คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บัญญัติ สุชีวะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 340 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 452/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การประชุมผู้ถือหุ้นไม่ชอบตามข้อบังคับบริษัท ทำให้มติที่ประชุมเป็นโมฆะ
ข้อบังคับของบริษัทจำเลยมีว่า 'การประชุมวิสามัญจะเรียกประชุมเมื่อใดก็ได้ในเมื่อคณะกรรมการบริษัทเห็นสมควรหรือผู้ถือหุ้นรวมกันนับจำนวนหุ้นได้ถึงหนึ่งในห้าของหุ้นทั้งหมดทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ' ตามข้อบังคับข้อนี้กำหนดให้เป็นอำนาจของคณะกรรมการที่จะเรียกประชุม มิใช่กรรมการคนใดคนหนึ่งแต่เพียงคนเดียว แม้ว่าผู้ถือหุ้นรวมกันทำหนังสือขอให้เรียกประชุมวิสามัญ ก็จะต้องทำหนังสือถึงคณะกรรมการ แล้วคณะกรรมการเป็นผู้เรียกประชุม
ปรากฏว่า ม. กรรมการเพียงคนเดียวเป็นผู้เรียกประชุมผู้ถือหุ้นบริษัทจำเลยในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513 โดยไม่ได้เสนอคำร้องขอของผู้ถือหุ้นต่อคณะกรรมการบริหารของบริษัทจำเลยตามข้อบังคับในวันประชุม ส. ประธานกรรมการบริษัทจำเลยได้สั่งระงับการประชุม ม. ยอมรับคำสั่งแต่โดยดี แต่แล้วกลับละเมิดคำสั่งได้ดำเนินการประชุมต่อไป ที่ประชุมแต่งตั้ง ท. เป็นประธานของที่ประชุมโดยที่ ท. มิได้มีคุณสมบัติตามข้อบังคับที่จะเป็นได้การประชุมดังกล่าวจึงไม่ชอบด้วยข้อบังคับคณะกรรมการที่ตั้งขึ้นตามมติของที่ประชุมครั้งนั้นจึงเป็นคณะกรรมการที่ไม่ชอบไม่มีอำนาจบริหารและไม่มีอำนาจเรียกประชุมใหญ่ผู้ถือหุ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 มติต่างๆ ของที่ประชุมผู้ถือหุ้นในวันที่ 11 ตุลาคม 2513จึงไม่มีผล
ที่คำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ขอให้ศาลพิพากษาว่า การประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2513 และมติต่างๆ ที่ลงไว้ไม่มีผลใช้บังคับ และคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 ขอให้ศาลพิพากษาว่า โดยผลของการประชุมใหญ่ของบริษัทจำเลยเมื่อวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513ตกเป็นโมฆะตามกฎหมายและข้อบังคับแล้ว การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ 1 จึงตกเป็นโมฆะนั้น คำขอท้ายฟ้องข้อ 2 เป็นการเท้าความถึงเท่านั้นหาได้มุ่งหมายจะให้ศาลพิพากษาว่าการประชุมใหญ่ในวันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2513. และมติเป็นโมฆะไม่ ทั้งคำบรรยายฟ้องก็มิได้บรรยายในทำนองนั้น แท้ที่จริงประสงค์จะให้พิพากษาว่า การใดหรือมติใดที่กระทำไปโดยคณะกรรมการของบริษัทจำเลยดังกล่าวในข้อ 1 ของคำขอท้ายฟ้อง คือการประชุมและมติในวันที่ 11 ตุลาคม 2513 ตกเป็นโมฆะที่ศาลอุทธรณ์พิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 1 ก็เป็นการเพียงพอแล้วไม่จำเป็นต้องพิพากษาตามคำขอท้ายฟ้องข้อ 2 อีก

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าและผลของการไม่ติดอากรแสตมป์ต่อความสมบูรณ์ของสัญญา
ตามประมวลรัษฎากรมาตรา 118 ตราสารใดที่ไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์เพียงแต่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งมิได้เท่านั้น หาได้บัญญัติว่าตราสารเช่นว่านั้นไม่สมบูรณ์อย่างใดไม่ โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่า สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ มิได้ท้ากันว่าจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้หรือไม่ ดังนั้นที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์ การซื้อขายจึงไม่อาจกระทำโดยการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ ฉะนั้นการซื้อขายที่ดินที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมีผลสมบูรณ์ที่จะให้ผู้ขายส่งมอบที่ดินที่ครอบครองให้แก่ผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 แล้ว สัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 437/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายที่ดินมือเปล่าและผลของการไม่ปิดอากรแสตมป์: สัญญาซื้อขายมีผลสมบูรณ์ตามกฎหมาย
ตามประมวลรัษฎากร มาตรา 118 ตราสารใดที่ไม่ปิดอากรแสตมป์ให้บริบูรณ์เพียงแต่จะใช้เป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งมิได้เท่านั้น หาได้บัญญัติว่าตราสารเช่นว่านั้นไม่สมบูรณ์อย่างใดไม่โจทก์จำเลยตกลงท้ากันขอให้ศาลวินิจฉัยประเด็นเดียวว่าสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 สมบูรณ์ตามกฎหมายหรือไม่ มิได้ท้ากันว่าจะรับฟังเป็นพยานหลักฐานในคดีแพ่งได้หรือไม่ ดังนั้น ที่จำเลยฎีกาโต้แย้งว่าสัญญาซื้อขายไม่สมบูรณ์เพราะมิได้ปิดอากรแสตมป์ จึงเป็นข้ออ้างที่ไม่ถูกต้อง
ที่พิพาทเป็นที่ดินมือเปล่ายังไม่มีหนังสือรับรองการทำประโยชน์การซื้อขายจึงไม่อาจกระทำโดยการทำเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ได้ฉะนั้น การซื้อขายที่ดินที่พิพาทตามเอกสารหมาย จ.1 จึงมีผลสมบูรณ์ที่จะให้ผู้ขายส่งมอบที่ดินที่ครอบครองให้แก่ผู้ซื้อตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1378 แล้วสัญญาซื้อขายเอกสารหมาย จ.1 จึงสมบูรณ์ตามกฎหมาย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 395/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิในการสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อต่อสู้ว่าสัญญากู้ยืมไม่สมบูรณ์ เนื่องจากจำนวนเงินในสัญญาไม่ตรงกับเงินที่ได้รับจริง
จำเลยให้การว่า จำนวนเงินตามสัญญากู้ยืมที่โจทก์นำมาฟ้องจำนวน 32,000 บาทนั้น จำเลยได้รับไปเพียง 4,000 บาท เท่านั้นโดยเอาหนี้เก่ามาผนวกกับหนี้ใหม่แล้วเพิ่มจำนวนเงินเป็นแปดเท่า เป็นการต่อสู้ว่าสัญญานั้นไม่สมบูรณ์ จำเลยมีสิทธินำพยานบุคคลมาสืบได้ตามนัยแห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 วรรคท้าย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2518 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการเป็นผู้จัดการมรดก: ผู้ไม่มีส่วนได้เสียยื่นคำร้องมิได้ แม้มีสัญญาประนีประนอมยอมความ
ผู้ร้องมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของผู้ตาย และมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดก เพียงแต่ทายาททั้งหลายพร้อมใจกันทำสัญญประนีประนอมยอมความกำหนดให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตาย ดังนี้ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียอันจะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามประมวล กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1713 และจะถือว่าทายาทโดยธรรมทั้งหมดเป็นผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเอง ให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายไม่ได้ เพราะตามเนื้อความแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้มอบอำนาจให้ผู้ร้องร้องขอแทนทายาท เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะร้องขอเช่นนี้ จึงใช้สิทธิทางศาลตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 387/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สิทธิการร้องขอตั้งผู้จัดการมรดก: ผู้มิได้มีส่วนได้เสียย่อมไม่มีสิทธิ
ผู้ร้องมิได้เป็นผู้มีสิทธิได้รับทรัพย์มรดกของผู้ตาย และมิได้เป็นผู้มีส่วนได้เสียในกองมรดกเพียงแต่ทายาททั้งหลายพร้อมใจกันทำสัญญาประนีประนอมยอมความกำหนดให้ผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายดังนี้ ถือไม่ได้ว่าผู้ร้องมีส่วนได้เสียอันจะพึงมีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลตั้งผู้จัดการมรดกของผู้ตายตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา1713และจะถือว่าทายาทโดยธรรมทั้งหมดเป็นผู้ยื่นคำร้องขอต่อศาลเอง ให้ตั้งผู้ร้องเป็นผู้จัดการมรดกของผู้ตายก็ไม่ได้ เพราะตามเนื้อความแห่งสัญญาประนีประนอมยอมความดังกล่าวมิได้มอบอำนาจให้ผู้ร้องร้องขอแทนทายาท เมื่อผู้ร้องไม่มีสิทธิตามกฎหมายที่จะร้องขอเช่นนี้ จึงใช้สิทธิทางศาลตามมาตรา 55 แห่งประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งหาได้ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 365-367/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อตกลงการใช้ถนนส่วนบุคคลเป็นสาธารณะ: สิทธิในการสัญจรและการคุ้มครองข้อตกลง
ฟ้องโจทก์อ้างว่าจำเลยทั้งสองได้ติดต่อขอทำถนนผ่านที่ดินของโจทก์ เพื่อทำเป็นถนนสาธารณะ และเมื่อได้ทำถนนแล้วก็ยอมให้บุคคลทั่วไปใช้ถนนในลักษณะถนนสาธารณะได้ แต่ต่อมาจำเลยได้ขุดถนนกั้นปิดถนนนั้นเสียฟ้องของโจทก์ดังนี้แสดงอยู่ในตัวว่าสิทธิของโจทก์ที่เกิดขึ้นจากข้อตกลงกับจำเลยได้ถูกจำเลยโต้แย้ง คือไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงนั้นโจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
จำเลยตกลงกับโจทก์ว่า เมื่อจำเลยทำถนนผ่านที่ดินโจทก์แล้วจะให้เป็นทางสาธารณะเพื่อให้ประชาชนได้ใช้ถนนโดยสะดวกอย่างถนนสาธารณะเช่นนี้ ศาลพิพากษาห้ามจำเลยมิให้ปิดกั้น ขุด หรือขัดขวางในการที่โจทก์และประชาชนในถิ่นนั้นจะใช้ถนนสายนั้นสัญจรไปมาได้อย่างสะดวกตามที่ตกลงไว้กับโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 222/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การปฏิเสธความถูกต้องของหนังสือมอบอำนาจและการนำสืบพยาน
คำให้การว่าโจทก์มอบอำนาจให้ฟ้องตามใบมอบอำนาจจริงหรือไม่จำเลยไม่ทราบไม่รับรอง หนังสือมอบอำนาจไม่สมบูรณ์ ดังนี้เป็นแต่เพียงจำเลยปฏิเสธข้ออ้างของโจทก์ แต่ไม่ได้แสดงเหตุแห่งการปฏิเสธจึงไม่มีสิทธินำสืบพยานถึงเหตุแห่งการปฏิเสธนั้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 161/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็ค: เริ่มนับจากวันออกเช็ค ไม่ใช่วันธนาคารไม่จ่ายเงิน
อายุความฟ้องผู้สั่งจ่ายเช็คมีกำหนด 1 ปี ตามมาตรา1002 นับตั้งแต่วันออกเช็ค ซึ่งเป็นวันที่ตั๋วเงินถึงกำหนดต้องจ่ายเงิน มิใช่วันที่ผู้ทรงยื่นเช็คต่อธนาคารแล้วธนาคารไม่จ่ายเงิน

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 98/2518

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความผิด พ.ร.บ.ป้องกันการค้ากำไรเกินควร: ไม่แจ้งปริมาณน้ำตาลทราย, จำคุกปรับ, เหตุผลรอการลงโทษไม่สมควร
มีน้ำตาลทรายขาว 30 กระสอบไม่แจ้งปริมาณ ผิด พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควร ศาลจำคุก 3 เดือน ปรับ 1,000 บาทเหตุที่อ้างว่ามิได้นำไปต่างประเทศ มิใช่เหตุอันสมควรรอการลงโทษ
ค่านำจับกรณีความผิดต่อ พระราชบัญญัติป้องกันการค้ากำไรเกินควรบัญญัติการจ่ายค่านำจับไว้ต่างกับ พระราชบัญญัติให้บำเหน็จในการปราบปรามผู้กระทำความผิด 2499 จึงอนุโลมมาให้อัยการร้องขอต่อศาลให้จ่ายค่านำจับด้วยไม่ได้ ข้อนี้ศาลยกขึ้นวินิจฉัยได้โดยจำเลยมิได้อุทธรณ์ขึ้นมา
of 34