คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บัญญัติ สุชีวะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 340 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 347/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่นเจ้าพนักงานขณะปฏิบัติหน้าที่: ถ้อยคำ 'ไม่ยุติธรรม' ถือเป็นการดูหมิ่น
จำเลยไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท อ. ซึ่งปฏิบัติหน้าที่ร้อยเวรและเวรสอบสวนว่าสุนัขของม.กัดหลานของจำเลยอ. มิได้สั่งให้ตำรวจลงบันทึกแจ้งความตามที่จำเลยมาแจ้ง โดยอ้างว่าอาจเป็นสุนัขกลางตลาดก็ได้ จะไปสืบหาเจ้าของสุนัขเสียก่อน จำเลยยืนยันว่าเป็นสุนัขของ ม. แต่ อ. ไม่ยอมรับแจ้งความในทันที อ. และจำเลยจึงโต้เถียงกันในเรื่องไม่ลงบันทึกประจำวัน จำเลยได้กล่าวต่อ อ.ว่าทำอย่างนี้ก็ไม่ยุติธรรมดังนี้มีความหมายว่าอ. ปฏิบัติหน้าที่ไม่ยุติธรรมซึ่งเป็นการดูถูกเหยียดหยามต่ออ.เป็นถ้อยคำดูหมิ่นอ. จำเลยจึงมีความผิดฐานดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 136 ไม่ใช่เป็นการต่อว่าที่แสดงความคิดเห็นโดยสุจริตเพื่อความชอบธรรมป้องกันส่วนได้เสียของจำเลยตามคลองธรรม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 338/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความเห็นผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้ง – รับฟังได้แม้ไม่เบิกความ
ผู้เชี่ยวชาญที่ศาลตั้งทำความเห็นเป็นหนังสือ แม้ไม่ได้มาเบิกความต่อศาล ก็อาจรับฟังความเห็นนั้นได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 215/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การดูหมิ่น การคบชู้ และพฤติกรรมภริยา ไม่เป็นเหตุให้หย่าตามกฎหมาย
ภริยาด่าสามีว่า 'ครูหมา โคตรพ่อโคตรแม่มึงเป็นหมากูจะมาเอาชีวิตมึง' เป็นเพียงดูหมิ่น ไม่ถือเป็นหมิ่นประมาทสามีและบุพการีอย่างร้ายแรง
ภริยาชอบเล่นการพนันสลากกินแบ่ง กินรวบ ไพ่ผสมสิบ ออกจากบ้านไปค้างที่อื่นครั้งละหลายๆ วัน ไปคบชายแปลกหน้าพากันไปในที่ต่างๆ ไม่เป็นจงใจละทิ้งเกิน 1 ปี หรือมีชู้ ภริยาไล่แทงแต่สามีหนีทันไม่ใช่ทำร้ายบาดเจ็บ ไม่เป็นเหตุหย่า
สามีภริยาตกลงหย่ากันต่อหน้าพยานหลายคน ไม่มีผลเป็นการหย่าตาม มาตรา 1498

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 193/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทำร้ายร่างกายเด็ก: บาดเจ็บ ฟันหัก เข้าข่ายอันตรายแก่กาย
ชกต่อยเตะเด็กมีบาดแผลบวม ฟันหัก 1 ซี่ ฟันโยก 3 ซี่รักษา ไม่เกิน 20 วัน เป็นอันตรายแก่กายตาม มาตรา 295

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินกรณีอยู่กินฉันสามีภรรยา - ไม่มีสิทธิร่วมหากที่ดินมีก่อนอยู่กิน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภริยากับพ. แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์มีสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำติดตัวมาแต่ได้ขายเป็นทุนทำกินร่วมกับ พ. ทั้งหมดส่วน พ.มีที่นา 1 แปลง โจทก์ได้ทำกินร่วมกับ พ. โจทก์กับ พ. จึงเป็นหุ้นส่วนกัน ต่อมา พ. ตาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินกึ่งหนึ่งดังนี้ แม้โจทก์จะมีทรัพย์ติดตัวมาด้วยเมื่อมาอยู่กับ พ. ก็ตามแต่เมื่อนาพิพาทมิใช่ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างอยู่กินกับ พ. ที่พิพาทจึงมิใช่ผลประโยชน์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ พ. อันจะถือได้ว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และการอยู่กินกันฉันสามีภรรยาระหว่างโจทก์กับ พ.ตามที่บรรยายมาในฟ้องก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทรายนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 108/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในที่ดินเมื่ออยู่กินฉันสามีภรรยา แต่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส และทรัพย์สินนั้นไม่ได้มาจากการทำกินร่วมกัน
โจทก์บรรยายฟ้องว่า โจทก์แต่งงานอยู่กินเป็นสามีภริยากับ ท. แต่มิได้จดทะเบียนสมรสกัน โจทก์มีสร้อยคอทองคำและสร้อยข้อมือทองคำติดตัวมาแต่ได้ขายเป็นทุนทำกินร่วมกับ พ. ทั้งหมด ส่วน พ. มีที่นา 1 แปลง โจทก์ได้ทำกินร่วมกับ พ. โจทก์กับ พ. จึงเป็นหุ้นส่วนกัน ต่อมา พ. ตาย โจทก์จึงมีสิทธิได้รับส่วนแบ่งในที่ดินกึ่งหนึ่ง ดังนี้ แม้โจทก์จะมีทรัพย์ติดตัวมาด้วยเมื่อมาอยู่กับ พ. ก็ตาม แต่เมื่อนาพิพาทมิใช่ทรัพย์ที่ได้มาระหว่างอยู่กินกับ พ. ที่พิพาทจึงมิใช่ผลประโยชน์ที่ทำมาหาได้ร่วมกันระหว่างโจทก์กับ พ. อันจะถือได้ว่ามีกรรมสิทธิ์ร่วมกัน และการอยู่กินกันฉันสามีภรรยาระหว่างโจทก์กับ พ. ตามที่บรรยายมาในฟ้องก็ยังถือไม่ได้ว่าเป็นสัญญาเข้าหุ้นส่วนกันตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1012 โจทก์จึงไม่มีสิทธิในที่ดินพิพาทรายนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 55/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจัดการมรดก: การพิจารณาคุณสมบัติของผู้จัดการมรดกและความชอบด้วยวิธีพิจารณา
ผู้ร้องร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายซึ่งเป็นบุตร สามีโดยมิชอบด้วยกฎหมายของผู้ตายร้องคัดค้านว่า ได้จดทะเบียนรับรองบุตรซึ่งเกิดจากผู้ตายแล้ว มรดกของผู้ตายตกได้แก่บุตร ผู้ร้องไม่มีสิทธิเกี่ยวข้อง ขอให้ยกคำร้องของผู้ร้องและตั้งผู้คัดค้านเป็นผู้จัดการมรดก ดังนี้ การที่จะพิจารณาว่าสมควรจะให้ฝ่ายใดเป็นผู้จัดการมรดกนั้น จะต้องทราบรายละเอียดแห่งความสัมพันธ์หรือพฤติการณ์ระหว่างผู้ตายกับผู้ร้องและผู้คัดค้าน ตลอดจนคุณสมบัติของแต่ละฝ่ายตามสมควร เพื่อจะได้เป็นแนวทางวินิจฉัยว่าผู้ใดเหมาะสมกว่ากันในการเป็นผู้จัดการมรดก การที่ศาลสั่งงดสืบพยานเมื่อสืบตัวผู้ร้องเพียงปากเดียว จึงยังไม่ชอบ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2519 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกทรัพย์และอำนาจฟ้องในคดีอาญา ผู้จัดการมรดกมีอำนาจฟ้องได้หากความผิดเกิดขึ้นระหว่างที่ตนเป็นผู้จัดการมรดก
โจทก์ฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดฐานยักยอกระหว่างวันที่ 30 สิงหาคม 2514 ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2515 และโจทก์เป็นผู้จัดการมรดกของ น. ซึ่งถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายน 2514 นั้น แสดงว่าจำเลยได้กระทำความผิดระหว่างที่โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกอยู่ด้วย โจทก์จึงเป็นผู้เสียหาย มีอำนาจฟ้องจำเลยในความผิดฐานยักยอกตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 ประกอบด้วยมาตรา 354
น. มิได้ยกที่ดินโฉนดพิพาทให้จำเลย จำเลยได้รับโฉนดพิพาทจาก น. ไว้ในฐานะผู้จัดการทรัพย์สินของ น. และเมื่อ น. เพิกถอนการมอบอำนาจที่ให้จัดการทรัพย์สินแล้ว จำเลยก็ยังไม่คืนให้ ทั้ง ๆ ที่ น. และโจทก์ซึ่งเป็นผู้จัดการมรดกได้ทวงถาม นอกจากนี้จำเลยยังได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์ที่ดินโฉนดพิพาทอีกด้วย นั้น ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเบียดบังเอาโฉนดพิพาทเป็นของตนโดยทุจริต อันจะเป็นความผิดฐานยักยอกตามนัยคำพิพากษาฎีกาที่ 253/2488 การที่จำเลยไปร้องขอต่อศาลให้สั่งแสดงกรรมสิทธิ์นั้นเป็นเรื่องที่จำเลยประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ในที่ดินเท่านั้น ยังไม่พอฟังว่าจำเลยเบียดบังเอาตัวโฉนดที่ดินที่โจทก์ฟ้องเป็นของตนโดยทุจริตด้วย
โจทก์อ้างในคำฟ้องว่า จำเลยกระทำผิดในวันที่ 31 พฤษภาคม 2515 ซึ่งเป็นวันเวลาหลังจากที่ น. ได้ถอนอำนาจที่มอบให้จำเลยเป็นผู้จัดการทรัพย์สินแล้ว ฉะนั้น ในวันที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำผิด จำเลยจึงมิใช่ผู้ได้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์สินของ น. กรณีไม่อยู่ในบังคับของมาตรา 353 และ 354 แม้ น. จะถอนอำนาจที่มอบให้จำเลยจัดการแล้ว จำเลยก็ต้องมีหน้าที่มอบทรัพย์สินคืนเท่านั้น ไม่มีหน้าที่จัดการทรัพย์สินของ น. อยู่ในวันเวลาที่โจทก์อ้างว่าจำเลยกระทำผิด
ศาลชั้นต้นมีอำนาจตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 18 ที่จะตรวจคำคู่ความใด ๆ ที่ยื่นไว้ต่อศาลว่าปิดแสตมป์บริบูรณ์หรือไม่ เมื่อเห็นว่าโจทก์ยังมิได้เสียค่าธรรมเนียมศาลสำหรับฟ้องในคดีส่วนแพ่งให้บริบูรณ์ ก็มีอำนาจสั่งให้เสียค่าธรรมเนียมศาล คือให้ปิดแสตมป์ให้บริบูรณ์ได้ และมาตรา 18 ก็มิได้บัญญัติว่าจะต้องสั่งเมื่อใด ฉะนั้น เมื่อศาลชั้นต้นตรวจพบก่อนมีคำพิพากษา จึงชอบที่จะสั่งให้โจทก์จัดการเสียค่าธรรมเนียมศาลให้บริบูรณ์ก่อนมีคำพิพากษาได้
จำเลยยื่นอุทธรณ์ว่า โจทก์มิใช่ผู้เสียหาย ไม่มีอำนาจฟ้องตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 353 ประกอบด้วยมาตรา 354 ศาลชั้นต้นสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยในข้อนี้ เพราะจำเลยยื่นอุทธรณ์เกินกำหนดนั้น ถือว่ามิได้ยกขึ้นมาว่าในศาลอุทธรณ์ แต่ปัญหานี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย จำเลยยกขึ้นฎีกาได้ แต่เนื่องจากวินิจฉัยฎีกาโจทก์แล้วว่า การกระทำของจำเลยไม่เป็นความผิด จึงไม่มีประโยชน์ที่จะต้องวินิจฉัยปัญหานี้ จึงไม่รับวินิจฉัยให้
(วรรคแรกวินิจฉัยโดยที่ประชุมใหญ่ ครั้งที่ 15/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 47/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยักยอกโฉนดและการฟ้องคดีอาญาฐานยักยอก จำเลยต้องคืนโฉนด แต่ไม่พอฟังว่ามีการทุจริตเบียดบัง
น. ให้จำเลยจัดการทรัพย์สิน มอบโฉนดให้ ต่อมาได้ถอนอำนาจ จำเลยไม่คืนโฉนด แต่ร้องขอต่อศาลให้แสดงกรรมสิทธิ์ตาม ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1382 เป็นแต่จำเลยแสดงว่าประสงค์จะได้กรรมสิทธิ์ยังไม่เป็นการเบียดบังเอาเป็นของตน ยังไม่เป็นความผิดฐานยักยอกโฉนด
น. ถอนจำเลยจากผู้จัดการทรัพย์สิน จำเลยมีหน้าที่คืนโฉนด ไม่มีหน้าที่จัดการต่อไปแล้ว จึงไม่ใช่ผู้รับมอบหมายให้จัดการทรัพย์ การไม่คืนโฉนดไม่เป็นความผิดตาม มาตรา 353
ผู้จัดการมรดกฟ้องว่าจำเลยยักยอกโฉนดของเจ้ามรดกระหว่างที่ศาลตั้งให้โจทก์เป็นผู้จัดการมรดกแล้ว โจทก์เป็นผู้เสียหายฟ้องตาม มาตรา 352 ได้
ศาลสั่งให้โจทก์เสียค่าขึ้นศาลให้ครบในคำขอให้คืนโฉนดก่อนมีคำพิพากษา ศาลสั่งได้ตาม ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา18
จำเลยอุทธรณ์ว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 352 เพราะไม่ใช่ผู้เสียหาย แต่ศาลไม่รับเพราะอุทธรณ์เกิน 15 วันเมื่อโจทก์ยังฎีกาให้ลงโทษจำเลย จำเลยฎีกาว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องอีกได้ แม้ถือว่าไม่ได้ว่ากล่าวในชั้นอุทธรณ์เพราะเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนแต่เมื่อศาลฎีกายกฟ้องโจทก์อยู่แล้ว ก็ไม่มีประโยชน์ที่ศาลฎีกาจะวินิจฉัยในข้อนี้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 23/2519

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิดของหน่วยงานราชการ: เริ่มนับเมื่อผู้มีอำนาจสูงสุดทราบเรื่อง
แม้เจ้าหน้าที่โจทก์จะได้รับแจ้งถึงการที่มีผู้ทำละเมิดต่อโจทก์ อายุความในเรื่องละเมิดยังไม่เริ่มนับจนกว่าอธิบดีกรมโจทก์ซึ่ง เป็นผู้แทนโจทก์ได้รู้ถึงการกระทำละเมิดดังกล่าวแล้ว
กรมมอบอำนาจให้ส่วนราชการอื่นแจ้งความกล่าวโทษผู้กระทำละเมิด แต่เมื่อมิได้มอบให้ติดตามเรียกร้องค่าเสียหายหรือดำเนินคดีฟ้องเรียกค่าเสียหายด้วยการที่ส่วนราชการผู้รับมอบอำนาจรู้ถึงการกระทำละเมิด ไม่ถือว่ากรมรู้ด้วย
of 34