปลี้องให้พ้นความรับผิดในการชำระหนี้ ส่วนเรื่องลูกหนี้ได้ผิดนัดขำระหนี้แล้วหรือไม่นั้นเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้องร่วมของอัยการและสิทธิในทรัพย์สินมรดกหลังการเสียชีวิตของบุตร
ภรรยาเป็นโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กผู้เป็นบุตรเรียกทรัพย์ของสามีผู้เป็นบิดาของบุตร จากปู่ของบุตร ดังนี้แม้การฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กจะไม่ชอบเพราะเป็นอุทลุม แต่ที่ฟ้องในฐานะส่วนตัวยังสมบูรณ์อยู่ฉนั้นอัยการในนามของเด็กบุตรโจทก์ก็ย่อมมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วม เพื่อรักษาผลประโยชน์ของเด็กให้ได้รับความคุ้มครองได้
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นของผู้ตายและโจทก์เป็นทายาท เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเป็นทรัพย์ของผู้ตายกับจำเลยคนละครึ่งและจำเลยก็เป็นทายาทผู้หนึ่งด้วยเหมือนกัน ดังนี้ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งทรัพย์รายนั้นออกเป็น 2 ส่วนก่อนแล้วให้แบ่งส่วนของผู้ตายให้แก่โจทก์จำเลยผู้เป็นทายาทตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
อัยการในนามของเด็กฟ้องเรียกมรดกของบิดาเด็กจากปู่ของเด็ก เมื่อเด็กบางคนตายในระหว่างคดีอัยการก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์สำหรับเด็กคนที่ตายนั้นต่อไป แต่ศาลก็พิพากษาให้เด็กที่ยังอยู่ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนที่มีอยู่เดิม ส่วนของเด็กที่ตายซึ่งเหลือจากแบ่งให้เด็กที่ยังอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะเรียกร้องกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ฟ้องเรียกเงินทั้งหมดได้ความว่าเป็นขอโจทก์จำเลยร่วมกัน ศาลพิพากษาให้แบ่งไปเลยแต่โจทก์ไม่สมควรได้ดอกเบี้ย
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยโดยอ้างว่าเป็นของผู้ตายและโจทก์เป็นทายาท เมื่อทางพิจารณาได้ความว่าเป็นทรัพย์ของผู้ตายกับจำเลยคนละครึ่งและจำเลยก็เป็นทายาทผู้หนึ่งด้วยเหมือนกัน ดังนี้ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งทรัพย์รายนั้นออกเป็น 2 ส่วนก่อนแล้วให้แบ่งส่วนของผู้ตายให้แก่โจทก์จำเลยผู้เป็นทายาทตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
อัยการในนามของเด็กฟ้องเรียกมรดกของบิดาเด็กจากปู่ของเด็ก เมื่อเด็กบางคนตายในระหว่างคดีอัยการก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์สำหรับเด็กคนที่ตายนั้นต่อไป แต่ศาลก็พิพากษาให้เด็กที่ยังอยู่ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนที่มีอยู่เดิม ส่วนของเด็กที่ตายซึ่งเหลือจากแบ่งให้เด็กที่ยังอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะเรียกร้องกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ฟ้องเรียกเงินทั้งหมดได้ความว่าเป็นขอโจทก์จำเลยร่วมกัน ศาลพิพากษาให้แบ่งไปเลยแต่โจทก์ไม่สมควรได้ดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1854/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อำนาจฟ้อง, การเป็นผู้แทนโดยชอบธรรม, การแบ่งมรดก, สิทธิในสินสมรส และผลกระทบการตายของโจทก์ระหว่างคดี
ภรรยาเป็นโจทก์ฟ้องในฐานะส่วนตัวและผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็กผู้เป็นบุตรเรียกทรัพย์ของสามีผู้เป็นบิดาของบุตรจากปู่ของบุตร ดังนี้ แม้การฟ้องในฐานะเป็นผู้แทนโดยชอบธรรมของเด็ก จะไม่ชอบเพราะเป็นอุทลุมแต่ที่ฟ้องในฐานะส่วนตัวยังสมบูรณ์อยู่ ฉะนั้นอัยการในนามของเด็กบุตรโจทก์ย่อมมีสิทธิร้องสอดเข้าเป็นโจทก์ร่วมเพื่อรักษาผลประโยชน์ของเด็กให้ได้รับความคุ้มครองได้
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยโดยอ้างว่า เป็นของผู้ตายและโจทก์เป็นทายาท เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า เป็นทรัพย์ของผู้ตายกับจำเลยคนละครึ่งและจำเลยก็เป็นทายาทผู้หนึ่งด้วยเหมือนกัน ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งทรัพย์รายนั้นออกเป็น 2 ส่วนก่อนแล้วให้แบ่งส่วนของผู้ตายให้แก่โจทก์จำเลยผู้เป็นทายาทตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
อัยการในนามของเด็กฟ้องเรียกมรดกของบิดาเด็กจากปู่ของเด็กเมื่อเด็กบางคนตายในระหว่างคดี อัยการก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์สำหรับเด็กคนที่ตายนั้นต่อไป แต่ศาลก็พิพากษาให้เด็กที่ยังอยู่ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนที่มีอยู่เดิม ส่วนของเด็กที่ตายซึ่งเหลือจากแบ่งให้เด็กที่ยังอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะเรียกร้องกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ฟ้องเรียกเงินทั้งหมดได้ความว่า เป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน ศาลพิพากษาให้แบ่งไปเลยแต่โจทก์ไม่สมควรได้ดอกเบี้ย
โจทก์ฟ้องเรียกทรัพย์จากจำเลยโดยอ้างว่า เป็นของผู้ตายและโจทก์เป็นทายาท เมื่อทางพิจารณาได้ความว่า เป็นทรัพย์ของผู้ตายกับจำเลยคนละครึ่งและจำเลยก็เป็นทายาทผู้หนึ่งด้วยเหมือนกัน ดังนี้ ศาลย่อมพิพากษาให้แบ่งทรัพย์รายนั้นออกเป็น 2 ส่วนก่อนแล้วให้แบ่งส่วนของผู้ตายให้แก่โจทก์จำเลยผู้เป็นทายาทตามส่วนที่ตนมีสิทธิได้
อัยการในนามของเด็กฟ้องเรียกมรดกของบิดาเด็กจากปู่ของเด็กเมื่อเด็กบางคนตายในระหว่างคดี อัยการก็ไม่มีอำนาจเป็นโจทก์สำหรับเด็กคนที่ตายนั้นต่อไป แต่ศาลก็พิพากษาให้เด็กที่ยังอยู่ได้รับส่วนแบ่งตามส่วนของตนที่มีอยู่เดิม ส่วนของเด็กที่ตายซึ่งเหลือจากแบ่งให้เด็กที่ยังอยู่แล้ว เป็นเรื่องที่จะเรียกร้องกันอีกส่วนหนึ่งต่างหาก
ฟ้องเรียกเงินทั้งหมดได้ความว่า เป็นของโจทก์จำเลยร่วมกัน ศาลพิพากษาให้แบ่งไปเลยแต่โจทก์ไม่สมควรได้ดอกเบี้ย
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2493 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การผ่อนผันการชำระค่าเช่าและการถือว่าผิดนัดชำระค่าเช่าตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า
พฤติการณ์ที่ถือว่าผู้เช่าไม่ผิดนัด ไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติด ๆ ตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่า ฯลฯ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1397/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้างชำระค่าเช่าไม่ถือเป็นผิดนัดหากเจ้าของให้ผ่อนผันได้ และไม่มีเจตนาที่จะเลิกสัญญา
พฤติการณ์ที่ถือว่า ผู้เช่าไม่ผิดนัด ไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวติดๆ ตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าฯ
การค้างชำระค่าเช่าจะถือว่าผู้เช่าเป็นผู้ผิดนัดตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าเสมอไปไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 924/2491)
การค้างชำระค่าเช่าจะถือว่าผู้เช่าเป็นผู้ผิดนัดตามพระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าเสมอไปไม่ได้ (อ้างฎีกาที่ 924/2491)
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1111/2493
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญาเช่ากำหนดเงื่อนไขชำระค่าเช่าและสิทธิบอกเลิกสัญญาได้ทันที หากผิดสัญญา การบอกเลิกสัญญาไม่ต้องอาศัยบทบัญญัติมาตรา 560
สัญญาเช่า มีข้อความกำหนดการชำระค่าเช่ากันว่าถ้าผู้เก็บค่าเช่ามิได้ไปเก็บค่าเช่า จนล่วงพ้นวันที่ 7 ของเดือนนั้นไปแล้ว ผู้เช่าจะต้องนำค่าเช่าประจำเดือนนั้นไปชำระ ณ สำนักงานของผู้ให้เช่าภายในวันที่ 10 ของเดือนนั้น และมีอีกข้อหนึ่งว่า ถ้าผู้เช่าประพฤติผิดสัญญานี้ในข้อหนึ่งข้อใด ผู้ให้เช่าทรงไว้ซึ่งสิทธิจะบอกเลิกเพิกถอนสัญญาเช่าได้ทันทีโดยมิต้องบอกกล่าวล่วงหน้าให้ผู้เช่าทราบก็ได้ ดังนี้ เมื่อผู้เช่างดส่งค่าเช่าถึง 3 เดือน ผู้ให้เช่าจึงบอกเลิกสัญญาเช่า โดยไม่ต้องบอกกล่าวตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 560 ได้ เพราะความในมาตรา 560 นี้ จะยกมาใช้ได้ต่อเมื่อมิได้มีข้อสัญญาดังกล่าวต่อกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2491
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การค้างชำระค่าเช่ากับการผิดนัดชำระค่าเช่ามีความแตกต่างกัน และมีผลต่อสิทธิในการฟ้องขับไล่
การค้างชำระค่าเช่ากับการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่านั้นต่างกัน จำเลยค้างชำระค่าเช่า 12 เดือน จะถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่าถึง 2 คราวยังไม่ได้ เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยผิดนัดเพียงครั้งเดียวกรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตาม พระราชบัญญัติควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2489มาตรา 16(1) ที่จะฟ้องขับไล่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 924/2491 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความแตกต่างระหว่างค้างชำระค่าเช่ากับการผิดนัดชำระค่าเช่ามีผลต่อสิทธิในการฟ้องขับไล่
การค้างชำระค่าเช่ากับการผิดนัดไม่ชำระค่าเช่านั้นต่างกัน จำเลยค้างชำระค่าเช่า 12 เดือน จะถือว่าจำเลยผิดนัดไม่ชำระค่าเช่า 2 คราวยังไม่ได้ เมื่อคดีได้ความว่าจำเลยผิดนัดเพียงครั้งเดียว กรณีจึงไม่เข้าข้อยกเว้นตาม พ.ร.บ.ควบคุมค่าเช่าในภาวะคับขัน 2489 มาตรา 16(1) ที่จะฟ้องขับไล่ได้