พบผลลัพธ์ทั้งหมด 340 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 743/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ผลกระทบของ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ ฉบับแก้ไขต่อคดีอาญา: การยกฟ้องจากเหตุขออนุญาตภายในเก้าสิบวัน
ศาลชั้นต้นพิพากษาว่าจำเลยที่ 1 และที่ 2 มีความผิดฐานปล้นทรัพย์และร่วมกันมีอาวุธปืนฯ ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้ยกฟ้องในข้อหาปล้นทรัพย์ และยกฟ้องโจทก์เฉพาะจำเลยที่ 1 ในข้อหามีอาวุธปืนฯ โจทก์ฎีกาขอให้ลงโทษจำเลยทั้งสองตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้ฎีการะหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 ออกมาใช้บังคับ ซึ่งมาตรา 3 บัญญัติความว่า ผู้มีอาวุธปืนฯซึ่งยังไม่ได้รับอนุญาตถ้าได้นำมาขอรับอนุญาตภายในกำหนดเก้าสิบวันผู้นั้นไม่ต้องรับโทษ ฉะนั้นจำเลยที่ 1 จึงไม่ต้องรับโทษ
แม้ข้อหาฐานมีอาวุธปืนฯ สำหรับจำเลยที่ 2 จะยุติในชั้นอุทธรณ์แล้วก็ตาม แต่คดีของจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่ถึงที่สุด จึงต้องนำพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 3 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานนี้เช่นกัน
แม้ข้อหาฐานมีอาวุธปืนฯ สำหรับจำเลยที่ 2 จะยุติในชั้นอุทธรณ์แล้วก็ตาม แต่คดีของจำเลยที่ 2 ก็ยังไม่ถึงที่สุด จึงต้องนำพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 มาตรา 3 มาใช้บังคับแก่จำเลยที่ 2 ด้วยตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 จำเลยที่ 2 จึงไม่ต้องรับโทษในความผิดฐานนี้เช่นกัน
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กฎหมายยกเว้นโทษอาวุธปืนใหม่มีผลย้อนหลัง ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้อง แม้จำเลยไม่ได้ฎีกา
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯโจทก์ฎีกา ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ.2518 ออกใช้บังคับพระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้พระราชบัญญัตินี้มาปรับแก่คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาขึ้นมา เมื่อคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา และมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 724/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การใช้กฎหมายใหม่ที่มีผลเป็นคุณแก่จำเลยในคดีอาญา แม้จำเลยมิได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกฟ้องได้
ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ลงโทษจำเลยตามพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ โจทก์ฎีกา ระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา ได้มีพระราชบัญญัติอาวุธปืนฯ (ฉบับที่ 6) พ.ศ. 2518 ออกใช้บังคับ พระราชบัญญัติดังกล่าวเป็นคุณแก่จำเลย จึงต้องใช้พระราชบัญญัตินี้มาปรับแก่คดีตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 3 วรรคแรก แม้จำเลยไม่ได้ฎีกาขึ้นมา เมื่อคดียังอยู่ในระหว่างพิจารณาของศาลฎีกา และมีเหตุตามกฎหมายที่จำเลยไม่ต้องรับโทษ ศาลฎีกาก็มีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยยกฟ้องโจทก์ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 715/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
พยานหลักฐานจากสายตำรวจ: การรับฟังคำให้การของผู้ที่ไม่ใช่ผู้ต้องหา
คำของผู้ซึ่งมิใช่ผู้ต้องหา แต่เป็นสายให้กับตำรวจฟังเป็นพยานได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 610/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การฟ้องเรียกเงินตามเช็ค ผู้สั่งจ่ายไม่ต้องรับผิดหากผู้ทรงไม่นำเช็คไปขึ้นเงิน
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 และ 959 ผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดใช้เงินแก่ผู้ทรงก็ต่อเมื่อได้มีการนำเช็คนั้นไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์มิได้นำเช็คพิพาทไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน และธนาคารก็ยังมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงจะนำคดีมาฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้รับผิดชำระเงินตามเช็คนั้นทีเดียวมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 610/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เช็ค: สิทธิผู้ทรงเช็คต้องรอให้ธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินก่อน จึงจะฟ้องผู้สั่งจ่ายได้
ตามบทบัญญัติประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 914 และ 959 ผู้สั่งจ่ายเช็คจะต้องรับผิดใช้เงินแก่ผู้ทรงก็ต่อเมื่อได้มีการนำเช็คนั้นไปยื่นแก่ธนาคารเพื่อให้ใช้เงินแล้วธนาคารปฏิเสธการจ่ายเงินเสียก่อน เมื่อข้อเท็จจริงตามคำบรรยายฟ้องของโจทก์ฟังได้ว่าโจทก์มิได้นำเช็คพิพาทไปยื่นต่อธนาคารเพื่อให้ใช้เงิน และธนาคารก็ยังมิได้ปฏิเสธการจ่ายเงิน โจทก์จึงจะนำคดีมาฟ้องจำเลยผู้สั่งจ่ายให้รับผิดชำระเงินตามเช็คนั้นทีเดียวมิได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 548/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ขอบเขตการฟ้องขับไล่จำกัดเฉพาะพื้นที่ที่เสียค่าขึ้นศาล แม้พิพากษาว่าที่ดินส่วนอื่นเป็นของโจทก์
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่ดินหมาย ค.ในแผนที่พิพาทเนื้อที่ประมาณ 5 ไร่ และเสียค่าขึ้นศาลมาเฉพาะที่ดินส่วนนี้เท่านั้น จำเลยได้ฟ้องแย้งว่าที่ดินที่โจทก์อ้างว่าเป็นของโจทก์ทั้งหมดเป็นของจำเลยก็ตาม แต่โจทก์ก็เพียงแต่ให้การแก้ฟ้องแย้งว่า ที่ดินที่จำเลยฟ้องแย้งเป็นของโจทก์เท่านั้น มิได้เสียค่าขึ้นศาลและขอให้ขับไล่จำเลยในที่ดินนอกจากหมาย ค.ด้วย แม้ทางพิจารณาได้ความว่าที่พิพาททั้งหมดเป็นของโจทก์ก็ตามศาลก็ต้องพิพากษาให้ขับไล่จำเลยออกไปจากที่พิพาทได้เฉพาะหมาย ค. เนื้อที่ประมาณ 5 ไร่เท่านั้น
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยคำพูด: การบรรยายฟ้องต้องระบุถ้อยคำที่จำเลยกล่าวโดยตรง มิใช่การสรุปความหมาย
การบรรยายฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยได้บังอาจกล่าววาจาใส่ความผู้เสียหายต่อบุคคลที่ 3 ว่าผู้เสียหายเป็นเมียน้อยของ ผ. ซึ่งความจริงผู้เสียหายมิได้เป็นเมียน้อยของ ผ. แต่อย่างใดนั้น เป็นการบรรยายถึงการกระทำของจำเลยโดยกล่าวว่าผู้เสียหายเป็นเมียน้อยของ ผ. หาใช่โจทก์กล่าวสรุปวาจาหรือคำพูดของจำเลยเอาเองให้หมายความเช่นนั้นไม่ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ว่าจำเลยหมิ่นประมาทผู้เสียหายโดยพูดว่าผู้เสียหายเป็นเมียน้อย ผ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 472/2520 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การหมิ่นประมาทด้วยคำพูด: การบรรยายฟ้องต้องระบุข้อความที่จำเลยกล่าวโดยตรง ไม่ใช่การสรุปความหมาย
การบรรยายฟ้องของโจทก์ว่า จำเลยได้บังอาจกล่าววาจาใส่ความผู้เสียหายต่อบุคคลที่ 3 ว่าผู้เสียหายเป็นเมียน้อยของ ผ. ซึ่งความจริงผู้เสียหายมิได้เป็นเมียน้อยของ ผ.แต่อย่างใดนั้น เป็นการบรรยายถึงการกระทำของจำเลยโดยกล่าวว่าผู้เสียหายเป็นเมียน้อยของ ผ.หาใช่โจทก์กล่าวสรุปวาจาหรือคำพูดของจำเลยเอาเองให้หมายความเช่นนั้นไม่ ฟ้องโจทก์จึงสมบูรณ์ว่าจำเลยหมิ่นประมาทผู้เสียหายโดยพูดว่าผู้เสียหายเป็นเมียน้อย ผ.
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 398/2520
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
กรรมเดียวหรือหลายกรรมต่างกัน: การพิจารณาเจตนาและผลของการกระทำความผิด
ในการพิจารณาว่าการกระทำเป็นกรรมเดียว หรือหลายกรรมต่างกันนั้นมิใช่พิจารณาแต่เพียงถ้าเป็นการกระทำครั้งเดียวคราวเดียวแล้วจะต้องเป็นกรรมเดียวเสมอไปการกระทำครั้งเดียว คราวเดียวอาจเป็นหลายกรรมต่างกันได้ หากผู้กระทำมีเจตนาหลายเจตนาที่จะให้เกิดผลต่างกรรมกันหรือมีเจตนาอย่างเดียวกันแต่ประสงค์ให้เกิดผลเป็นความผิดหลายฐานต่างกัน การที่จำเลยพาเด็กหญิง ย. ไปเพื่อการอนาจารและพรากเด็กหญิง ย. ไปเสียจากบิดามารดา ซึ่งได้กระทำในคราวเดียวกันนั้น ถือได้ว่าจำเลยมีเจตนากระทำความผิดให้เกิดผลเป็นกรรมในความผิดต่างฐานต่างหากจากกันหาใช่กรรมเดียวไม่ (อ้างฎีกาที่ 340/2512 และฎีกาที่1215/2518)
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรามีกำหนด6 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดามีกำหนด 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกในฐานแรก 2 ปี และในความผิดฐานหลัง 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การฎีกาโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกจำเลยฐานข่มขืนกระทำชำเรามีกำหนด6 ปี และฐานพรากเด็กอายุไม่เกิน 13 ปี ไปเสียจากบิดามารดามีกำหนด 3 ปี แต่ศาลอุทธรณ์พิพากษาแก้เป็นให้จำคุกในฐานแรก 2 ปี และในความผิดฐานหลัง 2 ปี จึงเป็นการแก้ไขเล็กน้อยต้องห้ามมิให้คู่ความฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริงดังที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 218 การฎีกาโต้แย้งเรื่องดุลพินิจในการกำหนดโทษเป็นฎีกาปัญหาข้อเท็จจริงฎีกาของโจทก์จึงต้องห้าม ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้