คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย และฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี
เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยนั้น ศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องนั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือจะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้นอย่างใดที่ศาลอุทธรณ์เพียงสั่งว่า "รวม" จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 131(1) เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเสร็จไปแล้ว การที่จะเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยย่อมไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์แต่อย่างใด เพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี แม้ศาลอุทธรณ์จะมีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วก็ตาม หากต่อมาในชั้นพิจารณาและพิพากษาคดีศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดีก็ชอบที่จะพิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 การบังคับคดีจะต้องเป็นไปตามคำพิพากษา รายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในวันทำคำพิพากษาตามยอมนั้น แม้จะมีถ้อยคำที่แตกต่างไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความก็ไม่มีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความตลอดจนคำพิพากษาตามยอมเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมาย ขอให้เพิกถอนนั้น จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1260/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คำสั่งศาลที่เกี่ยวข้องกับการส่งสำเนาอุทธรณ์, ประเด็นสาระแห่งคดี, และผลของการบังคับคดีตามสัญญาประนีประนอม
เมื่อโจทก์ยื่นคำร้องต่อศาลอุทธรณ์ขอให้ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งเพิกถอนคำสั่งศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยศาลอุทธรณ์จะต้องมีคำสั่งเกี่ยวกับคำร้องของโจทก์ว่าโจทก์มีสิทธิยื่นคำร้องนั้นหรือไม่ ศาลอุทธรณ์เห็นด้วยกับคำสั่งของศาลชั้นต้นหรือจะสั่งแก้ไขเปลี่ยนแปลงคำสั่งศาลชั้นต้นอย่างใด ที่ศาลอุทธรณ์สั่งเพียงว่า "รวม" จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 131(1) เมื่อศาลอุทธรณ์ได้มีคำพิพากษาเสร็จไปแล้ว การที่จะเพิกถอนคำสั่งของศาลชั้นต้นที่สั่งให้โจทก์นำส่งสำเนาอุทธรณ์แก่จำเลยย่อมจะไม่เป็นประโยชน์แก่คดีของโจทก์ เพราะไม่มีผลทำให้คำพิพากษาศาลอุทธรณ์เปลี่ยนแปลง ฎีกาของโจทก์ในข้อนี้จึงไม่เป็นสาระแก่คดีศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งให้รับอุทธรณ์ของโจทก์ไว้พิจารณาแล้วหากต่อมาในชั้นพิจารณาและพิพากษาคดี ศาลอุทธรณ์เห็นว่าอุทธรณ์ของโจทก์ไม่เป็นสาระแก่คดีก็พิพากษายกอุทธรณ์ของโจทก์เสียได้ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 225 การบังคับคดีจะต้องเป็นไปตามคำพิพากษา รายงานกระบวนพิจารณาที่ศาลชั้นต้นจดไว้ในวันทำคำพิพากษาตามยอมให้โจทก์จำเลยและจำเลยร่วมนั้น แม้จะมีถ้อยคำที่แตกต่างไปจากสัญญาประนีประนอมยอมความ ก็ไม่มีผลให้สัญญาประนีประนอมยอมความระหว่างโจทก์ จำเลยและจำเลยร่วมตลอดจนคำพิพากษาตามยอมเปลี่ยนแปลงไป ดังนั้น ที่โจทก์ฎีกาว่าข้อความที่ศาลชั้นต้นบันทึกในรายงานกระบวนพิจารณาไม่ชอบด้วยกฎหมายขอให้เพิกถอน จึงเป็นฎีกาที่ไม่เป็นสาระแก่คดี

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคดีแพ่ง: การฟ้องหลายข้อหา (ผิดสัญญา/ละเมิด) และการร้องเรียนต่อบุคคลที่สาม
การพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่งคำฟ้องของโจทก์จึง เป็นการเสนอข้อหา 2 ข้อหา และแยกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสีย ค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา โจทก์ทำสัญญารับจ้างเหมาก่อสร้างอาคารโรงพยาบาลสงขลานครินทร์ โดยโจทก์ได้ทำสัญญาซื้อและติดตั้งลิฟต์ กับจำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ ส่งมอบลิฟต์ และติดตั้งลิฟต์ ให้แก่โจทก์เรียบร้อยแล้ว โจทก์ได้รับ เงินจากมหาวิทยาลัยในงานส่วนติดตั้งลิฟต์ แล้ว แต่ไม่ยอมจ่ายเงิน ให้แก่จำเลยที่ 1 จำเลยที่ 1 ได้ร้องเรียนต่อ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ มหาวิทยาลัยได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ยในที่สุดโจทก์ตกลงจ่ายค่าลิฟต์ ให้จำเลยที่ 1 แต่ก็ ไม่จ่ายอีก เห็นว่าการที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อมหาวิทยาลัย ดังกล่าว เป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 จะกระทำได้โดยชอบ หาเป็น การละเมิดโจทก์ไม่ พยานจำเลยที่ศาลชั้นต้นสั่งงดสืบพยานไปนั้น จะเบิกความถึงข้อเท็จจริงที่ศาลฎีกาวินิจฉัยเป็นคุณแก่จำเลยอยู่แล้ว การที่ ศาลชั้นต้นงดสืบพยานจำเลยไม่ทำให้คำวินิจฉัยของศาลเปลี่ยนแปลง เป็นอย่างอื่นฎีกาของจำเลยที่ว่าศาลชั้นต้นงดสืบพยานไม่ชอบ จึงไม่ เป็นสาระอันควรวินิจฉัยศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1216/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ค่าขึ้นศาลคำนวณจากจำนวนข้อหา, การร้องเรียนต่อผู้ว่าจ้างชอบธรรม, เบิกความไม่เป็นเท็จ ไม่เป็นการละเมิด
ตามตาราง 1 ท้าย ป.วิ.พ. เรื่อง ค่าขึ้นศาล ไม่ได้บัญญัติว่าคดีหนึ่งเสียค่าขึ้นศาลไม่เกิน 200,000 บาท ดังนั้นในการพิจารณาว่าคดีใดจะต้องเสียค่าขึ้นศาลเท่าใด จำต้องพิจารณาคำฟ้องเป็นเกณฑ์ ดังนี้ การเรียกค่าขึ้นศาลจึงต้องดูว่าคำฟ้องที่เสนอต่อศาลมีกี่ข้อหา แต่ละข้อหาเกี่ยวข้องกันหรือแยกจากกัน
โจทก์ฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานผิดสัญญาข้อหาหนึ่ง และฟ้องเรียกค่าเสียหายฐานละเมิดอีกข้อหาหนึ่ง เป็นการเสนอข้อหาต่อศาล 2 ข้อหาและแยกออกจากกันได้ โจทก์จึงต้องเสียค่าขึ้นศาลทั้ง 2 ข้อหา
ปัญหาว่าการที่จำเลยที่ 1 ผิดสัญญาไม่ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ และตามสัญญาโจทก์มีสิทธิปรับจำเลยที่ 1 ได้ แต่โจทก์ไม่ได้สงวนสิทธิที่จะเรียกเบี้ยปรับจากจำเลยที่ 1 สิทธิตามสัญญาจึงเป็นอันระงับสิ้นไปนั้นเมื่อเป็นข้อที่จำเลยที่ 1 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่มีประเด็นที่ศาลล่างจะต้องวินิจฉัยและประเด็นดังกล่าวไม่เป็นปัญหาข้อกฎหมายอันเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชน
การที่โจทก์อ้างว่าถูกยึดและอายัดทรัพย์ในคดีแพ่งเนื่องจากการเบิกความเท็จของจำเลยที่ 2 และการที่จำเลยทั้งสองร้องเรียนโจทก์ต่อส.ผู้ว่าจ้างโจทก์เป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ และจำเลยทั้งสองสมคบกับ ย.หน่วงเหนี่ยวการทำงานของโจทก์ ทำให้โจทก์ทำงานไม่ทันตามกำหนดเวลาจนถูกส.บอกเลิกสัญญานั้น เมื่อปรากฏว่าก่อนที่จำเลยที่ 1 ฟ้องโจทก์ และจำเลยที่ 2ได้เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา และก่อนที่ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยึดและอายัดทรัพย์โจทก์ จำเลยที่ 1 ได้ส่งมอบลิฟต์และติดตั้งลิฟต์ให้แก่โจทก์ตามสัญญาซื้อขายลิฟต์เรียบร้อยแล้ว และโจทก์ได้รับเงินจาก ส.ในงานส่วนติดตั้งลิฟต์แล้ว แต่โจทก์ไม่ยอมจ่ายเงินให้แก่จำเลยที่ 1 ตามสัญญา จำเลยที่ 1 จึงได้ร้องเรียนต่อ ส. ส.ได้เรียกโจทก์และจำเลยที่ 1 ไปไกล่เกลี่ย โจทก์ตกลงจ่ายงินค่าลิฟต์ให้แก่จำเลยที่ 1 แต่ในที่สุดก็ไม่จ่าย ดังนี้ การที่จำเลยที่ 1 ร้องเรียนโจทก์ต่อ ส. จึงเป็นสิทธิของจำเลยที่ 1 ที่จะกระทำได้โดยชอบธรรม หาเป็นการกลั่นแกล้งโจทก์ไม่ และการที่จำเลยที่ 2 เบิกความในชั้นไต่สวนขอคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษา ไปตามที่จำเลยที่ 2 รู้เห็นและเข้าใจ และหาเป็นความเท็จไม่ ส่วนคำเบิกความของจำเลยที่ 2 ที่แม้เป็นการเบิกความลอย ๆ ไม่ยืนยันว่าเป็นผู้รู้เห็นในเรื่องการขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้าง แต่โจทก์ก็นำสืบรับว่าโจทก์ขนย้ายทรัพย์สินออกไปจากบริเวณก่อสร้างจริง สำหรับในเรื่องเสนอขายเครื่องมือเครื่องจักร แก่ธนาคาร ก็เป็นเรื่องที่จำเลยที่ 2 อาจเข้าใจเอาเองเพราะเป็นข้อที่ทราบกันทั่วไป คำเบิกความของจำเลยที่ 2 จึงไม่เป็นเท็จ การกระทำของจำเลยทั้งสองจึงไม่เป็นการละเมิดต่อโจทก์

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1202/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฟ้องขับไล่ผู้เช่า: คำฟ้องไม่เคลือบคลุม, หนังสือมอบอำนาจชอบ, ประเด็นใหม่ห้ามฎีกา
โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเช่าที่ดินโจทก์ปลูกสร้างโรงเรือนเลขที่ 520 โจทก์ไม่ประสงค์ให้จำเลยเช่าต่อไปจึงบอกเลิกการเช่าและให้รื้อถอนขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกจากที่ดินที่เช่าขอให้จำเลยรื้อถอนตึกแถวเลขที่ 520 ออกจากที่ดินโจทก์ ทั้งขนย้ายทรัพย์สินและบริวารออกไปด้วย ฟ้องโจทก์จึงแสดงถึงสภาพแห่งข้อหา ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาและคำขอคำบังคับตามป.วิ.พ. มาตรา 172 แล้ว ส่วนที่โจทก์ไม่ระบุว่าจำเลยเช่าที่ดินตรงทิศไหน มุมไหน หรือส่วนไหนของโฉนด ไม่ทำแผนที่แสดงแนวเขตที่ดินที่อ้างว่าจำเลยเช่าแนบมากับฟ้องนั้น ไม่ทำให้ฟ้องโจทก์เคลือบคลุม การมอบอำนาจให้ฟ้องคดีไม่จำต้องระบุว่าให้ฟ้องที่ศาลไหนเพราะการจะฟ้องคดีที่ไหนนั้นต้องเป็นไปตามที่กฎหมายบัญญัติ ฎีกาที่ว่าโจทก์ไม่ได้มาเบิกความยืนยันว่าได้ลงลายมือชื่อในช่องผู้มอบอำนาจศาลไม่ควรเชื่อว่าเป็นลายมือชื่อที่แท้จริงนั้นเป็นปัญหาข้อเท็จจริงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 248วรรคสอง ส่วนปัญหาว่าบ้านของจำเลยอยู่คนละแห่งกับที่ดินของโจทก์นั้น จำเลยมิได้ยกขึ้นต่อสู้ไว้ในคำให้การ ถือว่าเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นตามมาตรา 249 แม้จำเลยจะยกขึ้นในชั้นอุทธรณ์และศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ จำเลยก็ไม่มีสิทธิฎีกา.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1182/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ คุณสมบัติผู้สมัคร ส.ส.ท. บิดาเป็นต่างด้าว: ศาลฎีกาชี้ 'บิดา' ตามกฎหมายครอบคลุมทั้งที่ชอบด้วยกฎหมายและไม่ชอบด้วยกฎหมาย
ในชั้นฎีกา จำเลยรับแล้วว่า จำเลยเป็นบุตรของนาย ง.ส่วนข้อที่ว่านาย ง.เป็นบุคคลสัญชาติจีนหรือสัญชาติไทย จำเลยไม่ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลล่างทั้งสอง และยอมรับในคำฟ้องฎีกาว่า จำเลยมีบิดาเป็นคนสัญชาติจีน จึงต้องรับฟังว่าจำเลยมีบิดาเป็นคนต่างด้าว คำว่า "บิดา" ตาม พ.ร.บ. การเลือกตั้งสมาชิกสภาเทศบาลพ.ศ. 2482 มาตรา 20 และ มาตรา 20 ทวิ ที่แก้ไขแล้ว หมายถึงบิดาที่ชอบด้วยกฎหมายและบิดาที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งที่ไม่รับขยายเวลาอุทธรณ์ต้องยื่นภายในกำหนด หากพ้นกำหนดแล้วฎีกาต้องห้าม
จำเลยยื่นคำร้องขอขยายระยะเวลาอุทธรณ์ในวันที่ 24สิงหาคม 2533 ศาลชั้นต้นมีคำสั่งยกคำร้องอ้างว่าล่วงเลยกำหนดเวลาอุทธรณ์แล้วจำเลยยื่นคำร้องลงวันที่ 3 กันยายน 2533โต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ซึ่งตามกฎหมายไม่จำต้องกระทำการปฏิบัติของจำเลยดังกล่าวจึงไม่มีผลตามกฎหมาย วันที่ 2 ตุลาคม 2533 จำเลยยื่นอุทธรณ์คำสั่งของศาลชั้นต้นที่ไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลาอุทธรณ์ เป็นการยื่นอุทธรณ์คำสั่งเมื่อพ้นกำหนด 1 เดือน ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 229 ศาลชั้นต้นรับเป็นอุทธรณ์คำสั่งของจำเลยและศาลอุทธรณ์รับวินิจฉัยให้ จึงไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าฎีกาของจำเลยเป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ ต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 249

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1109/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การอุทธรณ์คำสั่งไม่อนุญาตขยายเวลาอุทธรณ์ที่ล่าช้าและการที่ศาลรับเรื่องเกินกำหนด ทำให้ฎีกาต้องห้าม
ศาลชั้นต้นสั่งไม่อนุญาตให้ขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์ จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งนั้น แล้วต่อมาจึงยื่นอุทธรณ์คำสั่งดังกล่าวเมื่อพ้นกำหนดอุทธรณ์ 1 เดือนแล้ว ส่วนการที่จำเลยยื่นคำร้องโต้แย้งคำสั่งของศาลชั้นต้นไว้ก่อนนั้นก็เป็นเรื่องที่ตามกฎหมายไม่จำต้องกระทำ การปฏิบัติของจำเลยดังกล่าวจึงหามีผลตามกฎหมายแต่อย่างใดไม่แม้ศาลชั้นต้นจะรับเป็นอุทธรณ์ และศาลอุทธรณ์จะรับวินิจฉัยให้ ก็เป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมาย ถือว่าเรื่องที่จำเลยขอขยายระยะเวลายื่นอุทธรณ์นี้เป็นข้อที่มิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์ จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดทางอาญาของผู้ร่วมกระทำผิด กรณีพวกกระทำผิดร้ายแรงกว่า แม้ผู้กระทำผิดเองไม่มีเจตนา
ศาลชั้นต้นพิพากษาลงโทษจำเลยตาม ป.อ. มาตรา 295 โดยฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ว่าไม่ได้ร่วมกระทำผิด คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษจำเลยฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่า จำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย จึงเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัสตาม ป.อ. มาตรา 297 จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิดหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วโดยชอบในศาลอุทธรณ์ ตาม ป.วิ.พ. มาตรา 249 ประกอบป.วิ.อ. มาตรา 15 ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1014/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ความรับผิดของตัวการร่วมในความเสียหายที่เกิดจากการกระทำของพวก
ศาลชั้นต้นวินิจฉัยว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหาย ผู้เสียหายถูกพวกของจำเลยใช้มีดฟันข้อมือได้รับอันตรายสาหัส แต่จำเลยเพียงชกต่อยผู้เสียหายเท่านั้นจึงลงโทษเพียงฐานทำร้ายร่างกายผู้อื่น ตาม ป.อ. มาตรา 295 จำเลยไม่ได้อุทธรณ์ คงมีโจทก์ฝ่ายเดียวอุทธรณ์ขอให้ลงโทษฐานทำร้ายผู้อื่นจนเป็นเหตุให้ได้รับอันตรายสาหัสตามฟ้อง ข้อเท็จจริงที่ว่าจำเลยกับพวกร่วมกันทำร้ายร่างกายผู้เสียหายเป็นอันยุติตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น เมื่อศาลอุทธรณ์วินิจฉัยว่าจำเลยเป็นตัวการร่วมทำร้ายผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ตาม ป.อ. มาตรา 297จำเลยจะฎีกาว่าไม่ได้เป็นตัวการร่วมกระทำผิด ขอให้ยกฟ้องหาได้ไม่ เพราะมิใช่เป็นข้อเท็จจริงที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลอุทธรณ์
ในการร่วมกระทำผิดแม้จำเลยมีเจตนาเพียงชกผู้เสียหายครั้งเดียวที่โหนกแก้มมิได้มีเจตนาให้ผู้เสียหายได้รับอันตรายสาหัส แต่เมื่อพวกของจำเลยคนหนึ่งได้ใช้มีดฟันข้อมือผู้เสียหายจนได้รับอันตรายสาหัส ไม่ว่าจำเลยจะทราบว่าพวกของตนมีมีดหรือไม่ก็ตาม จำเลยก็ต้องร่วมรับผิดในผลแห่งการกระทำนั้นด้วย จะถือเป็นเรื่องต่างคนต่างทำไม่ได้ เพราะเป็นผลจากการกระทำของผู้ร่วมกระทำผิดทุกคน
of 294