คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1525/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การจดทะเบียนยกเลิกภารจำยอมโดยสำคัญผิด และผลกระทบต่อสิทธิในทางเข้าออก
ที่จำเลยฎีกาว่า แม้หากการจดทะเบียนยกเลิกภาระจำยอมจะเกิดจากการแสดงเจตนาโดยสำคัญผิด ก็ต้องถือว่าเป็นความสำคัญผิดซึ่งเกิดขึ้นโดยความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงของผู้รับมอบอำนาจโจทก์โจทก์จะถือเอาความสำคัญผิดนั้นมาใช้เป็นประโยชน์แก่ตนไม่ได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 เดิม (มาตรา 158) นั้นแม้ว่าจำเลยจะให้การต่อสู้ประเด็นข้อนี้ไว้ในคำให้การด้วยก็ตามแต่ศาลชั้นต้นมิได้กำหนดเป็นประเด็นพิพาทไว้ในชั้นชี้สองสถานและจำเลยก็มิได้โต้แย้งคัดค้านไว้ ต้องถือว่าจำเลยได้สละประเด็นข้อนี้แล้ว จึงเป็นปัญหาที่มิได้ว่ากันมาแต่ศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1339/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาซื้อขายโรงเรียน: ศาลฎีกาแก้ไขจำนวนเงินคืนและค่าปรับตามความเหมาะสม โดยยึดหลักการกลับคืนสู่ฐานะเดิม
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่า การที่จำเลยไม่สามารถโอนสิทธิการเช่ารวมทั้งเปลี่ยนชื่อเจ้าของโรงเรียนให้แก่โจทก์ไม่เป็นเหตุสุดวิสัยถือว่าจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญา แต่พิพากษายกฟ้องโจทก์โดยไม่ตัดสิทธิโจทก์ที่จะฟ้องใหม่ภายในอายุความ เมื่อโจทก์อุทธรณ์จำเลยมิได้โต้แย้งในประเด็นข้อนี้ การที่จำเลยฎีกาว่าจำเลยมิได้เป็นฝ่ายผิดสัญญา จึงเป็นเรื่องที่มิได้ว่ากล่าวกันในศาลอุทธรณ์ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้ เมื่อจำเลยเป็นฝ่ายผิดสัญญาและโจทก์บอกเลิกสัญญาแล้วคู่สัญญาจะต้องกลับคืนสู่ฐานะดั่งที่เป็นอยู่เดิมตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 391 แต่โจทก์ได้ครอบครองและใช้ประโยชน์จากทรัพย์สินที่ซื้อขายตลอดมา การที่จำเลยจะต้องคืนเงินทั้งหมดให้แก่โจทก์ จึงไม่เป็นธรรมแก่จำเลย ศาลมีอำนาจกำหนดจำนวนเงินที่จำเลยต้องคืนให้แก่โจทก์เมื่อเลิกสัญญาตามที่เห็นสมควรได้ และให้โจทก์คืนทรัพย์สินที่ซื้อขายให้แก่จำเลย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1212/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การโอนสิทธิครอบครองที่ดินมือเปล่า & การวินิจฉัยปัญหาอายุความที่มิได้ยกขึ้นว่ากันในศาลล่าง
คำแถลงการณ์เป็นหนังสือนั้นจำเลยมีสิทธิยื่นได้ก่อนวันศาลฎีกาพิพากษา ไม่จำเป็นต้องให้ศาลฎีกามีคำสั่งอนุญาตก่อน เมื่อจำเลยไม่ได้ยื่นตามที่มีสิทธิจะยื่นได้ จึงถือว่าจำเลยไม่ติดใจยื่นคำแถลงการณ์ดังกล่าว ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าฟ้องโจทก์ไม่ขาดอายุความ จำเลยมิได้อุทธรณ์ในปัญหานี้ ปัญหาเรื่องอายุความจึงเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ทั้งไม่ใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ฎีกาจำเลยที่ว่าฟ้องโจทก์ขาดอายุความศาลฎีกาจึงไม่วินิจฉัยให้ ที่ดินพิพาทเป็นที่ดินมือเปล่า การที่ บ. ได้มอบการครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อแล้ว จึงเป็นการโอนสิทธิครอบครองที่ดินพิพาทให้แก่ผู้ซื้อโดยชอบด้วยกฎหมาย ไม่จำต้องทำสัญญาซื้อขายเป็นหนังสือและจดทะเบียนต่อพนักงานเจ้าหน้าที่ การที่โจทก์นำพยานบุคคลมาสืบถึงสิทธิในที่ดินพิพาทว่าบิดาโจทก์ซื้อที่พิพาทจาก บ. จึงมิใช่เป็นการนำพยานบุคคลมาสืบแทนเอกสาร หาต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 ไม่

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1142/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การงดไต่สวนพยานและคำสั่งชั่วคราวก่อนพิพากษา: การโต้แย้งสิทธิอุทธรณ์และการสิ้นสุดของคำสั่ง
คำสั่งให้งดการไต่สวนพยานจำเลยที่ 1 ในชั้นขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาของศาลชั้นต้นก่อนที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีเป็นคำสั่งระหว่างพิจารณา จึงต้องห้ามมิให้อุทธรณ์คำสั่งนั้นในระหว่างพิจารณา หากคู่ความฝ่ายใดไม่เห็นด้วยและประสงค์จะใช้สิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นในภายหลังจะต้องโต้แย้งคำสั่งให้ศาลจดลงไว้ในรายงาน คู่ความฝ่ายที่โต้แย้งจึงจะมีสิทธิอุทธรณ์คำสั่งนั้นได้ภายในกำหนดหนึ่งเดือน นับแต่วันที่ศาลได้มีคำพิพากษาหรือคำสั่งชี้ขาดตัดสินคดีตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 226 แต่ปรากฏว่า ศาลชั้นต้นสั่งงดไต่สวนเมื่อวันที่21 กุมภาพันธ์ 2534 และนัดฟังคำสั่งในวันรุ่งขึ้นเวลา 9 นาฬิกาทนายโจทก์ได้ทราบคำสั่งในวันนั้นแล้ว ดังนั้น ในช่วงเวลาก่อนที่ศาลชั้นต้นจะอ่านคำสั่ง ย่อมมีเวลาเพียงพอที่โจทก์จะโต้แย้งคัดค้านได้ แต่ก็หาได้มีการโต้แย้งคัดค้านไม่ โจทก์จึงหมดสิทธิอุทธรณ์ในปัญหาดังกล่าว อีกทั้งไม่อาจหยิบยกปัญหาดังกล่าวขึ้นเป็นข้อฎีกาได้ เนื่องจากเป็นข้อที่มิได้ว่ากันมาแล้วโดยชอบในชั้นอุทธรณ์ จึงต้องห้ามฎีกาตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 วรรคแรก (เดิม)แม้ศาลชั้นต้นจะสั่งรับฎีกาข้อนี้ของโจทก์ขึ้นมาด้วย ศาลฎีกาก็ไม่รับวินิจฉัย โจทก์ฟ้องคดีพร้อมกับยื่นคำร้องขอให้ศาลนำวิธีการชั่วคราวก่อนพิพากษามาใช้โดยยื่นคำร้องขอในกรณีมีเหตุฉุกเฉินรวมเข้ามาด้วยกรณีจึงเป็นไปตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 267 ปรากฏว่าหลังจากที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งให้นำวิธีการชั่วคราวในกรณีมีเหตุฉุกเฉินมาใช้บังคับตามคำขอของโจทก์แล้วจำเลยที่ 1 ได้ยื่นคำขอโดยพลันให้ศาลชั้นต้นยกเลิกคำสั่งดังกล่าวเสีย ต่อมาเมื่อศาลชั้นต้นพิจารณาแล้วได้มีคำสั่งยกเลิกคำสั่งเดิมตามคำขอของจำเลยที่ 1 คำสั่งดังกล่าว ย่อมเป็นที่สุด ทั้งนี้โดยมิพักต้องคำนึงถึงว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำขอของจำเลยที่ 1ในกรณีมีเหตุฉุกเฉินหรือพิจารณาฝ่ายเดียวหรือสองฝ่ายหรือไม่ เพราะแม้จะได้ความว่าศาลชั้นต้นได้พิจารณาคำขอของจำเลยที่ 1 ในกรณีธรรมดาเพราะไม่มีเหตุฉุกเฉิน หรือพิจารณาคำขอของจำเลยที่ 1 ชนิดสองฝ่ายก็ตาม คำสั่งเพิกถอนคำสั่งเดิมของศาลชั้นต้นก็เป็นการสั่งตามความในประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 267 วรรคสอง ที่บัญญัติว่าคำสั่งดังกล่าวให้เป็นที่สุดอยู่นั่นเอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1081/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ เบี้ยปรับสัญญาซื้อขายสูงเกินส่วน ศาลมีอำนาจลดลงได้ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383
ข้อเท็จจริงที่ว่าการผิดนัดของโจทก์ทำให้จำเลยเสียหายไม่ได้ใช้ทรัพย์ที่ซื้อจากโจทก์ออกใช้ประโยชน์ ซึ่งหากคิดรายได้เพียงวันละ 9 ชั่วโมง จำเลยจะมีรายได้วันละ 30,937.50 บาท มากกว่าค่าปรับที่จำเลยคิดจากโจทก์ตามสัญญา จำเลยเพิ่งยกขึ้นอ้างในชั้นฎีกาเนื่องจากไม่ได้สืบพยานโจทก์และจำเลยในศาลชั้นต้น โจทก์จึงไม่มีโอกาสถามค้านได้ ข้ออ้างของจำเลยฟังไม่ขึ้น ค่าปรับตามสัญญาซื้อขายเป็นเบี้ยปรับอย่างหนึ่ง ศาลมีอำนาจลดลงเป็นจำนวนพอสมควรได้ถ้าหากสูงเกินส่วน เมื่อพิเคราะห์ถึงทางได้เสียของเจ้าหนี้ทุกอย่างอันชอบด้วยกฎหมายแล้ว ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 383

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1004/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ภารจำยอมไม่จำกัดการติดกันของที่ดิน แม้มีคลองคั่นก็อาจเป็นภารจำยอมได้
ทางภารจำยอมนั้นสามยทรัพย์และภารยทรัพย์ไม่จำเป็นต้องอยู่ติดกัน ดังนี้ แม้จะมีคลองสาธารณะคั่นอยู่ก็อาจเป็นทางภารจำยอมได้ โจทก์ที่ 1 ไม่ได้ฟ้องว่าทางพิพาทเป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 ดังนั้น การที่จำเลยฎีกาว่าทางพิพาทไม่เป็นทางจำเป็นแก่ที่ดินของโจทก์ที่ 1 จึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2536 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ผลผูกพันคำสั่งศาลกรณีครอบครองปรปักษ์: การที่โจทก์ไม่ทราบเรื่องและไม่ได้คัดค้านทำให้คำสั่งศาลไม่ผูกพัน
แม้จำเลยจะมิได้ให้การเรื่องอำนาจฟ้องไว้โดยชัดแจ้ง แต่จำเลยก็ได้ให้การและอุทธรณ์ต่อมาถึงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอีกคดีหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนจำเลยจึงฎีกาในปัญหานี้ได้
การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น แม้โจทก์ทั้งหกในคดีนี้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอและการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอกคำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก
ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาท จำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า ขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 973/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การครอบครองปรปักษ์ & อำนาจฟ้อง: ผลผูกพันคู่ความที่ไม่เข้าร่วมคดีก่อน, สิทธิในที่ดิน
แม้จำเลยจะมิได้ให้การเรื่องอำนาจฟ้องไว้โดยชัดแจ้ง แต่จำเลยก็ได้ให้การและอุทธรณ์ต่อมาถึงการที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในอีกคดีหนึ่งว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์ไว้แล้ว ทั้งอำนาจฟ้องเป็นปัญหาเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน จำเลยจึงฎีกาในปัญหานี้ได้ การที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งในคดีก่อนว่า ที่ดินพิพาทเป็นกรรมสิทธิ์ของจำเลยโดยการครอบครองปรปักษ์นั้น แม้โจทก์ทั้งหกในคดีนี้จะมิได้เป็นคู่ความในคดีก่อน แต่ถ้าโจทก์ทั้งหกทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอแสดงกรรมสิทธิ์แล้ว โจทก์ทั้งหกไม่โต้แย้งคัดค้านภายในเวลาที่ศาลกำหนด โจทก์ทั้งหกก็ย่อมหมดสิทธิที่จะโต้แย้งคัดค้านอีกต่อไป เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่า โจทก์ทั้งหกไม่ทราบเรื่องที่จำเลยยื่นคำร้องขอและการดำเนินกระบวนพิจารณาในคดีดังกล่าวจึงถือว่าโจทก์ทั้งหกเป็นบุคคลภายนอก คำสั่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนไม่ผูกพันโจทก์ทั้งหก ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นเพียงผู้อาศัยในที่ดินพิพาทจำเลยไม่ฎีกาโต้แย้งคำวินิจฉัยนี้ ข้อเท็จจริงจึงยุติตามคำวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์ดังกล่าว ที่จำเลยฎีกาว่า ขอถือเอาอุทธรณ์ของจำเลยเป็นส่วนหนึ่งของฎีกาด้วยนั้น เป็นฎีกาที่ไม่ชัดแจ้ง ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 945/2536

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ข้อจำกัดการขอวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้น, ฟ้องเคลือบคลุม, สิทธิเรียกร้องก่อนกำหนด, การส่งหนังสือบอกกล่าว, ความรับผิดของผู้ค้ำประกัน
เมื่อคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาลฎีกา โจทก์ไม่มีสิทธิยื่นคำร้องขอให้ศาลฎีกาวินิจฉัยชี้ขาดเบื้องต้นในปัญหาข้อกฎหมายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 24 ได้ คำให้การของจำเลยที่ 1 ไม่ชัดแจ้งว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมเพราะเหตุใด ส่วนจำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ในประเด็นเรื่องฟ้องเคลือบคลุมไว้ คดีจึงไม่มีประเด็นว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมหรือไม่แม้ศาลล่างทั้งสองจะวินิจฉัยให้ก็เป็นการนอกประเด็น ถือได้ว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลล่างทั้งสอง ฎีกาของจำเลยทั้งสองที่ว่าฟ้องโจทก์เคลือบคลุมจึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249 สัญญาเบิกเงินเกินบัญชีและสัญญากู้เงินมีข้อความว่า ระยะเวลาชำระหนี้ที่กำหนดไว้ไม่เป็นการตัดสิทธิโจทก์ที่จะเรียกร้องให้จำเลยที่ 1 ชำระหนี้ทั้งหมดหรือแต่บางส่วนก่อนกำหนด นั้น เกิดขึ้นด้วยใจสมัครของจำเลยที่ 1 เอง หาเกี่ยวกับสังคมหรือประชาชนไม่จึงไม่ขัดต่อความสงบเรียบร้อยของประชาชน เมื่อข้อเท็จจริงฟังได้ว่าจำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกหนี้ผิดนัดไม่ชำระหนี้จำเลยที่ 2 ในฐานะผู้ค้ำประกันหนี้ของจำเลยที่ 1 ก็ต้องร่วมรับผิดด้วย แม้จะไม่มีข้อกำหนดในสัญญาว่าจำเลยที่ 2 จะต้องร่วมรับผิดตั้งแต่เมื่อใด จำเลยที่ 1 เป็นนิติบุคคลมีจำเลยที่ 2 เป็นกรรมการผู้มีอำนาจกระทำการแทน แม้จำเลยที่ 2 จะมีที่อยู่แยกต่างหากจากภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 แต่ก็ถือได้ว่าจำเลยที่ 2 มีหลักแหล่งที่ทำการเป็นปกติแห่งเดียวกับภูมิลำเนาของจำเลยที่ 1 การที่โจทก์ส่งหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้ชำระหนี้และไถ่ถอนจำนองไปถึงจำเลยที่ 1 แล้วถือได้ว่าจำเลยที่ 2 ผู้จำนองได้รับหนังสือบอกกล่าวนั้นแล้วด้วย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 914/2536 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การเพิกถอนการยึดและการขายทอดตลาด: การยื่นคำร้องยกเลิกการขายทอดตลาดต้องยื่นต่อศาลชั้นต้นก่อน
โจทก์ทราบถึงการที่เจ้าพนักงานบังคับคดีขายทอดตลาดทรัพย์ที่ถูกเพิกถอนการยึดไปแล้ว ซึ่งโจทก์จะต้องยื่นคำร้องต่อศาลชั้นต้น ซึ่งเป็นศาลที่ทำการบังคับคดีไม่ว่าเวลาใด ๆ ก่อนการบังคับคดีได้เสร็จลงแต่ต้องไม่ช้ากว่าแปดวันนับแต่วันที่โจทก์ทราบการฝ่าฝืนนั้น เพื่อขอให้ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกเลิกการขายทอดตลาด อันเป็นกระบวนวิธีการบังคับคดีที่ไม่ชอบหรือฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเสียตาม ป.วิ.พ. มาตรา 296 แต่โจทก์มิได้ยื่นคำร้องดังกล่าวต่อศาลชั้นต้น กลับมายื่นอุทธรณ์ต่อศาลอุทธรณ์ผิดขั้นตอนของลำดับชั้นศาลดังนั้นโจทก์จะใช้สิทธิอุทธรณ์หรือฎีกาหาได้ไม่ ส่วนการขายทอดตลาดทรัพย์ซึ่งถูกเพิกถอนการยึดไปแล้วเป็นการขายทอดตลาดที่ไม่ชอบ เป็นเรื่องของผู้มีส่วนได้เสียจะไปว่ากล่าวเอาต่างหาก
of 294