พบผลลัพธ์ทั้งหมด 700 รายการ
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลและการถือเป็นคนอนาถา หากศาลอุทธรณ์ยืนตามศาลชั้นต้น ถือเป็นคำสั่งสุดท้าย
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องเพราะถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาให้ ศาลไต่สวนให้ได้ความว่าเป็นคนอนาถา เมื่อจำเลยอุทธรณ์ก็ได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด 7 วัน และเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์คำสั่งโดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 156 วรรคท้าย นั้น ต้องหมายความว่าศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนอนาถา และจำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งภายใน 7 วัน
คู่ความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
คู่ความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นเช่นนี้คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 236 คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 635/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การอุทธรณ์คำสั่งศาลที่ไม่รับคำร้องอนาถา: กำหนดเวลา 7 วัน และคำสั่งสุดท้ายของศาลอุทธรณ์
ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้ยกคำร้องเพราะถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาให้ศาลไต่สวนให้ได้ความว่าเป็นคนอนาถา เมื่อจำเลยอุทธรณ์ก็ได้มีคำสั่งไม่รับอุทธรณ์ของจำเลยเพราะยื่นเกินกำหนด 7 วัน และเมื่อจำเลยอุทธรณ์คำสั่ง การที่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำสั่งของศาลขั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์คำสั่งโดยอ้างประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 156 วรรคท้าย นั้น ต้องหมายความว่าศาลอุทธรณ์เห็นพ้องด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ถือว่าจำเลยไม่มีพยานมาสืบ จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยเป็นคนอนาถา และจำเลยต้องอุทธรณ์คำสั่งภายใน 7 วัน
คู่ความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นเช่นนี้ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควมแพ่ง มาตรา 236 คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
คู่ความยื่นคำร้องอุทธรณ์คำสั่งศาลชั้นต้นที่ปฏิเสธไม่รับอุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งยืนตามคำปฏิเสธของศาลชั้นต้นเช่นนี้ คำสั่งของศาลอุทธรณ์ย่อมเป็นที่สุดตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาควมแพ่ง มาตรา 236 คู่ความจะฎีกาต่อไปอีกไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 581/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
เรือนบนที่ดินเป็นส่วนควบ หากต้องการแยกกรรมสิทธิ์ต้องจดทะเบียนสิทธิเหนือพื้นดินตามมาตรา 1410
เรือนปลูกในที่ดินเป็นส่วนควบของที่ดิน ถ้าจะแยกกรรมสิทธิ์ในเรือนต้องจดทะเบียนก่อตั้งสิทธิเหนือพื้นดินตามมาตรา 1410 จะร้องขัดทรัพย์อ้างว่าเพื่อรื้อไปไม่ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความเช็ค: ศาลต้องวินิจฉัยตามประเด็นที่คู่ความตกลง หากโจทก์ไม่สืบพยาน ศาลไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงที่ไม่ยุติมาวินิจฉัย
การที่คู่ความแถลงต่อศาลขอต่อสู้เฉพาะประเด็นเรื่องอายุความไม่ติดใจประเด็นอื่น โดยโจทก์แถลงว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 คดีจึงไม่ขาดอายุความ ส่วนจำเลยว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1002 และต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจสืบพยานนั้น เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า ตามฟ้องและคำให้การรูปเรื่องยังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รับคืนเช็คพิพาทมาอย่างไรอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 ได้ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบข้อนี้ ให้ปรากฏเมื่อโจทก์ไม่ติดใจนำสืบก็ไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งยังไม่ยุติมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง และเมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วก็ไม่มีเหตุใด ๆ ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 545/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
อายุความฟ้องเรียกเงินตามเช็ค: การไม่นำสืบพยานทำให้สิทธิขาดอายุความ
การที่คู่ความแถลงต่อศาลขอต่อสู้เฉพาะประเด็นเรื่องอายุความ ไม่ติดใจประเด็นอื่น โดยโจทก์แถลงว่า โจทก์ฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 คดีจึงไม่ขาอายุความ ส่วนจำเลยว่าโจทก์ฟ้องคดีเกิน 1 ปี คดีจึงขาดอายุความตามประมวลกฎหมายแห่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 และต่างฝ่ายต่างไม่ติดใจสืบพยานนั้น เมื่อความปรากฏต่อศาลว่า ตามฟ้องและคำให้การรูปเรื่องยังไม่พอฟังว่าโจทก์ได้รับคืนเช็คพิพาทมาอย่างไรอันจะทำให้โจทก์มีสิทธิฟ้องเรียกเงินตามเช็คจากจำเลยตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1003 ได้ ซึ่งโจทก์จะต้องนำสืบข้อนี้ให้ปรากฏเมื่อโจทก์ไม่ติดใจนำสืบก็ไม่อาจหยิบยกข้อเท็จจริงซึ่งยังไม่ยุติมาเป็นข้อวินิจฉัยได้ ศาลจึงต้องพิพากษายกฟ้อง และเมื่อโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยานเสียแล้วก็ไม่มีเหตุใด ๆ ที่ศาลฎีกาจะย้อนสำนวนไปให้ศาลชั้นต้นดำเนินกระบวนพิจารณาใหม่อีก
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 468/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สิทธิเหนือพื้นดินไม่สมบูรณ์แต่มีผลผูกพันได้หากมีข้อตกลงระหว่างคู่สัญญา
จำเลยถมดินให้โจทก์ โจทก์ให้จำเลยปลูกเรือนอยู่ในที่ดินแม้เป็นสิทธิเหนือพื้นดินไม่บริบูรณ์โดยไม่จดทะเบียน ก็เป็นบุคคลสิทธิผูกพันระหว่างกันเองได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ประมาทในการขับรถบนถนนลูกรัง: จำเลยต้องหลีกทางให้รถสวนมา แม้มีมารยาทหลีกให้รถหนัก
คำว่า "แซง" หมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียด ตามคำฟ้องกล่าวว่าในขณะที่รถยนต์โจทก์และจำเลยที่ 1 จะสวนกัน จำเลยที่ 1 หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของรถโจทก์ พุ่งเข้าชนรถโจทก์แต่นำสืบว่าโจทก์ขับตามหลังรถคันหนึ่งมาเมื่อรถคันนั้นหลีกทางให้รถจำเลยที่ 1 โดยขับเข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างกองดินลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ผ่านรถคันนั้นไปก็เข้าชนรถโจทก์ ไม่เป็นการแตกต่างกันหรือนอกประเด็นเพียงแต่ใช้ถ้อยคำไม่รัดกุม
การเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้ายทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่พึงใช้ความระมัดระวัง เมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน และเมื่อถนนมีฝุ่นลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งเดินอยู่ในทางของรถโจทก์จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถโจทก์ที่สวนมา พอจำเลยที่ 1 ขับรถผ่อนรถคันหนึ่งซึ่งหลีกทางให้ก็ชนกับรถโจทก์เช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท
มารยาทในการขับรถที่ว่ารถเบาจะหลีกทางให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้นเป็นเพียงการอะลุ้มอะล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้น หาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่
การเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้ายทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่พึงใช้ความระมัดระวัง เมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน และเมื่อถนนมีฝุ่นลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งเดินอยู่ในทางของรถโจทก์จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถโจทก์ที่สวนมา พอจำเลยที่ 1 ขับรถผ่อนรถคันหนึ่งซึ่งหลีกทางให้ก็ชนกับรถโจทก์เช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท
มารยาทในการขับรถที่ว่ารถเบาจะหลีกทางให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้นเป็นเพียงการอะลุ้มอะล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้น หาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 427/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
ความประมาทในการขับรถบนถนนลูกรังที่มีสิ่งกีดขวาง จำเลยต้องหลีกทางให้รถสวนมา
คำว่า "แซง"หมายถึงกิริยาแทรกหรือเสียดตามคำฟ้องกล่าวว่าในขณะที่รถยนต์โจทก์และจำเลยที่ 1 จะสวนกัน จำเลยที่ 1 หักพวงมาลัยแซงรถยนต์อีกคันหนึ่งขึ้นมาในเส้นทางของรถโจทก์ พุ่งเข้าชนรถโจทก์ แต่นำสืบว่ารถโจทก์ขับตามหลังรถคันหนึ่งมาเมื่อรถคันนั้นหลีกทางให้รถจำเลยที่ 1 โดยขับเข้าไปหลบในช่องว่างระหว่างกองดินลูกรังรถจำเลยที่ 1 ผ่านรถคันนั้นไปก็เข้าชนรถโจทก์ ไม่เป็นการแตกต่างกันหรือนอกประเด็นเพียงแต่ใช้ถ้อยคำไม่รัดกุม
การเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้าย ทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่พึงใช้ความระมัดระวังเมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน และเมื่อถนนมีฝุ่นลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งเดินอยู่ในทางของรถโจทก์จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถโจทก์ที่สวนมา พอจำเลยที่ 1 ขับรถผ่านรถคันหนึ่งซึ่งหลีกทางให้ก็ชนกับรถโจทก์เช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท
มารยาทในการขับรถที่ว่ารถเบาจะหลีกทางให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้นเป็นเพียงการอะลุ้มอล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้นหาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่
การเดินรถจะต้องเดินทางด้านซ้ายของทาง และเมื่อรถเดินสวนทางกันจะต้องหลีกด้านซ้าย ทางเดินรถของจำเลยที่ 1 มีกองดินลูกรังขวางอยู่พึงใช้ความระมัดระวังเมื่อรถจำเลยที่ 1 เดินในทางของรถโจทก์จะต้องหลีกทางให้รถโจทก์ที่สวนมาผ่านไปก่อน และเมื่อถนนมีฝุ่นลูกรัง รถจำเลยที่ 1 ซึ่งเดินอยู่ในทางของรถโจทก์จะต้องใช้ความระมัดระวังให้เห็นรถข้างหน้าที่สวนมาเพื่อหลบหลีกได้ทัน การที่จำเลยที่ 1 ขับรถในทางเดินรถของโจทก์ด้วยความเร็วขณะถนนมีฝุ่นลูกรัง จึงไม่เห็นรถโจทก์ที่สวนมา พอจำเลยที่ 1 ขับรถผ่านรถคันหนึ่งซึ่งหลีกทางให้ก็ชนกับรถโจทก์เช่นนี้ ย่อมถือว่าจำเลยที่ 1 ขับรถโดยประมาท
มารยาทในการขับรถที่ว่ารถเบาจะหลีกทางให้รถหนักโดยไม่คำนึงถึงกฎจราจรนั้นเป็นเพียงการอะลุ้มอล่วยเอื้อเฟื้อต่อกันเท่านั้นหาใช่เป็นวิสัยและพฤติการณ์ของผู้ขับรถจะพึงปฏิบัติดังนั้นไม่
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2521 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
สัญญากู้ที่ไม่สมบูรณ์: จำเลยมีสิทธิสืบพยานเพื่อต่อสู้ได้
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินคืน จำเลยทั้งสองให้การใจความว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้จริง โดยโจทก์ตกลงซื้อไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 และได้วางมัดจำไว้ 50,000 บาท แต่โจทก์ขอให้จำเลยเขียนเป็นสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานการวางมัดจำ ครั้นเมื่อจำเลยส่งมอบไม่ให้โจทก์ตามสัญญา โจทก์กลับไม่ยอมตรวจรับไม้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกัน ตามคำให้การของจำเลยเท่ากับต่อสู้ว่าสัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องไม่สมบูรณ์ ซึ่งจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้
คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 418/2521
ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้
การต่อสู้ว่าสัญญากู้ไม่สมบูรณ์ จำเป็นต้องสืบพยานเพื่อพิสูจน์ข้อเท็จจริง
โจทก์ฟ้องจำเลยที่ 1 ในฐานะผู้กู้ จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันให้ชำระเงินคืน จำเลยทั้งสองให้การใจความว่าจำเลยที่ 1 ได้ทำสัญญากู้และจำเลยที่ 2 ได้ทำสัญญาค้ำประกันให้โจทก์ไว้จริงโดยโจทก์ตกลงซื้อไม้แปรรูปจากจำเลยที่ 1 และได้วางมัดจำไว้ 50,000 บาท แต่โจทก์ขอให้จำเลยเขียนเป็นสัญญากู้ให้โจทก์ยึดถือเป็นหลักฐานการวางมัดจำ ครั้นเมื่อจำเลยส่งมอบไม้ให้โจทก์ตามสัญญาโจทก์กลับไม่ยอมตรวจรับไม้ จึงเป็นฝ่ายผิดสัญญาไม่มีสิทธิเรียกร้องให้จำเลยรับผิดตามสัญญากู้และสัญญาค้ำประกันตามคำให้การของจำเลยเท่ากับต่อสู้ว่าสัญญากู้และค้ำประกันตามฟ้องไม่สมบูรณ์ซึ่งจำเลยมีสิทธินำสืบตามข้อต่อสู้ได้