คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับผู้พิพากษา
บัญญัติ สุชีวะ

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 340 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การกระทำที่แสดงเจตนาทุจริตหลอกลวงผู้อื่นให้ส่งมอบทรัพย์สินแก่ตน เข้าข่ายความผิดฐานฉ้อโกง ไม่ใช่ลักทรัพย์
โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยฐานลักทรัพย์ ได้ความว่าจำเลยมาเอารถจักรยาน 2 ล้อ ของผู้เสียหายซึ่งฝากไว้กับนายจันทร์ อ้างว่าจะเอาไปให้ผู้เสียหาย นายจันทร์เห็นว่าจำเลยกับผู้เสียหายเป็นเพื่อนกันและมาฝากรถด้วยกันจึงมอบให้ไป แล้วจำเลยนำไปเป็นประโยชน์ของตน หาได้นำไปคืนให้ผู้เสียหายไม่ เห็นได้ว่าจำเลยมีเจตนาทุจริตมาแต่แรกแล้วหลอกลวงให้นายจันทร์หลงเชื่อด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จจนได้รถคันนั้นไปจากนายจันทร์ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 341 ไม่ใช่ความผิดฐานลักทรัพย์ เมื่อข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงที่กล่าวในฟ้อง ศาลก็ต้องยกฟ้องตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 192 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: การรื้อถอนสิ่งกีดขวางทางออกของที่ดินที่ถูกล้อมรอบ และการพิพากษาชอบด้วยฟ้อง
ตามฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองใช้ไม้กระดานและสังกะสีปิดกั้นทาง ขุดถนนเป็นหลุมและปลูกต้นกล้วยโจทก์ทั้งสองกับบริวารไม่สามารถใช้ทางผ่านเข้าออกและไม่มีทางอื่นที่จะให้โจทก์ผ่านออกไปได้อีกด้วย โดยที่ดินของโจทก์ถูกล้อมไว้รอบ โจทก์จำเป็นต้องตัดรั้วลวดหนามใช้บันไดปีนรั้วสังกะสีด้านหลัง ขออนุญาตชั่วคราวผ่านบ้านของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกได้เฉพาะเวลากลางวันจากถ้อยคำในฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า บ้านและที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่น ๆ ล้อมไว้รอบไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ คงมีทางออกอยู่ทางเดียวที่จำเลยปิดกั้นเสีย ทางพิพาทจึงเข้าลักษณะทางจำเป็น ศาลชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 922/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ทางจำเป็น: ศาลพิพากษาให้เปิดทางได้หากที่ดินถูกล้อมรอบและไม่มีทางออกอื่น แม้คำขอท้ายฟ้องขอเพียงรื้อถอนสิ่งกีดขวาง
ตามฟ้องมีข้อความตอนหนึ่งว่า จำเลยทั้งสองใช้ไม้กระดานและสังกะสีปิดกั้นทาง ขุดถนนเป็นหลุมและปลูกต้นกล้วย โจทก์ทั้งสองกับบริวารไม่สามารถใช้ทางผ่านเข้าออกและไม่มีทางอื่นที่จะให้โจทก์ผ่านออกไปได้อีกด้วย โดยที่ดินของโจทก์ถูกล้อมไว้รอบ โจทก์จะเป็นต้องตัดรั้วลวดหนามใช้บันไดปีนรั้วสังกะสีด้านหลัง ขออนุญาตชั่วคราวผ่านบ้านของผู้อื่นเป็นทางเข้าออกได้เฉพาะเวลากลางวัน จากถ้อยคำในฟ้องดังกล่าวแสดงให้เห็นชัดอยู่แล้วว่า บ้านและที่ดินของโจทก์ถูกที่ดินแปลงอื่นๆ ล้อมไว้รอบไม่มีทางออกถึงทางสาธารณะได้ คงมีทางออกอยู่ทางเดียวที่จำเลยปิดกั้นเสีย ทางพิพาทจึงเข้าลักษณะทางจำเป็น ศาลชอบที่จะพิพากษาให้จำเลยเปิดทางจำเป็นได้ ไม่เกินคำขอ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อแตกต่างรายละเอียดในฟ้องกับข้อเท็จจริงที่พิสูจน์ได้ ศาลลงโทษตามข้อเท็จจริงได้
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มือชกทำร้ายผู้เสียหายถูกที่ขอบตาขวาถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยชกต้นคอผู้เสียหายไม่ถึงบาดเจ็บและใช้สันขวานตีถูกที่ขอบตาขวาของผู้เสียหายถึงบาดเจ็บดังนี้เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดที่โจทก์ต้องกล่าวบรรยายในฟ้องอันเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสารสำคัญและจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยให้การปฏิเสธศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 917/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความแตกต่างของรายละเอียดการทำร้ายในฟ้อง กับข้อเท็จจริงที่ได้จากการพิจารณา ไม่ทำให้ศาลยกฟ้อง
โจทก์ฟ้องว่าจำเลยใช้มือชกทำร้ายผู้เสียหายถูกที่ขอบตาขวาถึงบาดเจ็บ ทางพิจารณาได้ความว่า จำเลยชกต้นคอผู้เสียหายไม่ถึงบาดเจ็บ และใช้สันขวานตีถูกที่ขอบตาของผู้เสียหายถึงบาดเจ็บ ดังนี้ เป็นเพียงข้อแตกต่างในรายละเอียดที่โจทก์ต้องกล่าวบรรยายในฟ้อง อันเป็นข้อแตกต่างมิใช่ในข้อสารสำคัญ และจำเลยมิได้หลงข้อต่อสู้เพราะจำเลยให้การปฏิเสธ ศาลย่อมลงโทษจำเลยตามข้อเท็จจริงที่ได้ความได้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำพิพากษาศาลทหารในคดีแพ่ง: ศาลพลเรือนต้องถือตามข้อเท็จจริงที่ศาลทหารวินิจฉัย
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่งศาลพลเรือนจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ.2498 มาตรา 54 เมื่อศาลทหารพิพากษาชี้ขาดข้อเท็จจริงแล้วว่าพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ว่าประมาทข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ผู้เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาของศาลทหารการที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งใหม่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้โจทก์เสียหาย ศาลจะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบหาได้ไม่ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าวเมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย(อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2685/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อผูกพันคำพิพากษาคดีอาญาต่อคดีแพ่ง: ศาลพลเรือนต้องถือข้อเท็จจริงจากคำพิพากษาศาลทหาร
ในการพิพากษาคดีส่วนแพ่ง ศาลพลเรือนจำต้องถือข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาของศาลทหาร ตามพระราชบัญญัติธรรมนูญศาลทหาร พ.ศ. 2498 มาตรา 54 เมื่อศาลทหารพิพากษาชี้ขาดข้อเท็จจริงแล้วว่าพยานโจทก์ไม่พอฟังลงโทษจำเลยที่ 1 ว่าประมาท ข้อเท็จจริงดังกล่าวย่อมผูกพันโจทก์ผู้เป็นผู้เสียหายในคดีอาญาของศาลทหาร การที่โจทก์นำสืบข้อเท็จจริงในคดีส่วนแพ่งใหม่ว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้โจทก์เสียหาย ศาลจะรับฟังตามที่โจทก์นำสืบหาได้ไม่ เพราะขัดกับข้อเท็จจริงที่ปรากฏในคำพิพากษาคดีอาญาดังกล่าว เมื่อข้อเท็จจริงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 1 ประมาททำให้โจทก์เสียหาย จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นนายจ้างของจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับผิดต่อโจทก์ด้วย (อ้างคำพิพากษาฎีกาที่ 2985/2518)

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เจตนาฆ่าแต่ทำไม่สำเร็จ วัตถุระเบิดมีกำลังอ่อน ศาลลดโทษจากพยายามฆ่าเป็นทำร้ายร่างกาย
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ความพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 38, 74 ให้จำคุก 2 ปี กระทงหนึ่ง และมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้จำคุก 10 ปี อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะความผิดฐานพยายามฆ่า เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 81 ให้จำคุก 4 ปี ดังนี้ ข้อหาฐานมีวัตถุระเบิดฯ ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนข้อหาฐานพยายามฆ่านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าลูกระเบิดที่จำเลยขว้างผู้เสียหายนั้นเป็นลูกระเบิดชนิดร้ายแรงเพียงใดหรือไม่ แต่ปรากฏบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับทั้งๆ ที่ผู้เสียหายอยู่ตรงจุดระเบิดนั้นเองว่า มีบาดแผลเพียง 4 แห่ง คือ 1.บริเวณกกหูขวา หูขวา และใบหน้าแถบขวา แผลจุดแดงเล็กๆ ทั่วบริเวณและผิดหนังแดงพอง 2.บริเวณคอแถบขวาแผลขาว 1.5 เซนติเมตร 2 แห่ง รอบแผลบวมแดง 3.สะบักขวาผิดหนังขาดกว้าง 4 เซนติเมตร ยาว 4 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร รอบแผลบวมมาก และบริเวณเดียวกันมีแผลยาว 2 เซนติเมตร 3 แห่ง รอบๆ แผลมีจุดแดงๆ เล็ก ทั่วไป ผิวหนังพอง 4. เนื้อไหม้เป็นวงขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 นิ้วฟุต ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 1 คืน รุ่งขึ้นแพทย์ก็ให้กลับบ้านได้ เพียงแต่ให้ไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลอีกเท่านั้น ดังนี้ แสดงว่าวัตถุระเบิดนั้นมีกำลังอ่อน ไม่อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288, 81 หาใช่มาตรา 288, 80 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 908/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ พยายามฆ่าด้วยวัตถุระเบิดกำลังอ่อน ศาลอุทธรณ์แก้ไขโทษจาก 80 เป็น 81 จำเลยฎีกาได้
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยมีความผิดฐานมีวัตถุระเบิดไว้ในความครอบครองโดยมิได้รับอนุญาต ตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ พ.ศ. 2490 มาตรา 38,74 ให้จำคุก 2 ปี กระทงหนึ่ง และมีความผิดฐานพยายามฆ่า ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 80 ให้จำคุก 10 ปี อีกกระทงหนึ่ง ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เฉพาะความผิดฐานพยายามฆ่า เป็นว่า จำเลยมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288 ประกอบด้วยมาตรา 81 ให้จำคุก 4 ปี ดังนี้ ข้อหาฐานมีวัตถุระเบิดฯ ต้องห้ามมิให้ฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 ส่วนข้อหาฐานพยายามฆ่านั้น ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้ไขมาก จำเลยจึงฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงได้
ข้อเท็จจริงไม่ได้ความว่าลูกระเบิดที่จำเลยขว้างผู้เสียหายนั้นเป็นลูกระเบิดชนิดรา้ยแรงเพียงใดหรือไม่ แต่ปรากฏบาดแผลที่ผู้เสียหายได้รับทั้ง ๆ ที่ผู้เสียหายอยู่ตรงจุดระเบิดนั้นเองว่า มีบาดแผลเพียง 4 แห่งคือ 1. บริเวณกกหูขวา หูขวา และใบหน้าแถบขวา แผลจุดแดงเล็ก ๆ ทั่วบริเวณและผิวหนังแดงพอง 2. บริเวณคอแถบขวาแผลยาว 1.5 เซนติเมตร2 แห่ง รอบแผลบวมแดง 3. สะบักขวาผิวหนังขาดกว้าง 4 เซนติเมตร ยวา 4 เซนติเมตร ลึก 0.5 เซนติเมตร รอบแผลบวมมาก และบริเวณเดียวกันมีแผลยาว 2 เซนติเมตร 3 แห่ง รอบ ๆ แผลมีจุดแดง ๆ เล็ก ๆ ทั่วไป ผิวหนังพอง 4. เนื้อไหม้เป็นวงขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 2 นิ้วฟุต ผู้เสียหายรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล 1 คืน รุ่งขึ้นแพทย์ก็ให้กลับบ้านได้ เพียงแต่ให้ไปรักษาบาดแผลที่โรงพยาบาลอีกเท่านั้น ดังนี้ แสดงว่าวัตถุระเบิดนั้นมีกำลังอ่อน ไม่อาจทำให้ผู้เสียหายถึงแก่ความตายได้ แม้จำเลยมีเจตนาฆ่า แต่การกระทำของจำเลยไม่สามารถบรรลุผลได้อย่างแน่แท้ เพราะเหตุปัจจัยซึ่งใช้ในการกระทำผิด การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 288,81หาใช่มาตรา 288,80 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 904/2520

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อำนาจการต่ออายุใบอนุญาตโรงงานแปรรูปไม้และการพิจารณาตามอำนาจ
จำเลยไม่ต่ออายุใบอนุญาตตั้งโรงงานแปรรูปไม้ให้โจทก์ได้ตามอำนาจหน้าที่ตาม พระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ.2484 มาตรา 58 ฉบับที่ 5พ.ศ.2518 มาตรา 23 โดยพิจารณาเห็นสมควรเช่นนั้นไม่จำต้องสั่งพักใบอนุญาตก่อน
of 34