คำพิพากษาที่เกี่ยวข้องกับกฎหมาย
ป.วิ.พ. ม. 249

พบผลลัพธ์ทั้งหมด 2,935 รายการ

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ จำนอง, การแก้ไขข้อความในสัญญา, การฟ้องทายาท, ดอกเบี้ย, และอำนาจฟ้อง
จำเลยกับ ช. ได้กู้เงินและนำที่ดินมาจดทะเบียนจำนองไว้แก่โจทก์ โจทก์มีเอกสารสัญญาจำนองที่ดินที่จำเลยกับ ช. ทำไว้กับโจทก์มาแสดงต่อศาล การที่จำเลยอ้างและนำสืบว่าไม่ได้รับเงินเป็นการนำสืบแก้ไขข้อความในสัญญาจำนอง ต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 94 จำเลยฎีกาว่าโจทก์คิดดอกเบี้ยเกิน 5 ปี ไม่ได้นั้น เป็นข้อที่จำเลยไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้นเพราะจำเลยขาดนัดยื่นคำให้การ ทั้งไม่ใช่ปัญหาอันเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน จึงต้องห้ามมิให้ฎีกาตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 249 ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1737 เจ้าหนี้กองมรดกจะบังคับสิทธิเรียกร้องต่อทายาทคนใดก็ได้ หาได้มีกฎหมายบังคับว่าทายาทที่จะถูกฟ้องต้องได้รับมรดกของเจ้ามรดก หรือต้องฟ้องทายาททุกคน และกรณีที่โจทก์ไม่ได้เรียกผู้จัดการมรดกเข้ามาก็อาจมีผลในการบังคับคดีต่อไปเท่านั้น ไม่ทำให้โจทก์ไม่มีอำนาจฟ้อง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 707/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาค้ำประกันสมบูรณ์แม้เข้าใจผิดเรื่องทายาท ความผิดพลาดไม่กระทบสัญญาค้ำประกัน อายุความ 10 ปี
จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการที่จำเลยที่ 1 ทำสัญญารับรองการชดใช้เงินคืนแก่ทางราชการในขณะที่จำเลยที่ 1 จะรับเงินจากโจทก์สัญญาค้ำประกันที่จำเลยที่ 2 ลงลายมือชื่อดังกล่าว จึงมิใช่เป็นเพียงคำเสนอที่จะก่อให้เกิดสัญญาเมื่อมีคำสนอง เพราะขณะมีการทำสัญญาระหว่างโจทก์กับจำเลยที่ 1 นั้น จำเลยที่ 2 ได้รับเข้าผูกพันตนทำสัญญาค้ำประกันเสร็จไปในวันเดียวกัน สัญญาค้ำประกันจึงเกิดขึ้นโดยสมบูรณ์แล้ว แม้ว่าการที่จำเลยที่ 1 อ้างว่าเป็นมารดาของร้อยตรี ท.เพื่อขอรับเงินบำนาญพิเศษจากโจทก์ซึ่งความจริงมิได้เป็นมารดาอาจเป็นการละเมิดต่อโจทก์ก็ตาม แต่การที่โจทก์ได้จ่ายเงินบำนาญพิเศษให้จำเลยที่ 1 โดยมีการทำสัญญาว่า ถ้าจำเลยที่ 1 ไม่มีสิทธิจำเลยที่ 1 ยอมชดใช้เงินคืนให้แก่โจทก์นั้น ถือว่าเป็นการชดใช้เงินคืนตามสัญญาซึ่งไม่มีกฎหมายกำหนดอายุความไว้โดยเฉพาะจึงมีอายุความ 10 ปี ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 164จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันการชดใช้เงินคืนจึงมีอายุความ10 ปีเช่นกัน การที่จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันโดยเข้าใจผิดว่าจำเลยที่ 1ผู้ขอรับเงินบำนาญพิเศษเป็นมารดาของร้อยตรี ท. นั้น มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องในสัญญาค้ำประกันแต่อย่างใด ความเข้าใจผิดดังกล่าวมิใช่เป็นการสำคัญผิดในสาระสำคัญแห่งสัญญาค้ำประกันจึงไม่เป็นเหตุให้สัญญาค้ำประกันตกเป็นโมฆะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 119 ข้อที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า จำเลยที่ 2 ทำสัญญาค้ำประกันเพราะจำเลยที่ 2 เป็นนายทหารฝ่ายธุรการและกำลังพล เป็นตำแหน่งที่ต้องกระทำตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา จำเลยที่ 2 ไม่ต้องรับผิดเป็นส่วนตัวนั้น จำเลยที่ 2 ไม่ได้ให้การต่อสู้ไว้ จึงไม่ใช่ข้อที่ได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น และมิใช่ปัญหาเกี่ยวด้วยความสงบเรียบร้อยของประชาชน ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาเช่าซื้อ, การค้ำประกัน, การแปลงหนี้ใหม่, ความรับผิดของผู้เช่าซื้อและผู้ค้ำประกัน
จำเลยที่ 1 ทำสัญญาเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ จำเลยที่ 2เป็นผู้ค้ำประกัน ต่อมาสามีจำเลยที่ 2 ได้ตกลงกับจำเลยที่ 1ขอรับรถยนต์ดังกล่าวไปไว้ในครอบครอง และตกลงจะไปเช่าซื้อรถยนต์จากโจทก์ ข้อตกลงระหว่างสามีจำเลยที่ 2 กับจำเลยที่ 1 ดังกล่าวไม่ใช่เป็นการแปลงหนี้ใหม่โดยการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ เพราะการแปลงหนี้ใหม่จะต้องมีการทำสัญญาระหว่างเจ้าหนี้กับลูกหนี้คนใหม่ตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 350 ดังนี้ หนี้ระหว่างจำเลยที่ 1 กับโจทก์จึงยังไม่ระงับ เมื่อจำเลยที่ 1 ผิดนัดไม่ชำระเงินค่าเช่าซื้อตามสัญญาเช่าซื้อ จำเลยที่ 1 ยังต้องรับผิดต่อโจทก์อยู่ตามสัญญาเช่าซื้อ ส่วนจำเลยที่ 2 ต้องรับผิดร่วมกับจำเลยที่ 1ตามสัญญาค้ำประกัน เมื่อคำฟ้องและคำให้การพอที่จะรับฟังและวินิจฉัยได้ การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานหลังจากที่สืบพยานจำเลยซึ่งเป็นฝ่ายที่นำสืบก่อนเสร็จแล้วก็ไม่เป็นข้อสำคัญในคดี เพราะจะอนุญาตหรือไม่ไม่ทำให้ผลคดีเปลี่ยนแปลงไป ฎีกาจำเลยที่ว่าการยื่นบัญชีระบุพยานโจทก์ไม่ชอบจึงไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับวินิจฉัย ปัญหาว่า โจทก์บรรยายฟ้องว่ามอบอำนาจให้ ป. แต่กลับนำว. เข้ามาเบิกความโดยมิได้แก้ฟ้องหรือบรรยายฟ้องกล่าวอ้างถึงว. จึงเป็นการนำสืบนอกประเด็นนั้น เมื่อประเด็นนี้จำเลยมิได้ยกขึ้นกล่าวอ้างกันมาในศาลอุทธรณ์ เพิ่งมายกขึ้นในชั้นฎีกาศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 703/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การแปลงหนี้ใหม่ต้องมีคู่สัญญาครบถ้วน การตกลงระหว่างลูกหนี้กับบุคคลที่สามไม่ผูกพันเจ้าหนี้เดิม
จำเลยที่ 1 อ้างว่า สามีของจำเลยที่ 2 จะเป็นผู้รับผิดชอบ ชำระหนี้ตามสัญญาเช่าซื้อแทนให้โจทก์ อันเป็นการเปลี่ยนตัวลูกหนี้ ถือว่าเป็นการแปลงหนี้ใหม่ ดังนี้เมื่อโจทก์มิได้ตกลงทำสัญญาด้วย กรณีจึงมิใช่การแปลงหนี้ใหม่อันจะทำให้สัญญาเช่าซื้อระหว่างโจทก์ กับจำเลยที่ 1 ระงับ จำเลยที่ 1 ยังต้องรับผิดต่อโจทก์ ตามคำแก้ฎีกาโจทก์ยอมรับว่าได้รับชำระหนี้จากจำเลยบางส่วนแล้ว จึงต้องนำมาหักออกจากหนี้ที่จำเลยจะต้องรับผิด เมื่อคำฟ้องและคำให้การพอที่จะรับฟังและวินิจฉัยได้ การที่ศาลอนุญาตให้โจทก์ยื่นบัญชีระบุพยานหลักจากจำเลย ซึ่งเป็นฝ่ายนำสืบก่อนสืบพยานเสร็จก็มิได้ทำให้ผลของคดีเปลี่ยนแปลง จึงไม่เป็นข้อสำคัญในคดี ฎีกาข้อนี้ไม่เป็นสาระแก่คดีอันควรได้รับการวินิจฉัย.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 700/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ ฎีกาไม่รับวินิจฉัยประเด็นข้อเท็จจริงเดิมที่เคยมีคำพิพากษาถึงที่สุดแล้ว และประเด็นค่าเสียหายที่เป็นข้อเท็จจริง
ข้อกฎหมายที่จำเลยยกขึ้นฎีกาว่า ก่อนจำเลยถูกโจทก์ฟ้องเป็นคดีนี้จำเลยเคยฟ้องโจทก์มาก่อน ซึ่งศาลชั้นต้นในคดีก่อนได้พิพากษาโดยฟังข้อเท็จจริงว่าโจทก์มิได้เช่าอาคารพิพาทจากจำเลยศาลอุทธรณ์และศาลฎีกาพิพากษายืน ข้อเท็จจริงดังกล่าวจึงต้องฟังยุติตามคำพิพากษาศาลฎีกา ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ในคดีนี้กลับวินิจฉัยโดยฟังข้อเท็จจริงว่า โจทก์เช่าอาคารพิพาทจากจำเลย การวินิจฉัยของศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยกฎหมายนั้น เมื่อข้อกฎหมายที่จำเลยฎีกาดังกล่าวไม่ได้ยกขึ้นว่ากันมาในศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์และมิใช่ข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย การที่คณะกรรมการปรับปรุงอาคารพิพาทของโจทก์ผู้ให้เช่ามีมติให้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยผู้เช่า นางย. ซึ่งดำรงตำแหน่งหัวหน้ากองอาคารของโจทก์ผู้ให้เช่า ได้มีหนังสือบอกเลิกการเช่าแก่จำเลยผู้เช่าไปตามมติดังกล่าวนั้น แม้ในมตินั้นจะไม่ได้ระบุให้นางย.เป็นผู้บอกเลิกการเช่าแก่จำเลยก็ถือได้ว่านางย.บอกเลิกการเช่าแทนโจทก์ผู้ให้เช่าแล้วโดยชอบโดยปริยาย ไม่จำเป็นต้องให้ผู้อำนวยการของโจทก์ผู้ให้เช่าต้องมอบอำนาจอีกการเช่าอาคารระหว่างโจทก์ผู้ให้เช่ากับจำเลยผู้เช่าระงับลงแล้ว โจทก์ฟ้องขับไล่จำเลยออกจากอาคารพิพาทซึ่งเป็นอสังหาริมทรัพย์ในขณะยื่นฟ้องอาจให้ค่าเช่าได้เพียงเดือนละ 1,000 บาท ไม่เกินเดือนละ 5,000 บาทดังนี้ การที่จำเลยฎีกาว่า ค่าเสียหายของโจทก์ควรต่ำกว่าเดือนละ 1,000 บาท เป็นฎีกาในปัญหาข้อเท็จจริง จึงต้องห้ามตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่ง มาตรา 248 วรรคสอง

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 656/2535 เวอร์ชัน 3 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญารับทุนการศึกษา: ขอบเขตผูกพันระดับปริญญาโท การปฏิบัติราชการ และการคืนเงินค้ำประกัน
สัญญารับทุนการศึกษาระบุว่า ให้มีความผูกพันระดับปริญญาโดยไม่ระบุว่าระดับปริญญาตรี โท หรือ เอก เมื่อจำเลยที่ 1 เรียนจบปริญญาตรีแล้วขอเรียนต่อระดับปริญญาโทจนต้นสังกัดเห็นชอบ รัฐบาลออสเตรเลียเจ้าของทุนขยายทุนให้จำเลยที่ 1 รับทุนจนเรียนจบ แม้สัญญาค้ำประกันระบุให้ผูกพันระดับปริญญาตรีก็เป็นเรื่องระหว่าง โจทก์กับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นคู่สัญญาไม่เกี่ยวกับจำเลยที่ 1 สัญญา รับทุนจึงมีผลผูกพันจำเลยที่ 1 ในระดับปริญญาโทด้วย ระหว่างจำเลยที่ 1 รับราชการใช้ทุนอยู่ จำเลยที่ 1 สอบ ชิงทุนไปดูงานที่ประเทศอังกฤษ ซึ่งเป็นความต้องการของจำเลยที่ 1เอง การที่ทางราชการมีคำสั่งให้จำเลยที่ 1 ไปดูงานฝึกอบรมและได้รับเงินเดือนเป็นการอนุเคราะห์ของทางราชการ ซึ่งถ้าเป็น การปฏิบัติราชการแล้วทางราชการคงไม่อนุญาตให้จำเลยที่ 1 ลา จึง ถือไม่ได้ว่าเป็นการปฏิบัติราชการ อันจะนำเอาระยะเวลาที่ไป ฝึกอบรมดูงานดังกล่าวมาหักลดจำนวนเงินที่จำเลยทั้งสองต้องชดใช้ ตามสัญญารับทุน การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่า เงินที่จำเลยที่ 2 ชำระให้โจทก์ในฐานะผู้ค้ำประกันควรคิดอัตราแลกเปลี่ยนของค่าเฉลี่ยธนาคารพาณิชย์ซึ่งเป็นคุณแก่จำเลยคือ 1 เหรียญออสเตรเลียควรคิดให้ 19.03 บาทไม่ใช่ 19.96 บาท แต่จำเลยมิได้ให้การต่อสู้ไว้ในเรื่องนี้จึงเป็นการนอกประเด็น ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 654/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ สัญญาประกันชีวิตโมฆียะ: ผู้รับประโยชน์ไม่ใช่ผู้ใช้เงิน ผู้ป่วยเจ็บต้องเปิดเผยความจริง
การที่สัญญาประกันชีวิตจะเป็นโมฆียะตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 865 นั้น ต้องเป็นกรณีที่บุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นรู้อยู่แล้วละเว้นเสียไม่เปิดเผยข้อความจริงซึ่งอาจจะได้จูงใจผู้รับประกันภัยให้เรียกเบี้ยประกันภัยสูงขึ้นอีก หรือให้บอกปัดไม่ยอมทำสัญญา หรือว่ารู้อยู่แล้วแถลงข้อความนั้นเป็นความเท็จโจทก์กับจำเลยทำสัญญาประกันชีวิตต่อกันโดยเด็กชายส.บุตรโจทก์เป็นผู้เอาประกัน โจทก์เป็นผู้รับประโยชน์ ดังนั้นบุคคลอันการใช้เงินย่อมอาศัยความทรงชีพหรือมรณะของเขานั้นก็คือเด็กชายส.หาใช่โจทก์ซึ่งเป็นเพียงผู้รับประโยชน์ไม่ ฎีกาจำเลยที่ว่า เด็กชายส.ละเว้นไม่เปิดเผยข้อความจริงที่ตนป่วยเป็นโรคลมชักในขณะที่โจทก์ขอต่ออายุกรมธรรม์นั้นเป็นข้อเท็จจริงนอกคำให้การจำเลย ถือได้ว่าเป็นปัญหาข้อเท็จจริงที่จำเลยมิได้ยกขึ้นว่ากันมาแล้วในศาลชั้นต้น ศาลฎีกาไม่รับวินิจฉัย

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 600/2535 เวอร์ชัน 2 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ อายุความละเมิดและการยกอายุความของผู้ค้ำประกัน คดีนี้ใช้อายุความอาญามากกว่าอายุความแพ่ง
โจทก์ฟ้องบรรยายแสดงสภาพข้อหาว่าจำเลยที่ 1 ลูกจ้างโจทก์ยักยอกเงินค่าขายสินค้าของโจทก์ไป เป็นการฟ้องเรียกร้องค่าเสียหายในมูลละเมิดอันเป็นความผิดมีโทษทางอาญา มีอายุความ 10 ปี กำหนดอายุความทางอาญายาวกว่าอายุความละเมิด จึงต้องเอาอายุความที่ยาวกว่ามาบังคับแก่คดี ตาม ป.พ.พ. มาตรา 448 วรรคสอง โจทก์ฟ้องคดียังไม่พ้นกำหนด 10 ปี จึงไม่ขาดอายุความ จำเลยที่ 2 เป็นผู้ค้ำประกันจำเลยที่ 1 เมื่อจำเลยที่ 1ไม่อาจยกอายุความ 1 ปี ตามมาตรา 448 วรรคแรก ขึ้นต่อสู้โจทก์ได้จำเลยที่ 2 ก็ไม่อาจยกอายุความดังกล่าวขึ้นต่อสู้ได้เช่นเดียวกันจึงต้องรับผิดต่อโจทก์ จำเลยที่ 2 ให้การเพียงว่า ฟ้องโจทก์เคลือบคลุมไม่บรรยายให้ชัดแจ้งว่าวันเวลาใดที่จำเลยที่ 1 ได้กระทำละเมิดต่อโจทก์ดังนั้น การที่จำเลยที่ 2 ฎีกาว่าฟ้องโจทก์เกี่ยวกับค่าเสียหายเคลือบคลุม จึงเป็นที่มิได้ยกขึ้นว่ากล่าวกันมาแล้วในศาลชั้นต้นไม่ชอบด้วย ป.วิ.พ. มาตรา 249.

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2535 เวอร์ชัน 4 คำพิพากษาฎีกานี้ มีเนื้อหาจากเว็บทางการหลายรูปแบบ

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยืมสิ่งของ, การผิดนัดชำระหนี้, สัญญาที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์, และความถูกต้องของคำฟ้อง
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้
จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการทำใบยาสูบ จำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้สัญญายืมสิ่งของดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จำเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้นั้น ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จำเลยไม่คืน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น
สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาดังกล่าวแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร
บรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน 5,790 บาทต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท เมื่อหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปเป็นเงิน 48,480 บาท ตรงตามคำฟ้อง โดยไม่รวมค่ากรรมกรขนของ คำฟ้องจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม

คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 599/2535

ชื่อเรื่องฎีกานี้ถูกสร้างโดย Ai ทางเว็บขอไม่รับรองความถูกต้อง โปรดตรวจสอบความถูกต้องก่อนนำไปใช้ การยืมสิ่งของ, การผิดนัดชำระหนี้, สัญญาที่ไม่ต้องปิดอากรแสตมป์, และความชัดเจนของคำฟ้อง
ฎีกาของจำเลยที่คัดค้านคำพิพากษาศาลชั้นต้น มิได้ฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกาไม่วินิจฉัยให้ จำเลยยืมปุ๋ยและของอื่นไปจากโจทก์เพื่อใช้ในการทำใบยาสูบจำเลยจะทำใบยาสูบเองหรือไม่ไม่ใช่ข้อสำคัญ แม้สัญญายืมสิ่งของดังกล่าวจะไม่ได้กำหนดเวลาคืนสิ่งของไว้แต่ตามพฤติการณ์การให้ยืมสิ่งของดังกล่าวเพื่อใช้ในฤดูกาลทำใบยาสูบ เมื่อสิ้นฤดูกาลแล้วก็ต้องส่งคืนหากใช้ไม่หมด ส่วนที่ใช้ไปแล้วไม่อาจส่งคืนได้ ก็ต้องใช้ราคา ดังนี้ เป็นกรณีที่ไม่ได้กำหนดเวลาชำระหนี้ไว้ตามวันแห่งปฏิทิน เป็นเพียงอนุมานจากพฤติการณ์ การที่จำเลยไม่ส่งคืนของที่ยืมเมื่อสิ้นระยะเวลาที่อนุมานจากพฤติการณ์ได้นั้น ก็ยังไม่ตกเป็นผู้ผิดนัด แต่ต่อมาเมื่อโจทก์มีหนังสือบอกกล่าวให้จำเลยคืนของที่ยืมภายในวันที่กำหนด จำเลยไม่คืน จึงตกเป็นผู้ผิดนัดนับแต่วันถัดจากวันที่กำหนดนั้น สัญญายืมสิ่งของมิได้กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ท้ายหมวด 6 แห่งประมวลรัษฎากรว่าต้องปิดอากรแสตมป์ สัญญาดังกล่าวแม้ไม่ได้ปิดอากรแสตมป์ก็รับฟังเป็นพยานหลักฐานได้ไม่ต้องห้ามตามมาตรา 118 แห่งประมวลรัษฎากร บรรยายฟ้องว่า จำเลยคืนสิ่งของแก่โจทก์บางส่วนเป็นเงิน5,790 บาท ต่อมาได้นำเงินมาชำระค่าสิ่งของแก่โจทก์ ยังคงเหลือสิ่งของรวมเป็นเงิน 48,480 บาท แต่โจทก์มีหนังสือบอกกล่าวทวงถามให้จำเลยคืนสิ่งของรวม 81,870 บาท เมื่อหนังสือบอกกล่าวท้ายฟ้องได้แสดงรายละเอียดของทรัพย์ที่จำเลยยืมโจทก์ไปเป็นเงิน48,480 บาท ตรงตามคำฟ้อง โดยไม่รวมค่ากรรมกรขนของ คำฟ้องจึงไม่ขัดกันและจำเลยก็เข้าใจข้อหาต่อสู้คดีได้ถูกต้อง คำฟ้องจึงแสดงโดยแจ้งชัดซึ่งสภาพแห่งข้อหาและคำขอบังคับ ทั้งข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหา ฟ้องโจทก์ไม่เคลือบคลุม
of 294