คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3822/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเลิกกิจการของผู้ได้รับการส่งเสริมการลงทุน ผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ทางภาษีและการประเมินภาษี
แม้คดีนี้จำเลยจะขาดนัดยื่นคำให้การและขาดนัดพิจารณาแต่ศาลจะวินิจฉัยชี้ขาดให้โจทก์ที่มาศาลเป็นฝ่ายชนะคดีได้ก็ต่อเมื่อข้ออ้างของโจทก์มีมูลและไม่ขัดต่อกฎหมาย โดยศาลอาจสืบพยานตามที่เห็นจำเป็นเกี่ยวกับข้ออ้างของโจทก์ และจะยกขึ้นอ้างโดยลำพังซึ่งข้อกฎหมายอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนก็ได้ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 205 วรรคแรก ประกอบด้วยพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากรและวิธีพิจารณาคดีภาษีอากร พ.ศ.2528 มาตรา 17ดังนั้น เมื่อศาลภาษีอากรพิพากษาให้โจทก์ชนะคดี จำเลยย่อมอุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาศาลภาษีอากรว่าข้ออ้างของโจทก์ทั้งสองไม่มีมูลให้ชนะคดีได้ ตามพ.ร.บ.จัดตั้งศาลภาษีอากร ฯ มาตรา 24 ประกอบมาตรา 29
ปัญหาเรื่องฟ้องเคลือบคลุมเป็นประเด็นที่จำเลยจะต้องให้การไว้ คดีนี้จำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย
จำเลยที่ 1 ถูกยกเลิกบัตรส่งเสริมการลงทุน เพราะจำเลยที่ 1เลิกกิจการ มิใช่ถูกคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนสั่งเพิกถอนสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับตามบัตรส่งเสริมอันเนื่องมาจากจำเลยที่ 1 ได้ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามเงื่อนไขที่คณะกรรมการกำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมดังที่บัญญัติไว้ในมาตรา 54 แห่งพ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน พ.ศ.2522 ซึ่งจะทำให้ผู้ได้รับการส่งเสริมจะต้องเสียภาษีอากรโดยถือสภาพของของ ราคาและอัตราภาษีที่เป็นอยู่ในวันนำเข้าเป็นเกณฑ์ในการคำนวณภาษีอากร ตามมาตรา 55 วรรคแรก
ตาม พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ฯ มาตรา 56 วรรคหนึ่งได้บัญญัติเรื่องผู้ได้รับการส่งเสริมเลิกกิจการ รวมกิจการกับผู้อื่น หรือโอนกิจการให้แก่ผู้อื่น ให้บัตรส่งเสริมนั้นใช้ได้ต่อไปอีกไม่เกิน 3 เดือน นับแต่วันเลิก รวมหรือโอนกิจการ ส่วนวรรคสองเป็นเรื่องที่ผู้ซึ่งดำเนินกิจการที่ร่วมกันขึ้นใหม่ หรือโอนกิจการ ประสงค์จะขอรับช่วงดำเนินกิจการที่ได้รับการส่งเสริมตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในบัตรส่งเสริมต่อไป ก็ให้ยื่นคำขอรับการส่งเสริมภายในเวลาที่กำหนดไว้ในวรรคหนึ่ง ถ้าคณะกรรมการเห็นว่าไม่สมควรให้การส่งเสริม ก็ให้สั่งให้เพิกถอนสิทธิและประโยชน์ทั้งหมด ดังนี้ ย่อมเป็นที่เห็นได้ว่า ตามมาตรา 56 วรรคสองมิได้บัญญัติถึงเรื่องการเลิกกิจการ อันจะถือเท่ากับว่าสิทธิและประโยชน์ตามบัตรส่งเสริมถูกเพิกถอนแล้วไม่
ปัญหาเรื่องบัตรส่งเสริมถูกยกเลิกเพราะมีการเลิกกิจการสิทธิและประโยชน์ที่ผู้ได้รับการส่งเสริมเคยได้รับโดยเฉพาะเรื่องภาษีอากรนี้จะเรียกเก็บอย่างไร มิได้มีบัญญัติไว้ใน พ.ร.บ.ส่งเสริมการลงทุน ฯ จึงต้องบังคับตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 มาตรา 10 วรรคหนึ่ง ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.ก. (ฉบับที่ 45) พ.ศ.2528 มิใช่บังคับตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราภาษีศุลกากร พ.ศ.2530 เพราะจำเลยที่ 1 เลิกกิจการและสำนักงานส่งเสริมการลงทุน ประกาศยกเลิกบัตรส่งเสริมของจำเลยที่ 1 ก่อนที่ พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2530 จะมีผลใช้บังคับ
ตาม พ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 มาตรา 10วรรคหนึ่ง ของนำเข้าใดเคยได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากร ถ้าสิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนสิ้นสุดลง ของนั้นจะต้องเสียอากรโดยถือสภาพของของ ราคาและอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่สิทธิดังกล่าวสิ้นสุดลงเป็นเกณฑ์ในการคำนวณอากรโดยกำหนดเงื่อนไขให้ผู้ที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรต้องไปดำเนินการเพื่อชำระอากรตามที่กำหนดไว้ ส่วนในช่วงก่อนที่สิทธิที่ได้รับยกเว้นหรือลดหย่อนอากรจะสิ้นสุดลง ผู้นั้นก็ได้รับสิทธิและประโยชน์ต่อไป และน่ายังถือว่าเป็นสิทธิและประโยชน์ที่ได้รับไปแล้ว หากผู้นำของเข้าหมดสิทธิที่จะได้รับสิทธิและประโยชน์ต่อไปมิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้น คือ มิได้ดำเนินการเพื่อชำระอากรดังกล่าว ก็ให้ถือว่าของนั้นได้นำเข้ามาในราชอาณาจักรโดยยังมิได้เสียอากรถูกต้อง อันอาจถูกพนักงานศุลกากรกักยึดเพื่อประเมินเรียกเก็บภาษีอากร รวมทั้งต้องเสียเงินเพิ่มตาม พ.ร.บ.ศุลกากร พ.ศ.2469 มาตรา 112 จัตวา เท่านั้น แต่ก็ยังต้องถือว่าเป็นของที่ต้องเสียภาษีอากรโดยทั้งสภาพของของ ราคา และอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่สิทธิได้รับยกเว้นอากรสิ้นสุดลงตามมาตรา 10 วรรคหนึ่ง แห่งพ.ร.ก.พิกัดอัตราศุลกากร พ.ศ.2503 อยู่ หาได้หมายความว่า เมื่อผู้นำของเข้ามิได้ปฏิบัติเช่นว่านั้นแล้ว ให้ถือว่าของนั้นได้นำเข้าโดยยังมิได้เสียอากรถูกต้องตามสภาพของของ ราคา และอัตราอากรที่เป็นอยู่ในวันที่นำเข้าไม่
หลังจากจำเลยได้รับแจ้งประเมินให้เสียภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาลแล้ว จำเลยมิได้อุทธรณ์การประเมินต่อคณะกรรมการพิจารณาอุทธรณ์ จำเลยจึงหมดสิทธิที่จะขอให้เพิกถอนการประเมินภาษีการค้าและภาษีบำรุงเทศบาล ซึ่งรวมถึงหมดสิทธิที่จะฟ้องหรือยกขึ้นต่อสู้ในชั้นศาลว่าการประเมินดังกล่าวมิชอบด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3764/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การล้มละลาย: ทรัพย์สินจำเลยมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ แม้มีหนี้ตามสัญญาประนีประนอมยอมความ ศาลไม่เห็นเหตุให้ล้มละลาย
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายนั้นประเด็นสำคัญแห่งคดีมีอยู่ว่า จำเลยซึ่งถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งมีกำหนดจำนวนหนี้สินแน่นอนเกินกว่าห้าหมื่นบาทหรือไม่ คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่าจำเลยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้องยังไม่มีเหตุสมควรให้จำเลยล้มละลายและพิพากษายกฟ้องดังนี้เมื่อจำเลยนำสืบฟังได้ว่า จำเลยมีทรัพย์สินรวมกันมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง ปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงหรือไม่ จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องชี้ขาดในชั้นนี้ ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ดังที่จำเลยฎีกามานั้น ก็หาทำให้ผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปแต่ประการใดไม่ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3764/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การพิพากษาคดีล้มละลาย: ทรัพย์สินมากกว่าหนี้ ไม่เข้าข่ายล้มละลาย
คดีที่โจทก์ฟ้องขอให้จำเลยเป็นบุคคลล้มละลายนั้น ประเด็นสำคัญแห่งคดีมีอยู่ว่า จำเลยซึ่งถูกฟ้องขอให้ล้มละลายเป็นผู้มีหนี้สินล้นพ้นตัวซึ่งมีกำหนดจำนวนหนี้สินแน่นอนเกินกว่าห้าหมื่นบาทหรือไม่ คดีนี้ศาลล่างทั้งสองพิพากษาต้องกันว่าจำเลยมีทรัพย์สินมากกว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง ยังไม่มีเหตุสมควรให้จำเลยล้มละลายและพิพากษายกฟ้อง ดังนี้เมื่อจำเลยนำสืบฟังได้ว่า จำเลยมีทรัพย์สินรวมกันมีมูลค่าสูงกว่าหนี้ที่โจทก์นำมาฟ้อง ปัญหาว่าจำเลยเป็นหนี้โจทก์ตามฟ้องจริงหรือไม่ จึงไม่ใช่ประเด็นที่จะต้องชี้ขาดในชั้นนี้ ดังนั้นการที่จะวินิจฉัยว่าจำเลยไม่ได้เป็นหนี้โจทก์ดังที่จำเลยฎีกามานั้น ก็หาทำให้ผลแห่งคำพิพากษาคดีนี้เปลี่ยนแปลงไปแต่ประการใดไม่ ฎีกาของจำเลยจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3506/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจำหน่ายคดีเมื่อจำเลยรื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินแล้ว แม้ศาลอุทธรณ์พิพากษาคดีให้จำหน่ายคดีโดยคงคำพิพากษาเดิมไว้ก็ไม่ชอบ
โจทก์ฟ้องขอให้ขับไล่จำเลยทั้งสอง และให้จำเลยทั้งสองรื้อถอนบ้านออกจากที่ดินของโจทก์ ต่อมาโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประนีประนอมยอมความกันโดยจำเลยทั้งสองยอมรื้อถอนบ้านเรือนและสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ภายในเวลาที่กำหนด ศาลพิพากษาตามยอม ครั้นถึงกำหนดจำเลยทั้งสองไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษา โจทก์จึงดำเนินการบังคับคดี จำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำร้องขอให้พิจารณาคดีใหม่ศาลชั้นต้นยกคำร้อง จำเลยที่ 1 อุทธรณ์ ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายืนศาลชั้นต้นอ่านคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ดังกล่าวให้โจทก์ฟังฝ่ายเดียวโดยเห็นว่าได้มีการส่งหมายนัดฟังคำพิพากษาให้จำเลยทั้งสองทราบโดยชอบแล้ว จำเลยที่ 1 ยื่นคำร้องว่าไม่ได้รับหมายนัดของศาลให้ไปฟังคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ขอให้ศาลชั้นต้นไต่สวน และให้ระงับการบังคับคดีไว้ก่อน ศาลชั้นต้นยกคำร้องโดยไม่ไต่สวนจำเลยที่ 1 อุทธรณ์อีก ศาลอุทธรณ์ภาค 2 พิพากษายกคำสั่งของศาลชั้นต้น ให้ศาลชั้นต้นดำเนินการไต่สวนคำร้อง ของ จำเลยที่ 1โจทก์ฎีกา ในชั้นฎีกาเมื่อปรากฏข้อเท็จจริงว่า จำเลยที่ 2ได้รื้อถอนสิ่งปลูกสร้างออกจากที่ดินของโจทก์ไปเรียบร้อยแล้วคดีจึงไม่มีประโยชน์ที่จะพิจารณาพิพากษาฎีกาของโจทก์อีกต่อไปศาลฎีกาชอบที่จะจำหน่ายคดีเสียจากสารบบความ แต่คดีนี้จะจำหน่ายคดีโดยให้คงคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ไว้เป็นการไม่ชอบ เพราะยังมีผลให้ดำเนินกระบวนพิจารณากันต่อไปอีกทั้ง ๆ ที่ได้มีการรื้อถอนบ้านออกไปจากที่ดินของโจทก์เรียบร้อยแล้ว และไม่มีประเด็นอื่นต้องวินิจฉัยอีก ศาลฎีกาจึงต้องพิพากษายกคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ภาค 2 ด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายจากการละเมิดต้องมีรายละเอียดชัดเจน ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจหากไม่ทราบค่าเสียหายที่แท้จริง
ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดที่ให้ศาล วินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 นั้น ทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าค่าเสียหายในส่วนที่โจทก์ขอมาเป็นค่าอะไร เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่ ถ้าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไรแล้วศาลย่อมใช้ดุลพินิจให้ถูกต้องและเหมาะสมไม่ได้ ศาลจึงไม่กำหนดค่าเสียหายในส่วนนั้นให้ โจทก์เพิ่งมากล่าวรายละเอียดในฎีกาว่า ค่าบริการคือค่าใช้จ่ายโรงงานที่เป็นต้นทุนการผลิต ส่วนที่นอกเหนือจากค่าเสียหายและค่าแรงอันประกอบด้วยเงินเดือนของหัวหน้าควบคุมงานรวมทั้งพนักงานธุรการด้วย ผลประโยชน์ของพนักงานโจทก์ทั้งหมด ค่าใช้จ่ายในสำนักงานของโจทก์ค่าบำรุงรักษาเครื่องมือเครื่องใช้ในสำนักงาน ค่าเสื่อมราคาครั้งหนึ่งของอุปกรณ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในสำนักงานนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่ไม่มีการนำสืบต้องห้ามมิให้รับฟัง ทั้งเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจนและไม่อาจนำสืบได้ ศาลไม่อาจใช้ดุลพินิจกำหนดค่าเสียหายได้
ค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์นอกจากค่าเสียหายอื่น ๆที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องกล่าวมาในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าหมายถึงค่าอะไร โจทก์เพิ่งจะมากล่าวรายละเอียดแห่งค่าบริการในชั้นฎีกาจำเลยทั้งสองก็ให้การต่อสู้คดีไว้ว่าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 438 วรรคแรกที่บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้นให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าเป็นค่าอะไรเป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ไว้ให้ศาลเห็น ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจให้ถูกต้อง และเหมาะสมได้ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนดค่าเสียหายในเรื่องนี้จึงถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3317/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าเสียหายที่ไม่ชัดเจนในฟ้อง: ศาลไม่รับวินิจฉัย
ค่าบริการ 200 เปอร์เซ็นต์ นอกจากค่าเสียหายอื่น ๆ ที่โจทก์ฟ้องเรียกร้องจากจำเลยนั้น เป็นข้อเท็จจริงที่โจทก์จะต้องกล่างมาในฟ้องโดยแจ้งชัดว่าหมายถึงค่าอะไร โจทก์เพิ่งจะมากล่าวรายละเอียดแห่งค่าบริการในชั้นฎีกา จำเลยทั้งสองก็ให้การต่อสู่คดีไว้ว่าไม่ทราบว่าเป็นค่าอะไร และมิใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาจึงไม่รับวินิจฉัย ป.พ.พ. มาตรา 438 วรรคแรกที่บัญญัติว่า ค่าสินไหมทดแทนจะพึงใช้โดยสถานใดเพียงใดนั้น ให้ศาลวินิจฉัยตามควรแก่พฤติการณ์และความร้ายแรงแห่งละเมิดทางพิจารณาจะต้องได้ความเสียก่อนว่าเป็นค่าอะไร เป็นค่าเสียหายโดยตรงที่เกิดขึ้นจากการกระทำละเมิดของจำเลยหรือไม่เมื่อโจทก์ไม่ได้นำสืบพิสูจน์ไว้ให้ศาลเห็น ศาลจึงไม่อาจใช้ดุลพินิจให้ถูกต้อง และเหมาะสมได้ ที่ศาลอุทธรณ์ไม่กำหนด ค่าเสียหายในเรื่องนี้จึงถูกต้องแล้ว

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3310/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ประเด็นข้อพิพาทใหม่ในชั้นฎีกาต้องห้าม และอายุความของเงินทดรองค่าหุ้น
จำเลยฎีกาว่าสัญญาตั้งโจทก์เป็นตัวแทนซื้อขายหลักทรัพย์เป็นโมฆะเพราะโจทก์มิได้เป็นสมาชิกตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและมิได้มีวัตถุประสงค์ซื้อขายหลักทรัพย์ ปัญหาดังกล่าวแม้จำเลยจะยกเป็นข้อต่อสู้ไว้ในคำให้การ แต่ในวันชี้สองสถานศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นข้อพิพาทไว้และมิได้ยกปัญหาดังกล่าวขึ้นวินิจฉัย จึงถือไม่ได้ว่าเป็นข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้น แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ตามอุทธรณ์ของจำเลยก็เป็นการวินิจฉัยนอกประเด็นจึงเป็นฎีกาที่ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 โจทก์เป็นตัวแทนของจำเลยซื้อขายหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฟ้องเรียกเอาเงินค่าหุ้นและค่าบำเหน็จที่โจทก์ได้ออกเงินทดรองแทนจำเลยไปเป็นกรณีที่ตัวแทนเรียกเอาเงินที่ได้ออกทดรองจ่ายไปชดใช้จากตัวการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 816 ซึ่งไม่มีกฎหมายบัญญัติเรื่องอายุความไว้เป็นอย่างอื่นต้องใช้อายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 193/30 ฎีกาของจำเลยฟังไม่ขึ้น

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัย เหตุข้อฎีกาเกินกรอบการอุทธรณ์ และปัญหาการบังคับคดี
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่าสัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้นฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ.ร้อยตำรวจโทพ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้งและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษาแต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2 ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลชั้นต้นว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3263/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดในการฎีกา: ประเด็นใหม่นอกเหนือจากที่ศาลชั้นต้นและอุทธรณ์วินิจฉัย และการอ้างเหตุปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะมิได้ระบุให้ชัดว่าจำเลยกระทำละเมิดต่อโจทก์หรือผิดสัญญาประนีประนอมยอมความ เป็นข้อที่จำเลยที่ 1 มิได้ว่ากล่าวกันมาแล้วแต่ในศาลชั้นต้น จำเลยที่ 1 เพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นอุทธรณ์ แม้ศาลอุทธรณ์จะวินิจฉัยให้ ก็ไม่ถือว่าเป็นข้อที่ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในชั้นอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าสัญญาประนีประนอมยอมความฉบับพิพาทไม่เป็นโมฆียะ จำเลยทั้งสองมิได้อุทธรณ์โต้แย้งคำพิพากษาของศาลชั้นต้นในประเด็นดังกล่าว คงอุทธรณ์แต่เพียงว่า สัญญาประนีประนอมยอมความไม่สามารถบังคับจำเลยที่ 2 ได้เพราะจำเลยที่ 2 ไม่ได้เป็นคู่สัญญา และคำพิพากษาศาลชั้นต้นไม่สามารถบังคับเอากับจำเลยทั้งสองได้เท่านั้น ฎีกาของจำเลยที่ 1 ดังกล่าวจึงไม่ใช่ข้อที่ว่ากล่าวมาแล้วแต่ในศาลอุทธรณ์ภาค 2 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
จำเลยทั้งสองสร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินโจทก์ โจทก์จึงไปแจ้งความต่อร้อยตำรวจโท พ. ร้อยตำรวจโท พ.เรียกจำเลยทั้งสองไปไกล่เกลี่ย จำเลยที่ 1 ตกลงยินยอมทำบันทึกข้อตกลงว่าจะรื้อรั้วที่รุกล้ำและทำรางน้ำรับหลังคาบ้านที่รุกล้ำเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 จึงเป็นสัญญาประนีประนอมยอมความตาม ป.พ.พ.มาตรา 850 และรับฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 สร้างรั้วและหลังคาบ้านรุกล้ำที่ดินของโจทก์จริง
ที่จำเลยที่ 1 ฎีกาว่า จำเลยที่ 1 พร้อมที่จะรื้อถอนรั้วและหลังคาบ้านออกไปจากที่ดินโจทก์ตามคำพิพากษา แต่จำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ร่วมในรั้วและหลังคาบ้านดังกล่าวไม่ยินยอม โดยอ้างว่าจำเลยที่ 2ไม่จำต้องปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาล เพราะศาลชั้นต้นพิพากษายกฟ้องโจทก์สำหรับจำเลยที่ 2 และคดีของจำเลยที่ 2 ถึงที่สุดแล้ว จำเลยที่ 1 จึงไม่อาจปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลได้ เพราะหากขืนปฏิบัติตามคำพิพากษาของศาลจำเลยที่ 2 มีสิทธิฟ้องจำเลยที่ 1 ฐานละเมิดได้ เมื่อข้อฎีกาของจำเลยดังกล่าวมิได้โต้แย้งคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ว่าไม่ชอบด้วยข้อเท็จจริงหรือข้อกฎหมายอย่างไร เพียงแต่อ้างว่าปฏิบัติตามคำพิพากษาไม่ได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่จะต้องไปว่ากล่าวกันในชั้นบังคับคดี ฎีกาของจำเลยข้อนี้จึงเป็นฎีกาที่ไม่ชอบด้วยป.วิ.พ.มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้
of 294